เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 242 เจตนารมณ์เดิม
คำพูดของหวังซีช่วยปลอบโยนเฉินลั่วไม่ได้ เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจเหลือจะกล่าว
หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ตอนที่ตระกูลปั๋วไปสืบเรื่องของเหยียนเฮ่าญาติผู้พี่ของหนิงผินคนนั้น เขาควรจะช่วยเติมฟืนเข้าไป บางทีเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอาจเสร็จสิ้นไปแล้วก็ได้ มิใช่ลากยาวจนพ้นเทศกาลแข่งเรือมังกรแล้วก็ยังไม่มีข้อสรุปเช่นนี้
เขาเล่าความกังวลใจของตัวเองให้จ่างกงจู่ฟัง
จ่างกงจู่เองก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ้มขื่นกล่าวขึ้นว่า “คงไม่อาจเลื่อนงานแต่งของเจ้าเข้ามาหรอกกระมัง ผู้อาวุโสของผู้อื่นยังอยู่ระหว่างทางกันอยู่เลย!”
จริงด้วย ทุกคนต่างเดินทางมาร่วมงานแต่งของพวกเขาอย่างยินดีมีความสุข จะให้คนดีใจเปล่าอย่างนั้นหรือ
แล้วก็หวังซีอีกคน เขาไม่อยากให้นางต้องรู้สึกเสียใจหรือเป็นทุกข์เพราะได้รับความอยุติธรรมไปตลอดชีวิต
ถัดจากนั้นมาหลายวัน เฉินลั่วยังคงเจอตัวได้ยากเหมือนเทพมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหางเช่นเดิม ไม่ง่ายเลยกว่าหวังซีจะได้เจอเขาสักครั้งหนึ่ง
หวังซีพอจะสัมผัสได้รางๆ ว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่
นางไปปรึกษากับหวังเฉินผู้เป็นพี่ชายใหญ่
ผู้ใดจะรู้ว่าหวังเฉินกับนางเพิ่งนั่งลงมา ก็มีข่าวส่งมาจากหลงจู๊ใหญ่ว่าตอนประชุมเช้าของราชสำนักองค์ชายใหญ่เสนอตัวขอออกไปปกครองเมืองศักดินา อยากออกไปจากจิงเฉิง
ว่ากันว่าฮ่องเต้พิโรธจนอาการใจสั่นกำเริบขึ้นอีกครั้ง ปิดการประชุมไปอย่างไม่ดีนัก
หวังซีกับหวังเฉินขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด หวังซีถามหวังเฉินว่า “หากท่านเป็นฮ่องเต้ ท่านจะทำอย่างไร”
หวังเฉินขบคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “อาจจะดื้อดึงมากขึ้นกระมัง!” เขายังเตือนสติหวังซีว่า “เจ้ายังจำปู่หวังของตระกูลได้อยู่หรือไม่”
เดิมเป็นคนรุ่นเก่าก่อนที่ดูแลบัญชีของตระกูลหวัง พออายุมากก็หัวแข็ง ถึงกับทำเรื่องปล่อยเงินกู้ให้บุตรหลานในบ้านโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของคนในตระกูล ทำลายเกียรติของตัวเองในบั้นปลายของชีวิต
ด้วยเหตุนี้ตระกูลหวังจึงตั้งกฎมาว่า ผู้อาวุโสในบ้านที่อายุล่วงเลยห้าสิบปีแล้วต้องถอนตัวออกมาใช้ชีวิตบั้นปลายได้แล้ว
หัวคิ้วของหวังซีผูกเป็นปมแน่นยิ่งขึ้น
จากนั้นก็มีคนในราชสำนักเสนอขึ้นมาว่าองค์ชายเจ็ดเองก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรออกไปปกครองเมืองศักดินาเช่นกันแล้วหรือไม่
ตอนนั้นเองราวกับไปแหย่โดนรังผึ้งก็ไม่ปาน ฮ่องเต้พิโรธดั่งสายฟ้าฟาด สั่งโบยคนฟ้องร้องไปเจ็ดถึงแปดคน
ทว่าตอนเฉินลั่วมาเยี่ยมหวังซี แววตากลับเป็นประกายสุกใส กล่าวว่า “อีกไม่นานเรื่องนี้ก็น่าจะมีข้อสรุปแล้ว”
ฮ่องเต้มิใช่คนที่ถูกยุให้โกรธได้ง่าย แต่ครั้งนี้เขาระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างรู้วัตถุประสงค์ของฮ่องเต้แทบจะทั้งหมดแล้ว
ตอนที่เฉินลั่วพูดถึงเรื่องนี้แอบเรียกมันเล่นๆ ว่า ‘น้ำลดตอผุด’ กล่าวว่า “กลัวแต่ว่าฮ่องเต้จะฉุดรั้งพวกเราไว้ การที่เขาเดือดดาล ก็เพราะสถานการณ์ระส่ำระสาย ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
หวังซีมองแล้วรู้สึกเหนื่อย กล่าวว่า “เช่นนั้นองค์ชายใหญ่เล่า? เขาจะออกไปปกครองเมืองศักดินาจริงๆ หรือ แล้วจะได้ไปที่ใด”
นางคิดว่าฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยองค์ชายเจ็ดออกจากเมืองหลวง แต่องค์ชายใหญ่นั้นไม่แน่
เฉินลั่วหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ไม่ว่าองค์ชายใหญ่ไปที่ไหน งานแต่งขององค์ชายรองก็มีคำสั่งมาอย่างเร่งด่วนแล้ว คาดว่าภายในสองสามวันนี้ก็คงมีข้อสรุปแล้ว”
หวังซีประหลาดใจ รีบถามว่า “หมั้นหมายกับตระกูลใด ฮ่องเต้เป็นคนเลือกให้หรือว่าตระกูลปั๋วเป็นคนเลือกให้?”
เลือกข้างในเวลานี้ ช่างมีความกล้าหาญนัก!
นางรู้สึกนับถือมากจริงๆ
เฉินลั่วเห็นแล้วก็หยิกแก้มนางยิ้มๆ
หวังซีมีดวงตาสุกใสไม่ต่างจากสายน้ำกระจ่างใส ไม่ว่าจะคิดอะไร บางครั้งแค่มองก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว
ในสายของผู้อื่น เขาก็แค่ขุนนางขี้ประจบคนหนึ่ง นอกจากสอพลอฮ่องเต้แล้ว จะมีความสามารถอะไรได้ แต่ตอนเขาไปสู่ขอ นางก็ตอบตกลงมิใช่หรือ
หากพูดเรื่องเสี่ยงอันตราย ตระกูลหวังเสี่ยงอันตรายมากกว่ากระมัง
และก็เพราะเหตุนี้ วิธีการต่างๆ ที่เขากำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้จึงไร้ประโยชน์ทั้งหมด รวมถึงยอมยื้อเวลาให้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย และต้องการใช้วิธีที่อ่อนโยนขึ้นด้วย เพื่อที่ถึงเวลาจะได้ไม่ลากนางมาติดร่างแหด้วย ถึงทำให้เรื่องราวไม่ได้ข้อสรุปเสียทีจนน่าเป็นห่วงเช่นนี้
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลปั๋วเป็นคนกลางทาบทามให้ หมั้นหมายกับบุตรสาวของฟ่านซื่อหยางมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน”
หวังซีเบิกดวงตาโต
เมื่อรวมกับงานแต่งของปั๋วหมิงเย่ว์แล้ว นี่เท่ากับว่าตระกูลปั๋วผูกสัมพันธ์กับกลุ่มบัณฑิตที่วางตัวเป็นกลางได้แล้ว
นางตื่นเต้นสนใจขึ้นมา ถามว่า “เช่นนั้นงานแต่งของคุณหนูหกปั๋วเล่า?”
“น่าจะเร็วๆ นี้เช่นกัน” เฉินลั่วยิ้มกล่าว “หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะหมั้นหมายกับบุตรชายของหวังฉงอันเจ้าพนักงานธุรการกรมโยธา”
มองจากตำแหน่งของบิดาของทั้งสองครอบครัวนี้แล้ว ล้วนไม่โดดเด่นนัก
หวังซีกล่าว “ทั้งสองครอบครัวนี้ล้วนมีข้อมูลลับเฉพาะภายในใช่หรือไม่”
เฉินลั่วมองหวังซีอย่างชื่นชม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหวังหรือตระกูลฟ่านล้วนเป็นตระกูลบัณฑิตกันมาหลายชั่วอายุคนของเจียงหนาน โดยเฉพาะตระกูลหวัง มีหอตำรานามว่า ‘โหย่วเจียน’ อยู่แห่งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นหอตำราอันดับหนึ่งของเจียงหนาน โดยปกติแล้วเปิดให้กับนักเรียนที่ยากจน มีชื่อเสียงมากที่เจียงหนาน ส่วนตระกูลฟ่าน ดองกับตระกูลเวิงของหยางโจวมาหลายต่อหลายรุ่น บรรพบุรุษของตระกูลเวิงเคยดำรงตำแหน่งราชครูสองตำแหน่ง ขุนนางใหญ่สามท่าน จนถึงบัดนี้ยังมีจิ้นซื่อแปดถึงเก้าคน บอกว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเจียงหนานก็พอจะหลับหูหลับตาพูดได้”
การเกี่ยวดองนี้ช่างจัดการได้ฉลาดหลักแหลมยิ่ง
หวังซีกล่าวอย่างประทับใจว่า “ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทาบทามให้ สามารถผลักดันคนเหล่านี้ออกมาได้อย่างละมุนละม่อม ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เฉินลั่วหันไปยิ้มให้หวังซี กล่าวว่า “เจ้าลองทายดู”
หวังซีบังเกิดความสงสัย ถามว่า “หรือว่ายังมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้อีก?”
เฉินลั่วหัวเราะฮ่า ยอมเฉลยแต่โดยดี กล่าวว่า “เป็นความคิดของใต้เท้าเซี่ย”
“เซี่ยสือ ใต้เท้าเซี่ยน่ะหรือ” หวังซีประหลาดใจ
ตระกูลเซี่ยคือผู้หนุนหลังในราชสำนักของตระกูลหวัง แม้แต่งานแต่งของนาง พี่ชายใหญ่ของนางยังฟังคำแนะนำของจ่างกงจู่ เชิญเจียงชวนป๋อมาเป็นเถ้าแก่ให้ คิดไม่ถึงว่า…
เฉินลั่วเก็บรอยยิ้มกลับไป สีหน้าแต้มความยกย่องนับถือเอาไว้หลายส่วน กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ ข้าโน้มน้าวใต้เท้าอวี๋ได้ แต่ขุนนางใหญ่ห้าท่านในสภานั้น ต้นไม้อย่างใต้เท้าอวี๋เพียงคนเดียวก็ยากจะสร้างป่าได้ พี่ใหญ่จึงช่วยแนะนำให้ข้ารู้จักใต้เท้าเซี่ยที่ความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับใต้เท้าอวี๋ กอปรกับมีใต้เท้าหลี่ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างเรื่องวุ่นวายของฮ่องเต้เป็นทุนเดิมด้วยอีกคน ทุกคนต่างรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้ฮ่องเต้กระทำตามอำเภอใจเช่นนี้แล้ว แต่งตั้งโอรสองค์เล็กอันที่รักถือเป็นเรื่องสั่นคลอนรากฐานของแผ่นดิน เมื่อมีแบบอย่างเกิดขึ้น ภายหน้าจะมีปัญหาตามมาไม่หยุด งานแต่งขององค์ชายรองและของคุณหนูหกปั๋ว ก็เป็นข้อสรุปที่ขุนนางใหญ่สองสามท่านนี้ร่วมกันหารือออกมา…
…หากฮ่องเต้ยังไม่เห็นด้วยอีก เช่นนั้นก็จำต้องยื้อต่อไปเช่นนี้แล้ว…
…เหลือเพียงดูว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายทนไม่ได้”
“กลัวแต่ว่าถึงเวลาจะมีการแก่งแย่งเกิดขึ้นอีกครั้งในราชสำนัก” หวังซีกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ทุกคนตามใจฮ่องเต้ ก็มีการแก่งแย่งอยู่ดีมิใช่หรือ”
แต่การบีบบังคับฮ่องเต้เช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องพิโรธอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ก็ไม่ต่างจากการแต่งตั้งโอรสองค์เล็กอันเป็นที่รัก ครั้นเหล่าขุนนางใหญ่ในสภาตัดสินใจต่อสู้กับฮ่องเต้ ขุนนางในสภาได้ลิ้มรสชาติของอำนาจแล้ว ยังจะวางอำนาจลงได้เหมือนเมื่อก่อนหรือ กลัวแต่ว่าภายหน้าจะมีปัญหาตามมาไม่หยุดเช่นกัน
หากจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นสู่บัลลังก์ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตัวเขาจะคิดอย่างไร
หวังซีรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง พลันคว้าจับแขนของเฉินลั่วเอาไว้ กล่าวว่า “ถอยออกมาจากเรื่องนี้ได้หรือไม่ ข้ากลัวว่าเมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นสู่บัลลังก์แล้ว ฮ่องเต้จะหวาดระแวงเจ้า คิดกำจัดธนูเมื่อพิชิตนกได้แล้ว”
หากฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว เนื่องจากผู้สืบทอดบัลลังก์เป็นเพียงญาติผู้พี่ของเฉินลั่ว เขาอาจไม่ได้มีชีวิตดีไปกว่าตอนนี้
กล่าวไปกล่าวมา ยังคงเป็นเพราะเฉินลั่วไม่มีผลงานติดตัว หาไม่ก็คงไม่เป็นเช่นนี้
เฉินลั่วรู้ว่าหวังซีเป็นห่วงเรื่องอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ข้าก็แค่มีสัมพันธ์ลับที่ไม่เลวกับใต้เท้าอวี๋และใต้เท้าเซี่ย บางครั้งก็ช่วยวิ่งทำงานให้พวกเขาเท่านั้น ส่วนเรื่องผลงานที่เจ้าเป็นห่วง เป่ยเยียนคือสถานที่เก่าแก่ของบ้านข้า รอจักรพรรดิคนใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าจะสมัครไปที่นั่น สำหรับบิดาของข้าเกรงว่ามีชีวิตต่อไปอีกสิบยี่สิบปีก็ยังไม่มีปัญหาอะไร บรรดาศักดิ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้น เขาอยากมอบให้ใครก็มอบให้ผู้นั้นไปเลยก็แล้วกัน…
…เพียงแต่ว่าข้าต้องไปลำบากที่เป่ยเยียน ที่นั่นอากาศหนาวจัด ผลผลิตย่ำแย่ ข้ากลัวแค่ว่าเจ้าจะไม่ชิน”
“เช่นนั้นก็อย่าไป” หวังซีกล่าวโดยไม่ต้องคิด “ข้ารู้ว่าพวกจ้าต่างรู้สึกว่าการไม่ได้สร้างผลงานถึงนับว่าไม่ควรค่ากับการมีชีวิต แต่ถ้าครอบครัวอยู่ดีมีสุข ชีวิตก็สมบูรณ์แบบแล้วมิใช่หรือ เห็นต้นหลิวข้างทางเปลี่ยนสี พลันนึกเสียใจที่ให้สามีรับตำแหน่งโหว ข้ายินดีให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ”
นางจับแขนของเฉินลั่วเอาไว้ สายตาที่มองเขาสะท้อนประกายระยิบระยับ เจือความเศร้าเอาไว้หลายส่วน
เฉินลั่วใจสั่นด้วยความหวาดกลัว
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบอกเขาเหมือนอย่างที่หวังซีทำมาก่อน ยอมให้เขามีชีวิตอย่างไร้เกียรติมากกว่ายอมให้เขาไปเป็นวีรบุรุษในหลุมศพ
หางตาของเขารื้นชื้น ก้มศีรษะลง
หวังซีกลับเห็นความผิดปกติมากมายจากตัวคนผู้นี้
เขาดูอ่อนโยนมีการศึกษา ทว่าการกระทำทรงพลังไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด ยามที่เขาดูดุดันน่าเกรงขาม กลับเผยความอ่อนโยนต่อเพื่อนมนุษย์ออกมาให้เห็น ในใจของเขาคงลังเลตัดสินใจไม่ได้และไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่
“หลินหลาง” เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาด้วยชื่อเล่น กระซิบกล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไร ข้ายินดีไปเป็นเพื่อนเจ้าเสมอ แต่เจ้าต้องคิดให้ดี ว่าจริงๆ แล้วเจ้าต้องการอะไร อย่าให้ต้องเสียใจภายหลัง”
เฉินลั่วใจเลื่อนลอยเหมือนร่างไร้วิญญาณ ไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากซอยลิ่วเถียวอย่างไร และกลับมาถึงศาลากวางร้องได้อย่างไร
เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียงปาปู้ในห้องหนังสือ ตามองภาพหนอนที่ปักอยู่บนม่านอย่างประณีต ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
แรกเริ่มเขาต้องการอะไรที่สุด?
อยู่ให้ไกลจากจวนเจิ้นกั๋วกง เฉินอิงอยากเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อก็ปล่อยให้เขาเป็นไป บุรุษชายชาติทหารยังจะกินข้าวของบิดามารดาอีกหรือ ต่อให้ไม่อาจสร้างผลงานมียศตำแหน่ง ก็ใช้ความสามารถเป็นผู้บังคับบัญชากองพลในกองพลส่วนพระองค์สักตำแหน่งหนึ่งจะไปยากอะไร
เขาหลงลืมเจตนารมณ์เดิมไปตั้งแต่เมื่อใด
ตอนที่มารดามักจะให้เขาถอยให้หรือตอนที่บิดาเดือดดาล? ตอนที่เฉินอิงใช้เล่ห์เหลี่ยมอันไม่ได้เรื่องเหมือนแมลงวันที่บินขึ้นโต๊ะไม่ได้หรือตอนที่เฉินเจวี๋ยโวยวายสร้างเรื่องราวใหญ่โต?
แต่คนเหล่านี้เกี่ยวอันใดกับตนด้วยเล่า
ยามเขาทุกข์ก็ไม่มีทางหลั่งน้ำตาให้เขา ยามเขาสุขก็ไม่ยินดีกับเขา
เหตุใดเขาต้องดีใจหรือเสียใจเพราะเรื่องเหล่านี้ด้วย
หวังซีพูดถูก
เขาควรมีชีวิตเพื่อตัวเอง
เขาอยากทำอะไรก็ทำ เขามีความสุขกับอะไรก็ใช้ชีวิตกับสิ่งนั้น
เฉินลั่วเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง เดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานบ้านภายใต้แสงจันทร์
มีเสียงตีกลองบอกเวลายามสามดังเข้ามาจากด้านนอก
เฉินลั่วถึงได้เอนตัวลงนอนบนเตียงใหม่อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม วันรุ่งขึ้นเดินทางไปหาองค์ชายใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่
“เจ้าเคยคิดเรื่องรั้งอยู่ที่จิงเฉิงมาก่อนหรือไม่” เขานั่งอยู่ในห้องโถงรับรองขององค์ชายใหญ่ ต้อนรับอรุณรุ่งด้วยการกินโจ๊กข้าวฟ่าง กล่าวกับองค์ชายใหญ่เรียบๆ ว่า “หนิงจวิ้นอ๋องเป็นเชษฐาร่วมอุทรของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมิใช่หรือ”
บัดนี้ดูแลศาลบรรพชน เป็นจวิ้นอ๋องที่มั่งคั่งและมีเวลาว่างผู้หนึ่ง
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์ชายใหญ่กำลังกัดซาลาเปาม้วนลูกหนึ่งอยู่ มองเขาอย่างแปลกใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงวิ่งมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า มีคนขอร้องมาหรือ”
เฉินลั่วไม่กล่าวสิ่งใด แต่กินโจ๊กอย่างสบายใจไปครึ่งหนึ่งจนรู้สึกว่าอิ่มแล้วถึงได้กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าก็แค่มาถามเจ้าดู ฮ่องเต้หลอกลวงพวกเราเช่นนี้ หากพวกเรายังทำตามที่เขาปรารถนาอย่างเชื่อฟัง เช่นนั้นพวกเรากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว…
…ข้าคิดว่าองค์ชายรองเป็นรัชทายาทดีแล้ว เพราะฮ่องเต้จะต้องไม่ชอบใจ…
…เจ้ารั้งอยู่ที่จิงเฉิงก็ดีมากเหมือนกันเพราะฮ่องเต้จะต้องยิ่งไม่พอใจมากขึ้น…
…หากองค์ชายเจ็ดไปเป่ยเยียนหรือไม่ก็หนานเจียง ด้านหนิงผินก็คงวิเศษมากเหมือนกัน…
…เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นหนิงจวิ้นอ๋องรั้งอยู่จิงเฉิงได้อย่างไร”
แน่นอนว่าเป็นเพราะตอนที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเสด็จสวรรคต เขาสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์
นี่เฉินลั่วกำลังยุให้ตนย้ายไปอยู่ฝั่งเดียวกับองค์ชายรองกระมัง
องค์ชายใหญ่จ้องเฉินลั่ว
…………………………………………………………….