เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 28 เสียเวลา
ฉังเคอกล่าวชื่นชมห้องเสื้อเมฆาคำนึงไปหนึ่งคำรบ
ฉังหนิงได้ยินแล้วโมโหจนมือไม้สั่นไปครึ่งค่อนวัน
นางรู้สึกว่านับตั้งแต่ที่ฉังเคอสนิทสนมกับหวังซีเป็นต้นมา ก็ใจแตกไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ตัดชุดใหม่สำหรับไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ตามที่มารดานางบอก กลับวิ่งไปตัดชุดข้างนอกกับหวังซี หากห้องเสื้อเมฆาคำนึงดีขนาดนั้นจริงๆ เหตุใดถึงไม่รับงานของสำนักเย็บปักถักร้อย ยังเอาคำพูดของคุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหวไปป่าวประกาศประหนึ่งเป็นพระพุทธโฆสะอีก หากนางยังคลุกคลีกับหวังซีต่อไป ยิ่งอยู่สายตาก็ยิ่งเหมือนคนจากตระกูลพ่อค้าอย่างหวังซีไปเรื่อยๆ นอกจากเงินทอง ก็ไม่รู้จักของที่มีค่ามากกว่านั้นแล้ว
นางปรายตามองหวังซีอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวกับฉังเคอว่า นี่เจ้าไปตัดชุดอย่างนั้นหรือ ข้าว่าเจ้ากำลังเพลิดเพลินกับการที่ผู้อื่นประจบประแจงเจ้ามากกว่ากระมัง เจ้าเองก็ไม่คิดถึงสถานะของตัวเองบ้าง ไปห้องเสื้อเมฆาคำนึงใช้เงินขอให้ผู้อื่นประจบประแจงแล้วเจ้ายังรู้สึกว่ามีเกียรติอยู่อีก ข้าว่ายิ่งอยู่เจ้าก็ยิ่งไม่รู้ว่าอะไรคือความน่าละอาย!
คำพูดนี้กล่าวหนักเกินไปแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงฉังเคอกับหวังซี แม้แต่คนที่ไม่ค่อยยุ่งเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่สาวน้องสาวมาตลอดอย่างฉังเหยียนและคนที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาอย่างคุณหนูพานยังหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
พี่สาวรอง! ฉังเหยียนเรียกฉังหนิงเสียงหนึ่งเป็นการเตือน
คุณหนูพานขมวดคิ้วเล็กน้อย
หวังซีกลับมีสีหน้าเคร่ง ดวงหน้าที่แต่เดิมไม่พูดอะไรแต่แต้มรอยยิ้มเอาไว้หลายส่วนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทั้งร่างแฝงความดุดันน่าเกรงขามเอาไว้หลายส่วน เพียงแต่ว่าสีหน้านี้มาอย่างรวดเร็วและมลายหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน นางเม้มปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง เสียงกังวานใสนั้นราวกับว่าหวานหยดย้อยกว่าปกติถึงสองเท่า พี่สาวรอง นี่เจ้าเป็นอะไรไปหรือ พวกข้าเพียงเห็นว่าช่างตัดชุดในบ้านล้วนแก่ชราไร้เรี่ยวแรงกันหมดแล้ว กล่าวไปกล่าวมาก็มักจะหยิบยกเอาสำนักเย็บปักถักร้อยออกมาพูดอยู่ร่ำไป ก็เลยรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยเท่านั้น บัดนี้ผู้ใดไม่รู้บ้าง วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าเมื่อหลายวันก่อน ตอนฮองเฮาเหนียงเหนียงและซูเฟยเหนียงเหนียงไปถวายธูปกับฮ่องเต้ที่วัดต้าเจวี๋ยนั้น ล้วนสวมอาภรณ์ตามแบบฉบับของซูโจว จวนชิ่งอวิ๋นโหวสนิทสนมใกล้ชิดกับวังหลวงมาตลอด จึงชอบทำตามวังหลวง มิใช่เพราะพวกข้ากลัวว่าจะทำให้จวนโหวเสียหน้า ถึงได้ไปห้องเสื้อเมฆาคำนึงหรอกหรือ อีกอย่าง ทำการค้าก็พูดภาษาการค้า พวกข้าไปตัดชุดที่ร้านของพวกเขา ก็ถือเป็นลูกค้าของพวกเขา นางสมควรดูแลพวกข้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว! เงินรางวัลอะไรนั้น ก็ไม่เกินสองสามตำลึง ถือว่าพวกข้าสั่งทำปิ่นทองเพิ่มอีกสักชิ้นหนึ่งเท่านั้น ปกติให้เงินรางวัลบ่าวไพร่ก็ไม่น้อยไปกว่านี้ จะดีร้ายห้องเสื้อเมฆาคำนึงก็ตัดชุดให้สตรีจวนชิ่งอวิ๋นโหวบ่อยๆ คงไม่ตื้นเขินเพียงนั้น เพื่อปิ่นผมชิ้นหนึ่งแล้ว จะถึงกับประจบประแจงพวกข้าหรอกกระมัง
กล่าวถึงตรงนี้ นางยังมองฉังเคออย่างเป็นทุกข์ครั้งหนึ่ง กล่าวตัดพ้อว่า หรือว่าบรรดาช่างตัดเย็บในจวนที่มาวัดตัวตัดชุดให้พวกเรานั้นไม่ต้องให้เงินรางวัลเลยหรือ ข้าให้เงินรางวัลมากไปอย่างนั้นหรือ ข้าว่าพวกนางเอาใจใส่ข้ามากกว่าคนที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงเหล่านั้นเสียอีก
นี่หวังซีกำลังอวดอ้างว่าปกตินางให้เงินรางวัลบ่าวไพร่จำนวนมากใช่หรือไม่
ฉังหนิงยิ่งโมโห
ทว่าในใจกลับไม่อาจปฏิเสธได้ ปกติหวังซีให้รางวัลบ่าวไพร่อย่างใจกว้างจริงๆ แม้แต่บ่าวหญิงในเรือนของนางพอได้ยินว่าจะได้เจอหวังซี ต่างอยากไปปรนนิบัติรับใช้นาง หวังจะได้รับอะไรเล็กๆ น้อยๆ จากร่องนิ้วของนางบ้าง
แต่นี่ยิ่งทำให้นางขุ่นเคืองใจ
ฉังหนิงยิ้มเย็น กล่าวว่า เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าผู้อื่นรักเงินของเจ้า!
รู้! หวังซีราวกับเด็กที่ยังไม่ประสีประสาต่อโลก เบิกดวงตาโตสุกใส เอียงศีรษะมองฉังหนิง กล่าวว่า แต่ภายใต้ผืนฟ้านี้มีใครไม่ชอบเงินบ้าง สำหรับข้าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ทว่าเปลี่ยนเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดาของผู้อื่นได้ พวกเขาตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ
กล่าวจบ นางไม่รอให้ฉังหนิงเอ่ยปาก ก็เผยท่าทางนึกอะไรออกมาได้อย่างกะทันหัน กล่าวอีกว่า พี่สาวรอง ข้ารู้แล้ว สิ่งที่เจ้ากล่าวมาคือสิ่งที่พ่อข้าย้ำเตือนข้าบ่อยๆ มีคนชอบเงินทอง แต่ก็มีคนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากกว่าเหมือนกัน ตระกูลข้าล้วนชื่นชอบเงินทอง ดังนั้นพอพวกบ่าวไพร่ทำดี จึงชอบใช้เงินเป็นของรางวัล คาดว่าคนในจวนพวกเจ้าคงชอบชื่อเสียงมากกว่ากระมัง
นางตำหนิตัวเองเล็กน้อย กล่าวติเตียนว่า ข้าไม่ควรคิดว่าตัวเองชอบอะไรแล้วผู้อื่นจะชื่นชอบด้วย ขอบคุณพี่สาวรองมากที่ตักเตือน ไม่อย่างนั้นข้าคงยังไม่รู้ว่าที่จวนไม่ชอบใช้เงินมอบเป็นของรางวัลให้บ่าวไพร่ ในเมื่อข้าเข้าจวนมาแล้ว ย่อมต้องเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เรียนรู้จากพี่สาวทั้งสามท่าน พวกเจ้าทำอย่างไร ข้าก็จะทำอย่างนั้นด้วย
ยังกล่าวปลอบโยนฉังหนิงด้วยว่า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำวุ่นวายอีก ไม่ให้เงินรางวัลคนตามใจชอบอีกแล้ว!
มีการจัดการประเภทนี้ด้วยหรือ
ไม่ต้องพูดถึงบ่าวไพร่ข้างกายฉังหนิง แม้แต่บ่าวไพร่ข้างกายฉังเหยียน ยังอดต่อว่าในใจไม่ได้
ถ้าจวนหย่งเฉิงโหวมีเงิน แต่ละคนยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้หวังซีเป็นคนออกเงินซ่อมแซมสวนร่มหลิวอีกหรือ
หวังซีออกเงินให้อย่างใจกว้าง ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่คนที่โหวฮูหยินส่งไปทำความสะอาดลานบ้านนอกสวนหิมะงาม เงินรางวัลที่ได้รับในสองเดือนนี้เทียบเท่ากับเบี้ยรายเดือนเลยด้วยซ้ำ
บัดนี้จบสิ้นแล้ว คำพูดของฉังหนิงเพียงไม่กี่ประโยค ต่อไปเงินรางวัลเหล่านี้คงบินหายไปหมดแล้ว
แม้นกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่านี่เป็นการทะเลาะกันของเทพเซียน พวกเขารับเคราะห์โดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ผู้ใดสูญเงินรางวัลก้อนนั้นไปผู้นั้นย่อมเจ็บปวด พวกเขาจะสงบใจทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ
แน่นอนว่าไม่ได้
ดังนั้นพวกฉังหนิงยังไม่ทันได้แยกย้าย เรื่องนี้ก็แพร่ไปถึงหูของซือหมัวมัวแล้ว
ซือหมัวมัวอดไม่ได้ด่าฉังหนิงในใจว่า ‘ปัญญาทึบ’ ‘โง่เง่า’ ไปสองสามประโยค
ในฐานะหมัวมัวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า ตั้งแต่หวังซีเข้าจวนมา นางคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด
เพียงพอสำหรับทำปิ่นปักผมทองคำได้แล้วด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าโหวฮูหยินสั่งสอนคนไร้ประโยชน์ขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร ไม่แปลกที่ทำให้ท่านโหวโปรดปรานได้ไม่เท่าคุณหนูใหญ่ที่ออกเรือนไปแล้ว
นางลุกขึ้นอย่างร้อนใจ หมายจะไปอธิบายให้หวังซีฟัง
แต่ตัวคนเดินไปถึงหน้าประตู ฝีเท้าก็ค่อยๆ ชะลอลง
แม้ที่หวังซีกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาเป็นเพราะมีเจตนากลั่นแกล้งฉังหนิง แต่ถ้านางทำเช่นนี้จริงๆ สาวใช้เด็กในจวนเหล่านั้นย่อมตำหนิฉังหนิงที่ทำลายหนทางรวยของพวกนาง ทว่าหมัวมัวเช่นนางทำได้แค่รู้สึกว่านางทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นวิธีที่ดูเด็กไปเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าหวังซีเป็นคนฉลาด ย่อมไม่ตัดประโยชน์ของคนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเหล่านี้
เช่นนั้นเหตุใดนางต้องรีบเข้าไปข้องเกี่ยวกับโคลนตมในเวลานี้ด้วย
แต่ที่ทำให้ซือหมัวมัวคาดไม่ถึงก็คือ หวังซีรับมือได้ยากกว่าที่นางคิดเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
หวังซีหันหน้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน โผเข้าหาอ้อมกอดฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ออกมา ที่ผ่านมาในสายตาของทุกคนข้าคงเหมือนเป็นเศรษฐีใหม่ใช่หรือไม่ ขายขี้หน้าคนไปหมดแล้ว! ข้าได้ยินพี่สาวรองต่อว่าพี่สาวสี่ บอกว่าคนมีสถานะไม่ควรตกรางวัลให้บ่าวไพร่หนักเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นการใช้เงินซื้อน้ำใจคน เป็นเรื่องไร้เกียรติที่สุด ข้าเองก็ไม่อยากซื้อผู้ใด แต่ก่อนข้าเดินทางมาท่านแม่ข้าเป็นคนสืบความมาให้เป็นพิเศษ ว่าปกติคนจิงเฉิงให้เงินรางวัลบ่าวไพร่อย่างไรบ้าง ข้าทำตามที่มารดาของข้าย้ำกำชับมา หรือว่าเป็นเพราะท่านแม่ข้าจากเมืองหลวงไปนาน ระเบียบปฏิบัติของจิงเฉิงจึงเปลี่ยนไปแล้ว? ข้า…ข้ายังคิดว่าใกล้ถึงเทศกาลแข่งเรือมังกรแล้ว ปกติไม่มีโอกาสได้มอบของขวัญประจำเทศกาลให้ท่านลุงสองสามท่านสักเท่าไร ครานี้ในเมื่อข้ามาจิงเฉิงแล้ว ย่อมต้องจัดการให้เหมาะสม ข้าตั้งใจว่า ยังไม่บอกพวกท่านลุง ทำให้ทุกคนได้ปีติยินดีโดยไม่คาดคิดสักครั้งหนึ่ง แต่บัดนี้ เรื่องปีติยินดีอาจกลายเป็นเรื่องน่าตกใจ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว
นางร้องไห้จนคล้ายตับแหลกสลายเป็นชิ้นๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้องจนฮูหยินผู้เฒ่าปวดใจไปหมด
กล่าวเหลวไหล! ฮูหยินผู้เฒ่ากอดนางไว้ เช็ดน้ำตาให้นางด้วยตัวเอง เอ็ดสาวใช้ข้างกายว่า ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไปตักน้ำเข้ามาให้คุณหนูต่างสกุลล้างหน้าอีก
ภายในห้องวุ่นวายอลหม่านกันไปหมด
หวังซีกลับยิ่งเศร้าเสียใจแทนตัวเองมากขึ้น ข้าไม่ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่แล้ว ทุกคนต้องหัวเราะเยาะข้าลับหลังเป็นแน่! ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้! ปกติตอนอยู่บ้านข้าให้รางวัลบ่าวไพร่มากกว่านี้เสียอีก! บางครั้งข้ายังรู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำ ผู้ใดจะรู้ว่าที่จิงเฉิงจะกลายเป็นการให้รางวัลที่มากเกินไป มิใช่กล่าวว่าจิงเฉิงเป็นหัวเมืองหลักหรอกหรือ น่าจะมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าคนหลังเขาอย่างพวกข้าถึงจะถูก!
ขณะที่กล่าวนางจับผ้าเช็ดหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้นางเช็ดน้ำตาเอาไว้ มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว คล้ายสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงไปในกับดัก ไม่รู้ว่าน่าสงสารมากเพียงใด
อาหนิงผู้นี้ ปากไม่มีหูรูด ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหยิ่งนัก ให้ซือหมัวมัวไปเรียกโหวฮูหยินมา ทว่าหวังซีห้ามเอาไว้ ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ! หลีกเลี่ยงมิให้โหวฮูหยินต้องขุ่นเคืองใจเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย! ถึงเวลาข้าจะระวังเรื่องพวกนี้เอาไว้ ต่อไปเห็นผู้อื่นทำอย่างไรข้าก็จะทำอย่างนั้นด้วยก็พอ
กล่าวเช่นนี้ก็จริง ทว่าให้คนประโคมข่าวลือออกไป บอกว่าเดิมทีนางเตรียมของขวัญเป็นเงินห้าพันตำลึงเอาไว้ตั้งใจจะมอบท่านโหว สามพันตำลึงมอบให้บ้านรองและบ้านสาม ส่วนฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยินและคนอื่นๆ นั้น มีตั้งแต่สามพันตำลึงไปจนถึงสองร้อยตำลึงลดหลั่นกันไป
ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นดี หวังซีอาจอยู่ที่นี่ไปจนถึงเทศกาลปีใหม่
หลังเทศกาลแข่งเรือมังกรเป็นเทศกาลไว้พระจันทร์ ถัดจากเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลปีใหม่
เทศกาลปีใหม่ยิ่งใหญ่ว่าเทศกาลแข่งเรือมังกรและเทศกาลไหว้พระจันทร์เล็กน้อย
คิดคำนวณเช่นนี้แล้ว ทุกคนต้องสูญเงินไปเป็นจำนวนมากมายเท่าไร!
หย่งเฉิงโหวที่ปกติไม่เคยยุ่งเรื่องของเรือนชั้นในนั้นพอทราบเรื่องแล้วไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ เป็นครั้งแรกที่เรียกโหวฮูหยินเข้าไปหา ตำหนิอย่างรุนแรงไปคำรบหนึ่ง
สะใภ้ใหญ่ฉัง หรือก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของฉังหนิงและเป็นฮูหยินซื่อจื่อของจวนหย่งเฉิงโหว ก็บ่นกับสาวใช้คนสนิทเช่นกันว่า คุณหนูหวังทั้งมิได้กินของของพวกเราและมิได้ดื่มของของพวกเรา เหตุใดนางถึงทนผู้อื่นไม่ได้เช่นนี้ ข้าได้ยินมาว่าตอนที่กูไหน่ไนใหญ่ยังไม่ออกเรือนนั้น นางก็มักจะมีเรื่องกับกูไหน่ไนใหญ่บ่อยๆ โชคดีที่คุณหนูสามนิสัยดี อดทนนางได้
ฉังหนิงถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ในหอบรรพชน และคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ หนึ่งร้อยจบ
นอกจากนี้ยังต้องคัดด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นคัดให้
ให้ซือหมัวมัวคอยกำกับด้วยตัวเอง
ฉังเหยียนและฉังเคอเองก็โดนร่างแหไปด้วย ผู้หนึ่งถูกกักบริเวณเจ็ดวัน อีกผู้หนึ่งถูกลงโทษให้คัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ สิบจบ
ต่อให้เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ หวังซียังคงลดเงินรางวัลลงมา ให้เท่ากับที่ฉังหนิงและฉังเหยียนให้ในยามปกติ
หลักแหลมยิ่ง! หลังจากที่คุณหนูพานทราบข่าวนี้แล้วก็ลอบตบมือชื่นชม กล่าวกับสาวใช้คนสนิทว่า คุณหนูต่างสกุลท่านนี้เป็นคนยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง หากมีโอกาสผูกสัมพันธ์กับนางได้ก็คงดี
สาวใช้ผู้นั้นรีบกล่าวว่า ก่อนเดินทางมานายหญิงย้ำกำชับหลายต่อหลายครั้ง ให้ท่านเชื่อฟังโหวฮูหยิน อย่าได้ไปไหนมาไหนตามใจชอบเป็นอันขาด
คุณหนูพานถอนหายใจ จำต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง ลานบ้านทิศใต้ของสวนร่มวสันต์เงียบเชียบ ราวกับไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่ปาน
หวังซีอดรู้สึกผิดต่อฉังเคอไม่ได้ แอบไปช่วยนางคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ กับไป๋ซู่เงียบๆ
ตอนแรกฉังเคอยังถอนหายใจอย่างเป็นกังวล ให้หวังซีช่วยนางคัดไม่หยุดมือไปครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็หัวเราะฮ่าดังลั่นออกมาอย่างอดทนไม่ได้อีกต่อไป
หวังซีไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ปวดข้อมือไปหมดจนยากจะทานทน อยากจะตัดทิ้งไปเสียเหลือเกิน เห็นฉังเคอหัวเราะลั่นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา
ฉังเคออดกอดหวังซีไม่ได้ กล่าวว่า น้องสาวผู้โง่เขลา ข้ารู้ว่าเจ้าออกหน้าทำเพื่อข้า แต่ผู้อื่นมิได้บอกเสียหน่อยว่าต้องคัดให้เสร็จเวลาใด พวกเราจะรีบร้อนขนาดนี้ไปเพื่ออะไร อาจจะคัดสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ได้ ไหนเลยจะต้องรีบร้อนขนาดนี้
มารดาของนางยังแค่ส่งคนมาถามไถ่คำเดียวเท่านั้น
มีแต่หวังซีเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ กลัวว่านางจะเสียเปรียบ ก้าวเข้ามาช่วยนางคัดด้วยตัวเอง
นางเงยหน้าขึ้น ไม่ให้หวังซีสังเกตเห็นดวงตารื้นชื้นของนาง
หวังซีโมโห ทิ้งพู่กันในมือลง กล่าวว่า เจ้าทำข้าเสียโอกาสดีๆ ไปครึ่งวัน
เรื่องน่ารังเกียจนี้ทำให้นางเสียเวลา จนบัดนี้ยังไม่มีเวลาว่างไปดูเลยว่าที่นั่นยังมีดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่เล่มนั้นปักอยู่หรือไม่!
…………………………………………………………………..