เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 29 พี่สาวน้องสาว
ฉังเคอรีบกอดหวังซีเอาไว้ กล่าวน้ำเสียงออดอ้อนว่า เอาล่ะๆๆ เป็นข้าที่ไม่ดี เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าขอโทษเจ้า
หวังซีได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ไหนเลยจะพูดอะไรได้อีก ถือโอกาสขอโทษนางเช่นกัน จะว่าไปแล้ว ที่เจ้าถูกลงโทษล้วนเป็นข้าที่ไม่ดี ข้ารู้ทั้งรู้ว่าพี่น้องชายหญิงควรจะสามัคคีกันเอาไว้ ก็ยังจะค่อนแคะฉังหนิงต่อหน้าเจ้า และไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าอีก
โธ่เอ๊ย! ฉังเคอไม่อยากให้หวังซีไม่สบายใจ แสร้งไม่พอใจกล่าวว่า เจ้ากล่าวเช่นนี้ข้ายิ่งไม่ดีใจ เจ้าอุตส่าห์ออกหน้าเพื่อข้า ข้ายังจะสนใจเรื่องคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ ไม่กี่หน้านี้อีกหรือ กล่าวถึงตรงนี้ นางหันไปยิ้มให้หวังซีอย่างเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า รอให้ถึงกลางเดือนเจ็ด มอบให้ผู้อาวุโสเอาไปบริจาคให้ที่วัดได้ด้วย พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย มีอะไรไม่ดีกัน!
เรื่องประเภทนี้เมื่อก่อนหวังซีทำบ่อย
นางหัวเราะฮ่า รู้สึกว่ายิ่งอยู่นิสัยของนางกับฉังเคอยิ่งคล้ายกัน นางจึงวางพู่กันลง บอกให้ไป๋ซู่ไม่ต้องคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ ต่อแล้วเช่นกัน ก็ได้ เจ้ามีแผนแล้วก็ดี!
ฉังเคอกลับต้อนถามเรื่อง ‘โอกาสครึ่งวัน’ ขึ้นมา เดิมเจ้าตั้งใจจะทำอะไรหรือ
ถูกเฉินลั่วข่มขู่ เรื่องน่าขายหน้าขนาดนี้ นางจะให้ฉังเคอรู้ได้อย่างไร
หวังซียิ้มร่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังพักผ่อนกลางวันกันอยู่นั้น พาชิงโฉวกับหงโฉวสองพี่น้องแอบไปที่สวนร่มหลิว
หวังสี่รอพวกนางอยู่ตรงประตูยาม
เขาพาพวกนางเดินไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เล่าความคืบหน้าของการซ่อมแซมสวนร่มหลิวไปด้วย พวกช่างฝีมือทั้งหลายขยันขันแข็งกันอย่างมาก ฝีมือก็ดี สร้างบ้านได้ดีกว่าที่พวกเราเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก ข้ากลัวว่าคุณหนูพานจะมาถึงก่อนกำหนด สองวันก่อนจึงตั้งใจเชิญหัวหน้าคนงานไปเลี้ยงสุรามาครั้งหนึ่ง ขอให้พวกเขาช่วยเพิ่มแรงกายอีกสักหน่อย พยายามให้ได้ย้ายเข้าไปอยู่ภายในปลายเดือนหก ส่วนซอยกันไฟด้านนอก ข้าให้พวกช่างฝีมือเริ่มซ่อมแซมหน้าถนนใหม่แล้ว อีกยี่สิบกว่าวันก็น่าจะซ่อมเสร็จ หลังจากที่คุณหนูใหญ่ย้ายเข้าไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถม้าหรือเกี้ยวล้วนสะดวกสบายทั้งสิ้น คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ
คนรำกระบี่หาตัวเจอแล้ว ยังได้เจอกันที่ร้านของท่านหมอเฝิงครั้งหนึ่งด้วย ความสนใจของหวังซีจึงย้ายไปอยู่ที่เฉินลั่วว่าไปหาท่านหมอเฝิงทำไม มิได้กระตือรือร้นจะย้ายบ้านเท่าก่อนหน้านี้อีก ได้ยินหวังสี่กล่าวเช่นนี้ นางพยักหน้าหงึกๆ บอกหวังสี่ว่าลำบากเจ้าแล้วไม่กี่ประโยค ก็ไปที่กำแพงพร้อมกับชิงโฉวและหงโฉว
ชิงโฉวไปตั้งบันได
หวังซีมองแล้ว ในใจกลับบังเกิดความลังเลที่แสนประหลาดคล้ายคนจากบ้านเกิดไปนาน พอ ‘ใกล้บ้านเกิดก็รู้สึกหวาดกลัว’ ขึ้นมาหลายส่วน
นางยืนลังเลอยู่บนบันไดกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายจับไหล่ของชิงโฉวแล้วปีนขึ้นไปบนกำแพง
ผ้าไหมแดงสีซีดขาดวิ่นและดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยวอะไรกัน ล้วนเป็นแค่ความฝันเท่านั้น
ดาบเล่มนั้นยังตั้งอยู่ตรงนั้นจริงๆ ทว่าดูองอาจเกรียงไกรยิ่ง
ผ้าไหมสีแดงสดกระพือปีกท้าสายลม สันดาบหนาสีดำ คมดาบเป็นประกายคมกริบ ราวกับว่าเพียงกะพริบตาก็บั่นคนเป็นสองท่อนได้แล้ว ไหนกันที่ว่าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ไหนกันที่ว่าถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว?
ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดเหลวไหลของตัวเองทั้งนั้น!
หวังซีกุมศีรษะ ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกโมโหมาก
เฉินลั่วหมายความว่าอย่างไรกันแน่ รู้หรือไม่ว่านางคือคนที่บังเอิญพบเขาที่ร้านขายยาผู้นั้น ถ้าหากรู้ เหตุใดยังปักดาบเล่มนี้ไว้ตรงนี้อยู่อีก แต่ถ้าไม่รู้…หรือว่าจะมีแผนการบางอย่างเหมือนกับที่ฉังเคอพูดเอาไว้จริงๆ?
หวังซีขบคิดกับตัวเองครู่หนึ่ง
คนที่ต้องการให้ท่านหมอเฝิงไปรักษาเป็นผู้ใดกันแน่
ฮ่องเต้? ไม่น่าเป็นไปได้ หากเขาล้มป่วย จะออกว่าราชการเช้าได้อย่างไร และจะปิดบังขุนนางทั้งหมดได้อย่างไร
หรือฮองเฮา? นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ท่านหมอเฝิงพูดต่อหน้าเฉินลั่วว่าเขาเชี่ยวชาญโรคสตรีกับโรคเด็ก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขาเชี่ยวชาญอายุรกรรมที่สุด โรคสตรีคือเพื่อช่วยให้มารดาของนางคลอดนางออกมาอย่างปลอดภัย ส่วนโรคเด็กคือการรักษานาง ในเมื่อเฉินลั่วมาหาท่านหมอเฝิงถึงที่ได้ ย่อมต้องสืบประวัติท่านหมอเฝิงมาอย่างละเอียดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังทำได้ไม่ดี
เฉินลั่วผู้นั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่
หวังซีมองลานบ้านว่างเปล่าที่มีเพียงเสียงลมพัดผ่านป่าไผ่ ในใจโศกสลดเป็นอย่างยิ่ง
นางรู้สึกว่านางต้องสืบให้แน่ชัดว่าเฉินลั่วไปหาท่านหมอเฝิงทำไมถึงจะดี
หวังซีกลับสวนหิมะงามไปอย่างเดือดดาล จากนั้นหาโอกาสหนึ่งไปร้านขายยาอีกครั้งเพียงลำพัง
ใกล้ถึงวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่แล้ว แม้นพวกฉังหนิงและฉังเหยียนต่างถูกลงโทษ แต่พิจารณาถึงเรื่องที่พวกนางต้องเข้าร่วมงานวันคล้ายวันเกิดแล้ว การควบคุมจึงมิได้เคร่งครัดเหมือนยามปกติ ด้านฉังเคอมิได้มีกำหนดเวลาว่าต้องคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ ให้แล้วเสร็จตอนไหน ด้านฉังหนิงก็มิได้คุกเข่าครบเจ็ดวัน วันที่สามก็ปล่อยตัวนางออกมาจากหอบรรพชนแล้ว ที่เหลืออีกสี่วันรอให้ผ่านพ้นงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่แล้วค่อยมาทำต่อ
ฉังหนิงรู้ว่าหวังซีออกจากบ้าน ในใจยิ่งขุ่นเคืองไม่เป็นสุข แต่ก็กลัวว่าหากตนโวยวายขึ้นมาอีกครั้งในระหว่างที่ผู้อาวุโสในบ้านยังไม่คลายความโกรธ จะส่งผลกระทบต่อการไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ได้ นางจำต้องระงับความไม่เป็นสุขเต็มหัวใจไว้วิ่งไปหาฉังเหยียน พวกเราพี่น้องล้วนถูกทำโทษกันหมด นางช่างดีเหลือเกิน ยังมีอารมณ์วิ่งออกไปเที่ยวเล่นได้อีก ท่านย่าเข้าข้างนาง แต่นางก็ทำเกินไปแล้วกระมัง
ฉังเหยียนถูกทำโทษให้ยืนเพียงเจ็ดวันเท่านั้น นางไม่คิดจะกลับมาทำต่ออีกหลังเสร็จสิ้นงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ตอนฉังหนิงมาหา นางกำลังยืนแนบตัวกับผนังบ้านภายใต้การกำกับควบคุมของหมัวมัวสองคนอยู่
ได้ยินฉังหนิงกล่าวเช่นนี้ นางปรายตามองฉังหนิงครั้งหนึ่ง ไม่คิดจะสนใจฉังหนิง
แต่ฉังหนิงกลับทำเสมือนเป็นเรือนของตัวเอง หลังจากที่ให้สาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฉังเหยียนรินชาให้นางถ้วยหนึ่งแล้ว ก็นั่งลงบนเก้าอี้กลมข้างโต๊ะกลมกลางห้อง กล่าวกับนางต่อว่า สู้ไม่ได้ก็วิ่งหนี หนีไม่พ้นก็ไปฟ้องผู้ใหญ่ นับเป็นอะไรได้ อย่าคิดว่านางไม่มีจุดอ่อน คอยดูเถอะ ข้าก็จะเอานางไปฟ้องท่านย่าบ้างเหมือนกัน
ไม่ว่าผู้อื่นจะวิ่งหนีหรือไปฟ้อง แค่ยื่นมือออกไปก็ตีเจ้าให้ล้มลงได้แล้ว นั่นคือความสามารถ
เจ้าไม่เรียนรู้ไว้สักหน่อย ยังท้าทายนางอยู่ตรงนั้นอีก เจ้าไม่ถูกลงโทษแล้วผู้ใดจะถูกลงโทษ
ฉังเหยียนทำปากขมุบขมิบ มองท่าทางอวดเก่งแต่ข้างในขี้ขลาดตาขาวของฉังหนิงแล้ว ตัดสินใจกลืนคำพูดที่เอ่อมาถึงริมฝีปากนั้นลงไป
ผู้ใดจะรู้ว่าฉังหนิงกลับกล่าวว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่านางจะสวมชุดและเครื่องประดับอะไรไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่
ฉังเหยียนรีบถามอย่างระแวดระวังว่า เจ้าจะทำอะไร
ปีนั้นบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากภรรยาคนแรกของผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้ายมาจากบ้านเดิมที่ชนบท มารดาเลี้ยงพามาร่วมงานแต่งงานของคุณหนูสี่จวนชิ่งอวิ๋นโหว ก็เคยเกิดเรื่องที่ถูกราดด้วยน้ำแกงจนเปียกแล้วจะไปเปลี่ยนชุดแต่ค้นพบว่าชุดสำรองที่นำมาเปลี่ยนนั้นถูกตัดขาดจนเป็นรูใหญ่มาก่อน
นางไม่มีทางยอมให้พี่สาวน้องสาวของพวกนางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเป็นอันขาด!
เดิมทีจวนเซียงหยางโหวก็ดูแคลนธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลพวกเขาอยู่แล้ว หากมีเรื่องที่พี่สาวน้องสาวขัดแย้งกันเองอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนภายนอก จนเป็นเรื่องให้ต้องขายหน้าไปทั่วทั้งจิงเฉิงประเภทนี้ขึ้นมาอีกล่ะก็ ชีวิตนี้นางอย่าคิดจะได้แต่งเข้าจวนเซียงหยางโหวอีกเลย
นางอยากแต่งกับคุณชายสี่เจี่ยเฝิงของจวนเซียงหยางโหว
มารดาของนางก็บอกว่าดี
กำลังหาวิธีไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวอยู่
แต่นางก็รู้ดี บ้านรองของจวนเซียงหยางโหวนั้นมิได้คุยด้วยง่ายขนาดนั้น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนพวกเขาก็อาจจะคุยกับนายหญิงรองไม่สำเร็จก็เป็นได้
แต่นางไม่อยากยอมแพ้
นางจึงต้องพยายามด้วยตัวเอง ทำให้คนของจวนเซียงหยางโหวประทับใจสักครั้งถึงจะถูก
นางไม่อยากเป็นเหมือนท่านย่าหรือท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของนาง หนึ่งคนตื่นตระหนกก็ตื่นตระหนกกันทั้งรัง ผู้หนึ่งแม้แต่บุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ ส่วนอีกผู้หนึ่งแม้แต่การเป็นภรรยาให้ผู้อื่นต้องเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ ทำเอาจวนหย่งเฉิงโหวผู้ใหญ่ไม่เหมือนผู้ใหญ่ เด็กไม่เหมือนเด็กไปทั้งจวน บุตรสะใภ้ที่แต่งเข้ามาก็ไม่มีที่ดูได้เลยสักคน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนรุ่นต่อไปก็คงไม่มีคนโดดเด่นอะไรเท่าไรแล้ว แทนที่จะถูกพวกเขาลากไปตาย มิสู้ฉวยโอกาสตอนที่เปลือกนอกของจวนหย่งเฉิงโหวยังสดใสนี้ หาทางแต่งกับตระกูลดีๆ สักตระกูลหนึ่งดีกว่า
ฉังหนิงเป็นอย่างที่ฉังเหยียนคิดเอาไว้ นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นตอนงานแต่งงานของคุณหนูสี่จวนชิ่งอวิ๋นโหวเรื่องนั้นจริงๆ
นางหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ กล่าวว่า ข้ามิได้โง่ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ให้นางเกิดอุบัติเหตุอะไรสักหน่อยที่งานเลี้ยง ให้เสียหน้าสักครั้ง ผู้อื่นเห็นแล้ว ก็คิดแค่ว่านางเป็นเพียงคุณหนูต่างสกุลที่มาพึ่งบุญบารมีผู้หนึ่งเท่านั้น น่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอกกระมัง
ไม่ได้! ฉังเหยียนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด ทันใดนั้นพอจะเข้าใจพี่สาวใหญ่แล้วว่าเหตุใดถึงไม่ญาติดีกับน้องสาวร่วมอุทรผู้นี้ ไม่ไปมาหาสู่กันอีก
ก็เหมือนกับที่นางคอยกำกับดูแลอยู่เช่นนี้ เพียงเพื่อให้ฉังหนิงไม่สร้างความผิดพลาดทำให้ผู้คนต้องรู้สึกเหนื่อยไปด้วย
อยู่ที่จวนเจ้าจะสร้างความวุ่นวายอะไรข้าไม่สน แต่ไม่อาจไปสร้างเรื่องวุ่นวายต่อหน้าคนภายนอกได้ ฉังเหยียนเตือนฉังหนิง เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว
ใกล้จะต้องมองหาสามีแล้ว
ฉังหนิงคิดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของหย่งเฉิงโหว ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีทางได้แต่งกับคนที่ย่ำแย่เกินไป จึงไม่ค่อยเป็นกังวลเรื่องงานแต่งของตัวเองนัก อย่างไรก็ตาม นางเองก็พอจะฟังออก ฉังเหยียนกลัวว่าจวนเซียงหยางโหวจะได้เห็นเรื่องตลกขบขัน
ฉังเหยียนอยากแต่งกับคุณชายสี่ของจวนเซียงหยางโหว ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่นางอยู่กับฉังแหยียนบ่อยๆ พอจะเห็นระแคะระคายอะไรบ้าง
นางรู้สึกว่าฉังเหยียนค่อนข้างโง่เขลา มีชีวิตดีๆ ไม่ชอบ ต้องการไปขายหน้าอยู่ต่อหน้าจวนเซียงหยางโหว
หากเป็นยามปกติ เพื่อรักษาความรู้สึกของพี่สาวน้องสาวแล้ว นางก็คงจะทำเป็นไม่รู้เรื่องไปเสีย แต่วันนี้น้ำเสียงที่ฉังเหยียนพูดกับนางทำให้นางไม่ชอบใจ นางอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า น้องสาวสามคงกลัวว่าจะทำให้จวนเซียงหยางโหวไม่ชอบใจกระมัง ข้าดูจากตอนที่อยู่วัดอวิ๋นจวีวันนั้น จวนเซียงหยางโหวนั้นตั้งแต่ข้างบนจนถึงข้างล่างดูชื่นชอบหวังซีกันหมด นายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวก็เป็นคนยอดเยี่ยมมากผู้หนึ่ง บุตรสาวคนโตของนางแต่งเข้าจวนชิ่งอวิ๋นโหวไปเป็นฮูหยินซื่อจื่อ บุตรชายคนโตแต่งงานกับบุตรสาวของหัวหน้าฝ่ายคัดเลือกทหารกรมกลาโหม คุณชายสี่เป็นบุตรชายคนรองของนาง ได้ยินว่ายกย่องเทิดทูนองค์หญิงฟู่หยางเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ซูเฟยเหนียงเหนียงกับฮองเฮาไม่ถูกกัน จวนชิ่งอวิ๋นโหวย่อมไม่อยากให้คุณชายสี่ชมชอบองค์หญิง หวังซีผู้นั้นก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวคนหนึ่ง อย่างน้อยผู้อื่นก็มีสินเจ้าสาวจำนวนมาก เลี้ยงจวนโหวสักจวนหนึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
นางยังพูดไม่ทันจบ ดวงหน้าของฉังเหยียนก็ซีดเผือด อีกเพียงนิดเดียวกระบอกตาก็คงคลอไปด้วยน้ำตาแล้ว
ฉังเหยียนมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยทำร้ายฉังหนิงมาก่อน ฉังหนิงกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาต่อหน้านาง ทำเกินไปแล้ว!
หากน้องสาวสกุลหวังแต่งเข้าจวนเซียงหยางโหวได้ ก็มิใช่เรื่องแย่นี่นา! นางพยายามทำให้ตัวเองดูสบายๆ กล่าวว่า คุณชายสี่เจี่ยรูปงามสุภาพเรียบร้อย เป็นบุตรเขยเต่าทองคำ[1]ที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างกล่าวชื่นชม มาเกี่ยวดองกับตระกูลของพวกเราได้ก็ดีเหมือนกัน พี่สาวรอง เจ้าเห็นว่าอย่างไร!
นางมองฉังหนิง สีหน้าปกปิดความโกรธเอาไว้เผยความดุร้ายออกมาเล็กน้อย
ฉังเหยียนที่เป็นเช่นนี้ ราวกับถอดผ้าคลุมหน้าออก ทิ่มแทงตรงไปยังหัวใจผู้คน
ฉังหนิงตกตะลึง
ฉังเหยียนยิ้มเย็นกล่าวว่า ข้าไม่สนว่าพี่สาวรองวางแผนอะไร หากวันนั้นน้องสาวสกุลหวังมีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าจะไปฟ้องท่านลุงใหญ่กับพี่ชายใหญ่ว่าเจ้าเป็นคนทำเรื่องนี้ เจ้าอย่าลืมว่า จวนชิ่งอวิ๋นโหวอยากเกี่ยวดองกับตระกูลพวกเรามาตลอด ท่านลุงใหญ่ไม่ยอม ทว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่กลับคิดว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวก็ไม่เลวเลยทีเดียว
เจ้า… ฉังหนิงมองฉังเหยียนอย่างเดือดดาล
คนที่ฉังเหยียนกล่าวถึงคือปั๋วหมิงเย่ว์บุตรชายคนเล็กของชิ่งอวิ๋นโหว ทั้งไม่เรียนหนังสือและไร้ความสามารถ นอกจากชอบขี่ม้าล่าสัตว์แล้ว ยังชอบเลี้ยงดูนางแสดงอีกด้วย ตราบใดที่เป็นตระกูลพอจะมีหน้ามีตาในจิงเฉิง ล้วนไม่มีทางให้บุตรสาวภรรยาเอกแต่งกับเขา
สองพี่น้องแยกจากกันด้วยความขุ่นเคือง
ฉังเหยียนคิดว่านี่ไม่ได้การแล้ว เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องหลายรอบ รีบไปที่เรือนของมารดาอย่างร้อนใจ
…………………………………………………………………….
[1] บุตรเขยเต่าทองคำ เปรียบเปรยถึงชายหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่ใครๆ ก็อยากได้มาเป็นบุตรเขย