เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 31 แสดงความเป็นมิตร
เหตุผลที่มารดากล่าวมาฉังเหยียนเข้าใจดีทุกอย่าง หาไม่นางก็คงอดทนฉังหนิงมาตลอดหลายปีขนาดนี้ไม่ได้ แต่เพียงนางคิดว่าหวังซีอาจมีโอกาสได้แต่งเข้าจวนเซียงหยางโหว หน้าอกของนางก็คล้ายกับมีของอะไรมาอุดเอาไว้ จนหายใจไม่ออก
นายหญิงรองรู้ว่าบุตรสาวยังคิดไม่ตก รู้ว่านางต้องการเวลาไปตกตะกอนสิ่งที่ตนพูดไป ยิ่งไปกว่านั้นบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมานางย่อมรู้ดีว่ามิใช่คนไร้ความคิด และมิใช่คนไม่ฟังคำแนะนำประเภทนั้นด้วย ให้ดีที่สุดคือรอไปก่อน รอให้นางคิดตกแล้วค่อยว่ากันอีกที
นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดเรื่องงานแต่งงานของคุณชายสามฉังบุตรชายคนโตของตัวเองขึ้นมา อีกไม่กี่วันตระกูลหันจะมาวัดเรือนหอเพื่อเตรียมเครื่องเรือนสำหรับสินเจ้าสาวแล้ว ถึงเวลาข้าต้องไปอยู่ด้วย ช่วงนี้ต้องลำบากเจ้าช่วยจับตาดูอาหนิงไว้สักหน่อย อย่าให้นางสร้างเรื่องขายหน้าตอนที่คนตระกูลหันมาที่บ้าน ทางด้านหวังซี อะไรที่สมควรไปมาหาสู่ด้วยเจ้าก็ต้องไปมาหาสู่กับนางสักหน่อย ยามว่างสร้างไว้ใช้ในยามคับขัน คนมีความคิดปลอบประโลมคนไม่มีความคิดได้ ถ้าหากหวังซีได้แต่งเข้าจวนเซียงหยางโหวจริง ไปผูกสัมพันธ์ตอนนั้นก็ออกจะสายไปแล้ว
ฉังเหยียนกัดริมฝีปาก กล่าวอย่างไม่ยอมว่า ท่านแม่ ท่านมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือว่าหวังซีจะได้แต่งกับคุณชายสี่เจี่ย
ต่อให้ต่อไปเจ้าได้แต่งเข้าไป นายหญิงรองกล่าวเรียบๆ การมีพี่สาวน้องสาวที่ตระกูลร่ำรวยมั่งคั่งอย่างหวังซีผู้หนึ่งอยู่ด้วย เป็นเรื่องไม่ดีหรืออย่างไร
ฉังเหยียนไม่กล่าวสิ่งใด
นายหญิงรองถอนหายใจกอดบุตรสาวเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่แน่ว่าพวกเจ้าต่างก็ไม่มีวาสนากับเขาเลยก็เป็นได้ เพื่อบุรุษผู้หนึ่งแล้วไม่อาจถึงกับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด แม่ไม่มีทางทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน
ฉังเหยียนพยักหน้า กลับถึงห้องนอนพลิกตัวไปมากว่าครู่ใหญ่ก็ยังนอนไม่หลับ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หารือกับกุ้ยเซียงสาวใช้ใหญ่คนสนิทว่าควรจะส่งของอะไรไปให้หวังซีดี ถือเป็นการเริ่มสานสัมพันธ์อันดีต่อกันนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
กุ้ยเซียงเป็นสาวใช้ที่เฉียบแหลมผู้หนึ่ง พอได้ยินก็เข้าใจความคิดของฉังเหยียนทันที นางไม่ถามอะไรมาก แต่ตั้งใจเสนอความคิดให้ฉังเหยียน มิสู้ส่งผลไม้ตามฤดูกาลไปให้สักเล็กน้อย ดูเป็นธรรมชาติและไม่เป็นที่สังเกต ยังส่งไปให้คุณหนูพานและคุณหนูสี่สักเล็กน้อยได้ด้วย
ส่วนคุณหนูรองฉังหนิงนั้น ย่อมต้องส่งไปให้อยู่แล้ว
แต่ผลไม้ที่แพงที่สุดในฤดูกาลนี้คืออิงเถา[1] ฉังเหยียนลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดใจซื้ออย่างขมขื่น เช่นนั้นก็ซื้ออิงเถากลับมาสักหน่อย ส่งไปให้ทุกเรือนเรือนละเล็กละน้อย ด้านฮูหยินผู้เฒ่าและท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็อย่าให้ขาด ส่วนคุณหนูหวังกับคุณหนูพาน ข้าจะเอาไปส่งให้ด้วยตัวเอง
กุ้ยเซียงรับคำยิ้มๆ จัดคนไปซื้ออิงเถาด้วยตัวเอง
หวังซีไปร้านขายยาอีกครั้ง
ครานี้ท่านหมอเฝิงไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่นั่งอยู่ในห้องรองฝั่งตะวันตกที่ใช้เป็นห้องหนังสือข้างๆ ห้องนอนของตัวเอง กำลังขยับเข้าขยับออกดอมดมเครื่องหอมร้อยบุปผาที่กองอยู่บนโต๊ะหนังสือ เห็นนางเดินเข้ามา รีบหันมากวักมือเรียกนางยิ้มๆ เป็นสัญญาณให้นางนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนข้างตัวเอง เอ่ยถามนางว่ากินข้าวเช้ามาหรือยัง พร้อมกับหยิบเครื่องหอมร้อยบุปผากล่องหนึ่งส่งให้หวังซีไปด้วย เอ่ยขึ้นว่า เจ้าลองดมดู เครื่องหอมเหล่านี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง
หวังซีดมไปเพียงไม่กี่กล่อง ก็ถูกกลิ่นหอมนั่นทิ่มแทงจนไม่รับรู้กลิ่นไปแล้ว
ท่านหมอเฝิงหัวเราะฮ่าดังลั่น เฝิงเกาถือถุงถ่านเข้ามาถุงหนึ่ง
หวังซีและท่านหมอเฝิงออกมาจากห้องหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนไม้ประดู่แดงใต้ชายคาบ้าน เฝิงเกายกน้ำและชาเข้ามาอีกครั้ง
นี่ท่านต้องการทำอะไรหรือ หวังซีจิบน้ำไปคำหนึ่ง เอ่ยถามอย่างฉงนสงสัย เครื่องหอมเหล่านี้มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ
ไม่มีอะไร ท่านหมอเฝิงยังคงมีท่าทางไม่ค่อยอยากบอกนางเท่าไรนัก กล่าวว่า ข้าทำเครื่องหอมไป่เหอจากความทรงจำผสมลงไปในนั้นด้วยกล่องหนึ่ง อยากให้พวกเจ้าช่วยดูว่ามีอะไรแตกต่างกันหรือไม่ ศิษย์พี่ของเจ้าดมไปกว่าครึ่งค่อนวันก็ดมไม่เจออะไร คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็ดมไม่เจอด้วยอีกคน
นั่นก็เพราะจมูกข้าไวกว่าของศิษย์พี่! หวังซีกล่าวโอ้อวด ท่านดูศิษย์พี่ ดมไปมากมายขนาดนั้นยังดมไม่เจออะไร ข้าดมไปเพียงไม่กี่กล่องก็ทนไม่ไหวแล้ว
ท่านหมอเฝิงหัวเราะฮ่า ยื่นผลบ๊วยแดงลูกใหญ่ให้นางอย่างรักใคร่ลูกหนึ่ง
หวังซีรับมากัดไปคำหนึ่ง รสเปรี้ยวๆ หวานๆ กรอบมากเป็นพิเศษ นางอดพยักหน้าไม่ได้ กล่าวว่า ผลบ๊วยนี่อร่อยมาก ไม่เหมือนผลบ๊วยที่เผิงเฉิงของพวกเรา ผลบ๊วยของหย่งไท่ที่ฝูโจวก็ไม่กรอบเท่านี้ ของสือเหมินที่หูเป่ยโดยมากเป็นบ๊วยเขียว ตอนนี้ก็เริ่มปลูกบ๊วยแดงแล้วหรือ
มิใช่ คนชอบกินสองคนมาเจอกัน เรื่องที่ชอบคุยมากที่สุดยังคงเป็นของกิน ท่านหมอเฝิงกล่าวอย่างภูมิใจเล็กน้อยว่า เป็นบ๊วยของต้าลี่ที่ส่านซี ข้ามาจิงเฉิงแล้วได้ยินคนพูดถึงโดยบังเอิญ จึงให้คนช่วยดูให้และนำมาส่งให้ข้าที่จิงเฉิงเป็นพิเศษหนึ่งตะกร้า เดิมทีตั้งใจว่าจะส่งไปให้ปู่ของเจ้าชิมสักหน่อยด้วย แต่ระยะทางห่างไกล ตอนส่งไปถึงเกรงว่าคงไม่สดใหม่แล้ว เอาไปแปรรูปก็สูญเสียความกรุบกรอบของมัน ข้าจึงไม่ส่งไปให้
หวังซีพยักหน้าหงึก กินผลบ๊วยครึ่งลูกเข้าไปในคำเดียว รู้สึกฝาดในปากเล็กน้อย ถึงได้หยุดกิน กล่าวว่า กินแรกๆ ยังพอได้ แต่พอกินมากแล้วก็อย่างนั้นๆ แปรรูปก็สูญเสียคุณลักษณะเด่นของมันไปอีก เอาไว้สำหรับชิมความสดใหม่เท่านั้นจริงๆ
ทั้งสองคนจึงถกกันว่าบ๊วยแดงอร่อยกว่าหรือว่าบ๊วยเขียวอร่อยกว่าไปอีกครึ่งค่อนวัน ถึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมาที่เรื่องผสมเครื่องหอมอีกครั้ง
หวังซีกล่าว นี่ท่านอยากให้พวกข้าช่วยดมดูว่าเครื่องหอมที่เฉาอวิ๋นผสมเหมือนหรือต่างกับของที่ท่านผสมใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้ออกจะยากไปเล็กน้อย มิสู้หาวิธีตั้งชื่อเครื่องหอมที่ท่านผสมออกมาเป็นอีกชื่อหนึ่ง จากนั้นหาทางนำไปขายที่หน้าประตูวัดต้าเจวี๋ย หากกลิ่นเหมือนกัน ทุกคนย่อมคิดว่าพวกเราลอกเลียนแบบสูตรเครื่องหอมของเฉาอวิ๋น ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบเฉาอวิ๋นด้วยก็เป็นได้
วิธีนี้ช่างคิดได้…
ท่านหมอเฝิงอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า สมองน้อยๆ ของเจ้านี้ช่างเหมือนปู่ของเจ้าไม่มีผิด ผู้อื่นล้วนคิดว่าควรตั้งชื่อให้เหมือนกัน หากมีคนดมแล้วกลิ่นไม่เหมือนกัน ต้องมาหาพวกเราเป็นแน่ เจ้าก็ดีกลับคิดว่าควรตั้งชื่ออีกชื่อหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าคิดออกมาได้อย่างไร
หวังซีรู้สึกมาโดยตลอดว่าหากทุกคนคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีทางทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นได้ และไม่มีอะไรพิเศษไปจากคนอื่นด้วย แล้วจะเป็นการค้าที่โดดเด่นที่สุดได้อย่างไร และหากมิใช่การค้าที่โดดเด่นที่สุด แล้วจะมีความหมายอะไร
นางหัวเราะร่าพลางกล่าว มีสักกี่คนที่ดมแล้วแยกแยะได้จริงๆ ว่ากลิ่นเป็นอย่างไร หากกลิ่นเหมือนกัน ชื่อเหมือนกัน ผู้อื่นอาจคิดว่าพวกเราไปรับสินค้ามาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่มีทางคิดว่าพวกเราเป็นคนทำเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะถูกค้นพบเสียที แต่ถ้ากลิ่นเหมือนกัน ชื่อไม่เหมือนกัน แต่กลับขายราคาถูกกว่าพวกเขามาก ปัญหานี้ก็จะใหญ่ขึ้นแล้ว ต่อให้ดึงดูดเฉาอวิ๋นไม่ได้ ก็ต้องดึงดูดคนของวัดต้าเจวี๋ยได้
เฝิงเกายิ้มกล่าว ข้ารู้สึกว่าวิธีของศิษย์น้องเล็กเข้าท่า เพียงแต่ต้องคิดว่าถ้าดึงดูดคนของวัดต้าเจวี๋ยได้แล้วควรทำอย่างไรต่อ
เนื่องจากเป็นวัดของราชวงศ์ เจ้าอาวาสรู้จักคนมีอิทธิพลเป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะผ่านไปไม่ง่าย
หวังซีกรอกตาขาวใส่เฝิงเกาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า ปู่เฝิงผสมเครื่องหอมเพื่อสืบทอดมรดกตามปกติ ต่อให้คนของวัดต้าเจวี๋ยตรวจสอบเจอแล้วอย่างไร อย่างมากต่อไปพวกเราก็แค่ไม่ทำ อีกทั้งพวกเราก็มิได้ผสมเครื่องหอมเพื่อประทังชีวิต ไม่ได้ผสมเครื่องหอมแล้วจะเป็นไรไป นอกเสียจากว่าปู่เฝิงคิดจะช่วงชิงตำแหน่งนักผสมเครื่องหอมอันดับหนึ่งในจิงเฉิงของเฉาอวิ๋นผู้นั้นมา
กล่าวถึงตรงนี้ นางยังหันไปหัวเราะกับเฝิงเกาอย่างเจ้าเล่ห์อีกด้วย
นางคงอยากยั่วยุอาจารย์ของเขาสักครั้งกระมัง
เฝิงเกาฟังอยู่ข้างๆ ไม่กล่าวคำใด
ท่านหมอเฝิงกลับไม่หลงกล แต่จมอยู่ในภวังค์ความคิดกว่าครู่ใหญ่ กล่าวยิ้มๆ ว่า ข้าก็แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น ไหนเลยจะอยากไปแก่งแย่งชื่อเสียงจอมปลอมอย่างนักผสมเครื่องหอมอันดับหนึ่งกับคนที่ละทางโลกไปแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้ปล่อยไปเช่นนี้เถอะ รอให้ผ่านพ้นเทศกาลแข่งเรือมังกรแล้วค่อยว่ากันอีกที สองสามวันนี้มีคนมาถามหายาน้ำสมุนไพรฮั่วเซียงปรับเลือดลมและยาอมชุ่มคอเหรินตันเป็นจำนวนมาก ทุกคนตั้งใจกันหน่อย ทำยาเม็ดดับร้อนออกมาให้มาก พยายามทำแผ่นแปะซานฝู[2]อีกอย่างด้วย เอาค่าใช้จ่ายของร้านในปีนี้กลับมาให้ได้
ถึงแม้หวังซีไม่ได้ดูแลเรื่องต่างๆ แต่นางรู้ว่าค่าเช่าหน้าร้านที่ดีที่สุดของพวกนางที่เหวินโจวหนึ่งปีเป็นจำนวนเท่าไร จึงพอจะคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของร้านขายยาได้ นางได้ยินแล้วตกใจเป็นอย่างมาก ถามว่า การค้าของร้ายขายยาดีขนาดนี้เชียวหรือ
ท่านหมอเฝิงตอบอย่างถ่อมตนว่า พอไปได้ แล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งไป
ระหว่างทางที่หวังซี ท่านหมอเฝิงและเฝิงเกาไปรับประทานอาหารที่หอตงเฟิงนั้น นางหาโอกาสหนึ่งถามเฝิงเกาว่า เช่นนั้นยังต้องสืบว่าปู่เฝิงตามหาเฉาอวิ๋นทำไมต่ออีกหรือไม่
สืบต่อไป เฝิงเกาขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า ข้ารู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ตลอด คล้ายกับมีเรื่องอะไรที่สำคัญมากเพียงแต่ว่านึกไม่ออก
เฝิงเกาติดตามท่านหมอเฝิงมาตั้งแต่แบเบาะ บางทีตอนเป็นเด็กอาจเคยได้ยินอะไรมาบ้าง
หวังซีมิได้เร่งรัดเฝิงเกา ทั้งสามคนไปกินฟองเต้าหู้ม้วนยัดไส้ทอดกรอบและเป็ดชั้นหนึ่งด้วยกันอย่างมีความสุข
นางรู้สึกว่าจิ้มหนังเป็ดกับน้ำตาลทรายขาวอร่อยที่สุด ยังเอากลับไปฝากฉังเคอเป็นพิเศษอีกหนึ่งตัวด้วย
ฉังเคอย่อมยินดีปรีดา รั้งให้หวังซีอยู่รับประทานของว่างมื้อดึกด้วยกัน กล่าวว่า เป็ดชั้นหนึ่งของหอวายุบูรพานั้นค้างคืนแล้วไม่อร่อย ต้องกินภายในวันนั้นเลย
หวังซีกินมาอิ่มแปล้แล้ว และเนื่องจากดึกแล้ว ฉังเคอกลัวไม่ย่อย จึงไม่กล้ากินเยอะ ตอนกลับสวนหิมะงามหวังซียังเอาเป็ดอีกครึ่งตัวกลับไปด้วย เป็นของว่างมื้อดึกให้คนข้างกาย
ไป๋ซู่ที่เป็นเวรเฝ้าบ้านบอกนางว่าฉังเหยียนมาหา เอาอิงเถาหนึ่งตะกร้ามาให้ด้วย กล่าวอีกว่า ข้าถามนางว่ามีธุระอะไรนางก็ไม่บอก จำต้องรับของเอาไว้ก่อน ท่านว่าพวกเราเอาอะไรเป็นของขวัญตอบแทนดีเจ้าคะ
ที่ปรับลดบรรทัดฐานการให้รางวัลลงมา ก็เพราะต้องการให้บทเรียนฉังหนิงสักครั้ง แต่ระยะนี้ฉังหนิงยังคงยืนกรานจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ปรับปรุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว หวังซีรู้สึกว่าไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ปกติจัดการกับฉังหนิงได้แล้ว แต่ฉังเหยียนกลับเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน พยายามผูกสัมพันธ์กับนาง นางเองก็ไม่อาจปฏิเสธ หากนางกับฉังเหยียนเข้ากันได้ดี ด้วยนิสัยของฉังหนิงแล้ว นางต้องทนไม่ได้แน่
คิดถึงว่าฉังหนิงอาจทนไม่ได้แล้ว หวังซีก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
เช่นนั้นก็ส่งปี่แป่ไปให้สักเล็กน้อย นางกล่าว สองวันนี้จะได้ต้มน้ำดื่มพอดี
ไป๋ซู่ขานรับคำยิ้มๆ ถอยออกไปจัดเตรียม
วันถัดมาหวังซีไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าจึงนำปี่แป่ลอยแก้วมารับรองพวกนาง
มีสาวใช้ที่อยู่คอยปรนนิบัติรับใช้ยิ้มกล่าวประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าว่า คุณหนูสามกับคุณหนูต่างสกุลล้วนกตัญญูต่อท่าน เมื่อวานคุณหนูสามส่งอิงเถามาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ ตกเย็นคุณหนูต่างสกุลก็ส่งปี่แป่มาให้อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าดูปีติยินดีเป็นอย่างมาก กล่าวว่า พวกนางล้วนดีมากกันทุกคน!
ฉังเคอรู้จักชั่งน้ำหนักคำพูดของผู้คนดีกว่าฉังหนิงมาโดยตลอด รีบกล่าวอยู่ข้างๆ อย่างยิ้มแย้มว่า ข้ามิได้ร่ำรวยเท่าพี่สาวสามและน้องสาวต่างสกุล ปกติจึงทำแต่ของใช้เล็กๆ น้อยๆ มอบให้ท่านย่ากับพวกพี่สาวน้องสาวเพียงเท่านั้น
หวังซีไม่อยากให้ฉังเคอกลายเป็นเป้า ย่อมต้องช่วยเหลือนาง ได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า ข้าเองก็เป็นเพราะทราบว่าพี่สาวสามส่งอิงเถามาให้ข้า ถึงตระหนักได้ว่าตัวเองอกตัญญู จึงให้คนไปซื้อปี่แป่ที่ตลาดมาเล็กน้อย คนที่กตัญญูจริงๆ คือพี่สาวสาม อย่างมากข้าก็แค่ยืมมาลาถวายพระเท่านั้น
มีคนฉลาดไหวพริบเยี่ยมอย่างฉังเคอและหวังซีแวดล้อมอยู่สองคน นอกจากทุกคนจะไม่ขัดแย้งกันอย่างที่ฉังหนิงคาดหวังให้เป็นแล้ว เจ้ายังยอมลงให้ข้า ข้ายอมลงให้เจ้า ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายได้ชื่อเสียงดีงามกันถ้วนหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจเป็นที่สุด มอบไข่มุกคาดหน้าผากให้ฉังเหยียนเส้นหนึ่งและมอบพัดกลมผ้าโปร่งปักลายลูกแมวหยอกล้อเล่นกับผีเสื้อด้ามจับทำจากไผ่นางสนมให้หวังซีหนึ่งเล่ม แม้นมิได้สูงค่าเท่าไข่มุกคาดหน้าผากของฉังเหยียน ทว่าใช้งานได้จริง ทั้งยังงดงามยิ่ง หวังซีก็ชอบมากเช่นกัน
กลับเป็นฉังหนิง เสมือนกับว่าทุกคนต่างติดหนี้นางแปดร้อยตำลึงก็ไม่ปาน ทำหน้าบูดบึ้ง ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
ตอนกลับไม่ได้เดินไปพร้อมกับฉังเหยียน
……………………………………………………………………..
[1] อิงเถา เชอร์รี่
[2] แผ่นแปะซานฝู ยาสมุนไพรที่แปะตามจุดฝังเข็มต่างๆ บนร่างกายเพื่อปรับสมดุลอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งนิยมทำกันในช่วงซานฝูหรือช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของปี