เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 33 เกิดเรื่อง
ฉังหนิงกำลังรอให้ซือจูถามนางอยู่พอดี
นางไม่ชอบหวังซีเลย บัดนี้ถึงขั้นเกลียดแล้วด้วยซ้ำ
นอกจากเหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานหวังซี ทำให้นางอิจฉาริษยาแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลใหญ่คือเนื่องด้วยหวังซีกับนางอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เดินทางมาจิงเฉิงก็เพื่อหาคู่ครองดีๆ สักคนหนึ่ง แต่นางรู้สึกว่าการปรากฏตัวของหวังซี เป็นการมาแย่งใช้ทรัพยากรเรื่องงานแต่งของจวนหย่งเฉิงโหว อาจทำให้โอกาสที่นางจะได้แต่งงานกับคนดีๆ ลดน้อยลงไป
ซึ่งเรื่องที่นางกังวลใจก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ที่วัดอวิ๋นจวี เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบหวังซีเป็นอย่างมาก
แต่ที่นางรู้มากกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นมารดาของนางก็ดี ท่านย่าก็ดี ที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่ในจวนโหวได้ล้วนเป็นเพราะพึ่งพาอาศัยพี่น้องชายที่บ้านเดิมทั้งสิ้น ดังนั้นมารดาของนางจึงให้ความสำคัญกับหลานชายหลานสาวซึ่งก็คือสองพี่น้องสกุลพานจากบ้านเดิมเป็นอย่างมาก ส่วนท่านย่าของนางก็ให้ความสำคัญกับบุตรหลานของตระกูลซือเช่นกัน
นางจัดการหวังซีไม่ได้ แต่ซือจูทำได้
บอกว่าเป็นบุตรสาวของท่านอาหญิงรองของข้าที่หายตัวไปผู้นั้น ฉังหนิงเบ้ปากอย่างดูแคลนด้วยท่าทางทำนองว่า ‘ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ’ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า แม้นว่าไม่มีจดหมายยืนยันชัดเจน ทว่ามารดาของข้าลอบย้ำกำชับข้ามาเช่นนี้…
นางเล่าว่าหวังซีเข้าจวนมาได้อย่างไร มารดาของนางกล่าวเตือนนางอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญกับหวังซีอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวชื่นชอบหวังซีขนาดไหน รวมถึงเรื่องที่หวังซีออกเงินแปดพันตำลึงซ่อมแซมสวนร่มหลิวใหม่ บางเรื่องก็กล่าวเกินจริง บางเรื่องก็แตะๆ เพียงนิดเดียว เล่าเรื่องทุกอย่างให้ซือจูฟัง สุดท้ายยังกล่าวด้วยว่า สวนนั่นข้าเองก็เคยไปดูมาแล้ว เปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่รู้ว่าดีกว่าเมื่อก่อนตั้งกี่เท่า รอนางย้ายเข้าไป เจ้าก็น่าจะได้ย้ายไปที่สวนหิมะงามแล้ว ถึงเวลาข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร
ซือจูเป็นคนเอาแต่ใจมากผู้หนึ่ง พี่สะใภ้ในบ้านล้วนมองว่านางเป็นน้องสาวคนเล็ก อดทนไม่กี่ปีนางก็แต่งงานออกเรือนแล้ว ยังได้ประจบประแจงแม่สามีด้วย จึงไม่เพียงทนต่อนิสัยแย่ๆ ของนางเท่านั้น ยังประจบเยินยอนางอีกด้วย นางเติบโตมาขนาดนี้ นอกจากที่เคยเสียท่าให้เฉินลั่วในเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ยังไม่มีใครกล้าชักสีหน้าให้นางเห็นมาก่อน รวมถึงองค์หญิงฟู่หยางด้วย
นางได้ยินแล้วอดยิ้มเย็นไม่ได้ เหลือบตามองฉังหนิงครั้งหนึ่ง กล่าวว่า เจ้าไม่ต้องคิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือ หวังซีจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า ส่วนเรื่องสวนร่มหลิว ต่อให้เจ้าอยากให้ข้าไปแย่งชิง ก็ต้องให้ข้าถูกใจด้วยถึงจะเป็นไปได้ ในเมื่อเจ้าโบกธงแล้วว่าต้องการอยู่เป็นเพื่อนข้า ก็ไปขนย้ายข้าวของที่เจ้าใช้เป็นประจำมาเถอะ ข้าเร่งเดินทางมาตลอดหลายวัน รู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ต้องไปนอนพักผ่อนสักหนึ่งบ่ายถึงจะใช้ได้ ข้าคงไม่อยู่รับรองเจ้าแล้ว
ฉังหนิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ
แต่นางไม่กล้ามีเรื่องขัดแย้งกับซือจู
มิใช่แค่เพราะนางใช้ประโยชน์จากซือจูทำให้หวังซีขุ่นเคืองใจได้เท่านั้น ยังเป็นเพราะตั้งแต่เด็กเป็นต้นมานางไม่เคยยั่วยุซือจูสำเร็จเลย นางทำลายเสื้อผ้าของพี่สาวร่วมอุทรของนาง อย่างมากพี่สาวร่วมอุทรของนางก็ตำหนินางเพียงไม่กี่ประโยค หรือไปฟ้องบิดามารดาของนางสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ทว่าซือจูกลับขึ้นมาขี่อยู่บนร่างนางและทุบตีนางได้
นางเคยถูกซือจูตีจนแขนหักมาแล้ว
เช่นนั้นก็ได้ ข้าไปห้องข้างๆ ก่อน ฉังหนิงดูเสียใจเล็กน้อยพลางกล่าว พี่สาวซือ ข้าอาจจะพูดอะไรไม่เหมาะสมไป แต่ข้าไม่มีความคิดจะใช้ประโยชน์จากเจ้าจริงๆ หวังซีผู้นั้นทั้งมิได้กินและมิได้ดื่มอะไรของบ้านข้า ไม่แน่ว่าหลังปีใหม่นางอาจจะกลับสู่จงแล้วก็เป็นได้
กล่าวจบ นางหมุนกายออกจากเรือนปีกตะวันออกของซือจูไป
ซือจูไม่ยี่หระ
ตานหมัวมัวส่ายศีรษะไม่หยุด กล่าวโน้มน้าวนางเสียงอบอุ่นว่า นิสัยของท่านนี้ เมื่อไรถึงจะรู้จักอ้อมค้อมเสียบ้าง นางต้องการทำอะไร ท่านมองออกชัดเจน แค่ไม่ไปร่วมทำด้วยก็ได้แล้ว เหตุใดจะต้องกล่าวทิ่มแทงนางให้ได้ด้วย! มีผลดีอะไรต่อท่านหรือ!
ข้ารู้สึกมีความสุข! ซือจูดูหงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างยิ่ง เหตุใดต้องให้ข้าพักอยู่ที่บ้านของท่านย่าด้วย บ้านพวกนางวุ่นวายจะตาย มิสู้ข้ากลับบ้านของตัวเองยังจะดีกว่า!
ตานหมัวมัวถอนหายใจ กล่าวว่า ท่านก็อายุไม่น้อย ถึงวัยสมควรออกเรือนแล้ว ใต้เท้ากับฮูหยินล้วนไม่อยู่จิงเฉิง ท่านออกไปข้างนอก อย่างไรก็ต้องมีสตรีอาวุโสอยู่คุ้มครองด้วยผู้หนึ่ง เข้ามาอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวเหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างน้อยฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนจิตใจดีผู้หนึ่ง ไม่มีจิตคิดร้ายหรือวางแผนร้ายเอาเปรียบอะไร
ครั้งนี้ซือจูเกือบจะถูกภรรยาของแม่ทัพฝ่ายซุ่มโจมตีผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดานางผู้หนึ่งวางอุบายให้แต่งงานกับหลานชายของนางเสียแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ตระกูลซือบังคับให้ซือจูกลับจิงเฉิง ต้องการกำหนดเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ให้ได้
ซือจูรู้ว่าในคำพูดของตานหมัวมัวมีความนัยแฝงอยู่
นางถูกวางอุบายเป็นเรื่องจริง นางโง่เขลาก็เป็นเรื่องจริง นางไม่มีอะไรแก้ตัว
จะนอนแล้ว! นางดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าตัวเองจนมิด
ตานหมัวมัวทำอะไรไม่ได้ นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ลอบยกผ้าห่มขึ้นเงียบๆ พบว่านางหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้แล้ว รู้ว่าเป็นเพราะนางเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป จึงวางใจลงมาได้เล็กน้อย เรียกอาเก๋อสาวใช้ข้างกายซือจูเข้ามา ส่วนตัวเองไปกำกับดูแลหญิงรับใช้จัดเก็บและตกแต่งเรือนปีก
***
หวังซีตื่นจากนอนกลางวันแล้วไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง
นางรู้สึกว่านับวันจวนหย่งเฉิงโหวยิ่งน่าเบื่อ
ไป๋ซู่! นางถามสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ว่า พระธรรมที่ข้าคัดให้ท่านย่าเหลืออีกเท่าไร
ไป๋ซู่บิดผ้าเช็ดหน้าอุ่นให้หวังซีเช็ดหน้า พลางตอบ ยังเหลืออีกสองม้วน คาดว่าต้องใช้เวลาอีกเจ็ดบ่ายเจ้าค่ะ
พระธรรมที่หวังซีคัดให้ท่านย่านั้นไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำมาก่อน นางคัดด้วยตัวเองทั้งหมด ใช้คำพูดของนางกล่าวได้ว่า คัดไม่สวยได้ คัดน้อยได้ หรือไม่คัดเลยก็ได้ ทว่าไม่อาจพูดแล้วไม่เป็นคำพูดหรือละเมิดสัญญาได้
เช่นนั้นก็ลุกไปคัดพระธรรมก็แล้วกัน! นางรู้สึกว่าสุดท้ายก็หาอะไรให้ตัวเองทำได้แล้ว ยังกล่าวด้วยว่า รอให้ข้าคัดพระธรรมเสร็จแล้ว ต้องเขียนจดหมายกลับไปด้วยสักฉบับหนึ่ง บอกท่านย่าว่าข้าต้องการกลับไปก่อนกำหนด ที่นี่น่าเบื่อเกินไป แล้วข้าก็ไม่อยากเช่าบ้านอยู่ข้างนอกด้วย
บัดนี้นางยิ่งไม่อยากย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวแล้ว
นางถึงขั้นเขียนจดหมายให้ท่านย่าก่อน จากนั้นค่อยเริ่มคัดพระธรรม
ไป๋ซู่รู้ว่านางอดทนไม่ได้อย่างที่สุดแล้ว ตอนอยู่ในห้องหนังสือเป็นเพื่อนหวังซีนั้น นางหาโอกาสส่งสายตาให้หวังหมัวมัวครั้งหนึ่ง ถามหวังหมัวมัวว่าควรทำอย่างไรดี ต้องนำความไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่สักครั้งหรือไม่
หวังหมัวมัวรู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง หารือกับไป๋กั่วที่ไม่ได้อยู่เวรยามว่า กลัวแต่ว่าพอคุณหนูใหญ่บอกว่าไปก็จะไปเลยทันที ต้องให้หลงจู๊ใหญ่เตรียมพร้อมเอาไว้ ด้านนายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่ก็ต้องแจ้งล่วงหน้าเอาไว้สักคำหนึ่ง ถึงเวลานายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่จะได้ไม่เป็นห่วง
ไป๋กั่วและสาวใช้คนอื่นๆ จึงนำของใช้ที่หวังซีไม่ค่อยได้ใช้ในระยะนี้กลับไปเก็บในหีบอีกครั้ง ส่วนหวังหมัวมัวสั่งการให้หวังสี่นำความไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น หวังสี่มาหาหวังหมัวมัวด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ ท่านหมอเฝิงของร้านขายยาเพื่อมวลชนถูกใต้เท้าจินหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทิศใต้เชิญตัวไป วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว แต่ตัวคนก็ยังไม่กลับมา ท่านหมอเฝิงเล็กร้อนใจยิ่งนัก กำลังหารือเพื่อหาทางออกกับหลงจู๊ใหญ่อยู่ หลงจู๊ใหญ่ให้คนไปเตรียมของขวัญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บอกว่าหากคืนนี้ท่านหมอเฝิงยังไม่กลับมา พรุ่งนี้เขาจะไปเยี่ยมจวนเซี่ย ข้าไม่รู้ว่าควรแจ้งเรื่องนี้ให้คุณหนูใหญ่ทราบหรือไม่
ร้านขายยาเพื่อมวลชนคือชื่อร้านขายยาของท่านหมอเฝิง
คนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังการค้าของสกุลหวังของพวกเขาในปัจจุบันคือเสนาบดีกรมคลังและมหาบัณฑิตพระที่นั่งเป่าเหอนามเซี่ยสือ เป็นคนสู่จงเหมือนกัน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยามปกติหลงจู๊ใหญ่ประจำจิงเฉิงของตระกูลหวังจะไม่ไปเยี่ยมเยียนจวนเซี่ย
หวังหมัวมัวพลันหัวใจหยุดเต้นไปสองสามลมหายใจ
นางเอามือทาบหน้าอกสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ถามบุตรชายว่า รู้ประวัติของใต้เท้าจินผู้นั้นหรือไม่
หัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทิศใต้ยศไม่เกินขั้นหกบน อยู่จิงเฉิงไม่นับเป็นขุนนางด้วยซ้ำ แต่ก็ใช้ไม่ได้กับจิงเฉิงที่เต็มไปด้วยเสือหมอบมังกรเร้นกาย บิดาของพระชายาในชินอ๋องและบิดาของพระชายาในจวิ้นอ๋องที่ไม่มีตำแหน่งติดตัว ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องไม่มีอะไรทำ บ้างก็ประทานตำแหน่งหัวหน้าหน่วย บ้างก็ประทานตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยให้โดยไม่ต้องทำอะไรก็มี
ดังนั้นคนในจิงเฉิงที่ไม่ควรไปยั่วยุที่สุดจึงรวมถึงหัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้าหน่วยเหล่านี้ด้วย
ใต้เท้าจินท่านนี้บีบบังคับให้หลงจู๊ใหญ่ไปหาตระกูลเซี่ยได้ เกรงว่าเรื่องราวคงไม่ได้ธรรมดาสามัญขนาดนั้น
หวังหมัวมัวนึกถึงเรื่องที่พวกไป๋กั่วเคยพูดถึงเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาอีกครั้ง คุณชายรองจวนเจิ้นกั๋วกงและองค์ชายรองเองก็เคยไปหาท่านหมอเฝิงมาก่อนเช่นกัน
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
ท่านหมอเฝิงเคยรักษาและช่วยชีวิตคนสกุลหวังเอาไว้ไม่น้อย
หวังสี่รีบกล่าว ได้ยินว่าเป็นน้องชายของอดีตสามีของเป่าชิ่งจ่างกงจู่
หวังหมัวมัวตะลึงงัน กล่าวว่า เป่าชิ่งจ่างกงจู่ยังติดต่อกับคนจากครอบครัวของอดีตสามีอยู่หรือ
ไม่ได้ติดต่ออะไรกัน หวังสี่กระซิบกล่าว ตระกูลอดีตสามีของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ตระกูลนั้น ได้ยินว่าเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ เวลานั้นตระกูลนั้นมีบุตรชายที่ยังเด็กอยู่สองคน ต่อมาเป่าชิ่งจ่างกงจู่สมรสใหม่ จึงต้องจัดการตระกูลนั้นให้เรียบร้อย ใต้เท้าจินท่านนี้คือบุตรชายคนรองของตระกูลนั้น ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเป็นมรดกตกทอด ทำงานอยู่ที่หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทิศใต้
คงมิใช่ว่ากำลังทำงานให้คุณชายรองตระกูลเฉินอยู่หรอกกระมัง หวังหมัวมัวพึมพำกล่าว ผุดลุกขึ้นมาในทันที ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้ต้องบอกให้คุณหนูใหญ่ทราบเอาไว้ กลัวว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับเฉินลั่ว หากพัวพันมาถึงคุณหนูใหญ่ละก็แย่แน่
นางกล่าวกับบุตรชาย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ คุณหนูใหญ่ไปหาฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจะหาวิธีส่งข่าวไปให้คุณหนูใหญ่ ให้นางกลับมาเร็วหน่อย
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เกรงว่าคงจะรั้งคนไว้ที่เรือนหยกวสันต์พูดคุยไปกว่าครึ่งค่อนคืนเป็นแน่
หวังสี่รับคำ รับประทานมื้อเย็นอย่างลวกๆ เสร็จแล้วช่วยคำนวณบัญชีการซ่อมแซมสวนร่มหลิว หวังซีถึงได้เร่งกลับมา
เรื่องราวเป็นมาอย่างไร เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด สีหน้านางหนักอึ้ง ข้าให้ไป๋กั่วไปติดสินบนไว้แล้ว พวกเราเร่งเดินทางไปให้ถึงร้านขายยาเพื่อมวลชนก่อนเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน
หวังสี่รับคำ เล่าเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาให้หวังซีฟังอย่างละเอียดไปด้วย เดินไปที่สวนร่มหลิวพร้อมหวังซีไปด้วย
เรือนทางด้านนั้นยังซ่อมแซมไม่เสร็จดี ทว่าซอยกันไฟด้านหลังกลับใช้เดินรถได้แล้ว
ตอนที่พวกนางมาถึง ไป๋กั่วรออยู่ก่อนแล้ว ด้านข้างยังมีรถม้าจอดเอาไว้ด้วยหนึ่งคัน
หวังหมัวมัวประคองหวังซีขึ้นรถม้า ย้ำกำชับไป๋กั่วว่า พวกเจ้าดูแลบ้านให้ดี อย่าให้คนในจวนนินทาว่าร้ายได้
ไป๋กั่วพยักหน้า
หวังสี่บังคับรถม้า หวังหมัวมัว ชิงโฉวและหงโฉวร่วมทางไปด้วย เร่งเดินทางไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชน
หลงจู๊รีบพาหวังซีและคนอื่นๆ ไปที่ห้องหนังสือด้านหลัง
พวกนางรอกว่าครู่ใหญ่เฝิงเกาถึงกลับมา
เจ้ามาได้อย่างไร ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเจือความกังวลใจเพิ่มเข้ามาด้วยอีกหลายส่วน ทางนี้พวกข้าไม่มีปัญหาอะไร หากมีปัญหาย่อมต้องบอกเจ้า ขอให้เจ้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน เจ้าวิ่งออกมาเช่นนี้ หากถูกสายตรวจลาดตระเวนพบตัวเข้าจะทำอย่างไร จิงเฉิงไม่เหมือนที่อื่น สายตรวจลาดตระเวนหลังเวลาห้ามออกนอกเคหสถานล้วนเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของโอรสสวรรค์ทั้งสิ้น พวกเราไม่มีคนรู้จักที่พอจะขอความช่วยเหลือในด้านนี้ ยากจะทำความรู้จักได้
หวังซีพลันค้นพบว่าเส้นทางของสกุลหวังในจิงเฉิงช่างอ่อนด้อยยิ่งนัก
ถ้าหากเป็นที่สู่จง ไม่จำเป็นต้องกังวลใจด้วยเรื่องแค่นี้
นางมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจรางๆ แต่วาบผ่านมาก็ผ่านไป ถูกความเป็นห่วงที่มีต่อท่านหมอเฝิงบดบังเอาไว้จนมิด
ยังไม่มีข่าวคราวอะไรจากคนแซ่จินหรือ นางยิงคำถามรัว ตอนนั้นใช้นามอะไรมาเชิญปู่เฝิงไป สืบเจอหรือไม่ว่าผู้ใดในบ้านของพวกเขาป่วย เคยออกมาสั่งเทียบยาหรือไม่ ไม่เคยสั่งเทียบยาจากร้านขายยาของพวกเราเลยหรือ สืบทราบเทียบยาหรือยัง
หากทราบเทียบยาก็จะทราบว่าป่วยเป็นโรคอะไร
พวกเขาจะได้จัดเทียบยาได้ถูกกับโรค จะได้รู้ว่าพรุ่งนี้ควรจะพูดกับคนตระกูลเซี่ยอย่างไรดี
ก็เพราะไม่รู้อะไรเลย ถึงทำให้คนเป็นกังวลใจ เฝิงเกาส่ายศีรษะ ตั้งแต่ท่านอาจารย์เข้าตระกูลจินไปก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย
…………………………………………………………………