เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 34 คำเตือน
เป็นครั้งแรกที่หวังซีรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
เฝิงเกากลับรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักที่นางอุตส่าห์เร่งมาหาในเวลานี้ รีบกล่าว เวลาไม่เช้าแล้ว มีหลงจู๊ใหญ่ช่วยเหลืออยู่ พวกเรารอข่าวคราวจากเขาก็พอ วันนี้เจ้าพักผ่อนที่นี่เถอะ! มีอะไร พรุ่งนี้พวกเราค่อยว่ากันอีกที
หวังซีพยักหน้าอย่างเซื่องซึม เฝิงเกาเรียกสาวใช้เข้ามา พาหวังหมัวมัวไปจัดเรือนรับรองแขกให้หวังซี ส่วนเขากับหวังซีนั่งคุยกันอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เจ้าเองก็อย่ากังวลมากเกินไป ข้าคิดว่าคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร ทักษะด้านการแพทย์ของท่านอาจารย์เจ้าก็รู้ดี ต่อให้รักษาไม่หาย ก็มีวิธีสลัดให้พ้นตัวได้
กลัวก็แต่ว่าจะมิใช่เรื่องทักษะการแพทย์ นัยน์ตาของหวังซีมีความคับข้องใจสายหนึ่งวาบผ่าน พูดถึงเฉินลั่วกับองค์ชายรองขึ้นมา พวกเขามาหาปู่เฝิงด้วยเรื่องอะไรกันแน่ เนื่องจากคนแซ่จินผู้นั้นมีความเกี่ยวพันกับเฉินลั่ว การที่เขาเชิญปู่เฝิงไป จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
เฝิงเกาได้ยินแล้วรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย กล่าวว่า ข้าเองก็เคยถามถึงเรื่องนี้มาก่อน ท่านอาจารย์บอกเพียงว่าพวกเขามาสอบถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องยาเท่านั้น หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าภายหลังจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นข้าควรสอบถามให้ชัดเจน มิใช่ถูกท่านอาจารย์หลอกเช่นนี้
หวังซีฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด ถามว่า หลงจู๊ใหญ่ไม่รู้ว่าเฉินลั่วกับองค์ชายรองเคยมาหาปู่เฝิงมาก่อนหรือ
ข้ามิได้บอกเขา เฝิงเกาดวงตาแดงก่ำไปหมด ท่านอาจารย์บอกว่าเรื่องนี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี ข้าเห็นว่านับตั้งแต่วันที่ท่านอาจารย์ปฏิเสธพวกเขาในวันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ไม่มาอีก คิดว่าพวกเขาคงยอมรามือไปแล้ว เขากล่าวไปด้วย พลางลุกขึ้นมา ข้าจะให้คนส่งจดหมายไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่เดี๋ยวนี้
ยิ่งหลงจู๊ใหญ่รู้เรื่องราวมากเท่าไร ตอนไปขอความช่วยเหลือตระกูลเซี่ยจะได้ให้ข้อมูลได้มากเท่านั้น
พวกเรานั่งลงมาคุยกันเถอะ หวังซีลุกตามขึ้นมาด้วย กล่าวเสียงเคร่ง นี่กล่าวโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่รู้ประวัติความเป็นมาของคนแซ่จิน ตอนที่พวกเฉินลั่วกับองค์ชายรองมามิได้ปิดบังสถานะ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะปลุกปั่นให้ผู้อื่นมาบีบคั้นปู่เฝิง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องพวกนี้ยังเป็นเพียงการคาดคะเนของพวกเราเท่านั้น อาจไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาก็เป็นได้ พวกเราไม่อาจตื่นตูมกันไปก่อน ส่วนเรื่องบอกเรื่องนี้ให้หลงจู๊ใหญ่ทราบนั้น พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยบอกเขาก็ยังไม่สาย
จิงเฉิงเป็นศูนย์กลางของประเทศ ไม่ว่าตระกูลใดที่ทำการค้าอยู่ที่นี่ ผู้รับผิดชอบหลักที่ส่งมาล้วนมิใช่คนมีความสามารถธรรมดา หลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวังก็มิใช่ข้อยกเว้น
หวังซีเชื่อว่าต่อให้บอกเรื่องนี้ให้เขาทราบอย่างกะทันหัน เขาก็มีความสามารถจัดการได้
เฝิงเกาไหนเลยจะนั่งติดที่ได้อีก เขาร้อนใจจนนอกจากจะเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องแล้ว ปากยังพึมพำกล่าวอีกด้วยว่า เรื่องนี้ล้วนต้องกล่าวโทษข้า หากข้าใส่ใจสักนิด พวกเราก็คงไม่ถูกควบคุมเช่นนี้ ช่วงก่อนข้ารู้จักหมอหลวงของสำนักหมอหลวงผู้หนึ่ง พรุ่งนี้หลังจากไปพบหลงจู๊ใหญ่แล้วข้าจะไปพบเขา ดูว่าพอจะล้วงข้อมูลอะไรจากปากเขาได้บ้างหรือไม่ ที่เฉินลั่วกับองค์ชายรองมาหาท่านอาจารย์ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องมาเพื่อญาติของพวกเขา ข้าก็จะได้รู้ว่ามีความเกี่ยวพันกับพวกเขาจริงหรือไม่
มองจากมุมของเขาแล้ว ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเฉินลั่วและองค์ชายรองจริงๆ พวกเขาอยากช่วยท่านหมอเฝิง ก็คงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวดเรื่องหนึ่ง
ต่อให้ตระกูลเซี่ยยอมออกหน้า ตระกูลเซี่ยก็ไม่มีทางทำให้ราชวงศ์ขุ่นเคืองเพื่อหมอคนหนึ่งของตระกูลสหายโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตระกูลตัวเอง
หวังซีกลับกำลังคิดว่า หากสืบพบว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเฉินลั่วและองค์ชายรองจริงๆ แล้วนางควรจะทำอย่างไรดี
เวลาล่วงเลยผ่านไปท่ามกลางการรอคอยของพวกเขา
หวังหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า แจ้งว่าจัดเรือนรับรองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หวังซีไหนเลยจะหลับลงได้
เฝิงเกาโน้มน้าวนาง เจ้าไม่นอนให้เร็วสักหน่อย พรุ่งนี้ไหนเลยจะมีกำลังวังชาไปจัดการเรื่องของท่านอาจารย์ได้!
หวังซีฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาออก เขาคาดหวังให้นางไปขอร้องหย่งเฉิงโหว นางครุ่นคิด กล่าวว่า หย่งเฉิงโหวอาจช่วยอะไรไม่ได้ พวกเราสืบให้แน่ชัดว่าคนแซ่จินเชิญท่านหมอเฝิงไปทำไมน่าจะดีกว่ากระมัง
เช่นนี้ถึงจะสั่งยาได้ถูกกับโรค
เฝิงเกาพยักหน้า
หลงจู๊สาวเท้ายาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา นายน้อย คุณหนูใหญ่ ใต้เท้าจินพาท่านหมอเฝิงกลับมาแล้วขอรับ
อะไรนะ! คนในห้องหนังสือมองเขาด้วยความตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง เวลานี้?
จิงเฉิงถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว
ทว่าหลงจู๊ไม่ทันได้บอกรายละเอียดกับพวกเขา รีบร้อนกล่าวประโยคหนึ่งว่า ด้านหน้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการ นายน้อยเร่งตามข้าไปด้านหน้าสักครั้งเถิด จากนั้นก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนมา
เช่นนั้นข้าไปดูด้านหน้าก่อน! เฝิงเกาห้ามหวังซีที่ต้องการไปด้านหน้าพร้อมเขาเอาไว้ เจ้ารออยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็ไม่เกินครึ่งชั่วยามนี้
หวังซีพยักหน้า ทว่าในใจกลับหนักอึ้ง
นี่คนแซ่จินต้องการสื่ออะไรกันแน่
พาท่านหมอเฝิงกลับมาในเวลานี้ กำลังสำแดงความสามารถของเขา เตือนไม่ให้พวกเขากระทำอะไรผลีผลามอย่างนั้นหรือ
เขาเชิญท่านหมอเฝิงไปเพื่ออะไรกันแน่
หวังซีคิด อยากกำชับเฝิงเกาอีกสองประโยค ก็มีเสียงหัวเราะกังวานดังเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน ร้านขายยาของเจ้าร้านนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ปกติข้าอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเสียมาก หากมิใช่เพราะได้ยินผู้อื่นพูดขึ้นมา ข้าคงยังไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีร้านขายยาดีขนาดนี้อยู่ด้วย มิใช่มังกรดุร้ายไม่ข้ามสายน้ำ ดูทีแล้วทักษะด้านการแพทย์ของท่านหมอเฝิงคงจะเยี่ยมยอดกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก!
เป็นเสียงของบุรุษผู้หนึ่ง เสียงไม่คุ้นหูอย่างยิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความหยาบคายอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง
การพูดคุยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หวังซีมักจะได้ยินจากขุนนางในราชสำนักที่ได้รับมอบหมายให้ไปปกครองสู่จงช่วงแรกๆ
นอกจากนี้ยิ่งอยู่เสียงก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังมุ่งหน้ามาทางห้องหนังสือ
นางหัวใจกระตุกวูบ
เฝิงเกาเร่งนาง พวกเจ้ากลับห้องไปก่อน
หวังซีขบคิดอย่างรวบรัด กล่าวว่า ข้าจะหลบไปอยู่หลังฉากกั้นก่อน เขาเข้ามาอย่างกะทันหัน ข้าเป็นหลานสาวของท่านหมอเฝิง พอจะอธิบายได้
เฝิงเกายังรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก แต่ยิ่งอยู่เสียงของท่านหมอเฝิงก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใต้เท้าจินกล่าวชมเกินไปแล้ว! ต้องขอบคุณชาวเมืองหลวงที่ยอมรับ แต่ก็พอให้เลี้ยงปากท้องได้เท่านั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีทักษะการแพทย์สูงส่ง
กลัวแต่ว่าออกไปแล้วจะเผชิญหน้ากันพอดี
เฝิงเกาจำต้องอนุญาตให้หวังซีหลบไปอยู่หลังฉากกั้น
หวังซีเพิ่งเข้าไปยืนนิ่งอยู่หลังฉากกั้น ท่านหมอเฝิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับใต้เท้าจินท่านนั้น
เข้ามาถึงใต้เท้าจินท่านนั้นก็เห็นภาพอวี้ไห่เฟื่องฟู[1]ภาพหนึ่งแขวนอยู่กลางห้องโถง เขาเดินเข้าไปชื่นชมใกล้ๆ อย่างอดไม่ได้ ยังกล่าวว่า ข้าเห็นห้องโถงของผู้อื่นล้วนแขวนภาพพยัคฆ์ทะยานลงเขากันทั้งนั้น ว่ากันว่าช่วยปกป้องคุ้มครองบ้านจากวิญญาณชั่วร้ายได้ คิดไม่ถึงว่าห้องโถงของพวกเจ้าจะเป็นภาพวาดต้นไม้ดอกไม้แทน ภาพนี้วาดได้ไม่เลวเลยทีเดียว ฝีแปรงประณีต สีสันโดดเด่นสะดุดตา…
เขาวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนั้น หวังซีกลับถือโอกาสสังเกตใต้เท้าจินท่านนี้ผ่านช่องฉากกั้น
อายุราวๆ สามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง สวมชุดหลานซานตัวยาวสีม่วงแดงทอลายสีเขียวประกายทองธรรมดาตัวหนึ่ง ผิวสีข้าวสาลีที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก คิ้วกระบี่ดวงตาสุกใส ไว้หนวดเขี้ยว แต่ละท่วงท่าล้วนเผยความดื้อรั้นออกมาให้เห็น
หากไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเขามาก่อน เห็นครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามผู้กุมอำนาจที่ว่าการที่ไหนสักแห่งเสียอีก
แต่เพราะเหตุนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนแซ่จินท่านนี้ไม่ธรรมดา ใต้เบื้องบาทของโอรสสวรรค์ กลางเมืองของจักรพรรดิ ยังกล้ากระทำท่าทีเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ามีคนค้ำจุนอยู่เบื้องหลัง
บางที เบื้องหลังของเขาอาจมิได้มีแค่เป่าชิ่งจ่างกงจู่?
มองท่านหมอเฝิงอีกครั้ง
สวมชุดเต้าเผาผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีกรมท่าธรรมดาตัวหนึ่ง สีหน้าหนักอึ้งเล็กน้อย บนใบหน้าและมือล้วนไม่มีบาดแผลใดๆ ท่วงท่าก็ดูคล่องแคล่วดี ไม่น่าจะได้รับความลำบากทางร่างกายอะไร
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เงี่ยหูฟังเขากับท่านหมอเฝิงคุยกัน
เนื่องจากรู้จักสถานที่แล้ว จะมาอีกก็ไม่ยากแล้ว คนแซ่จินกล่าวยิ้มๆ ดึกแล้ว ไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านหมอเฝิงแล้ว เรื่องที่ข้าคุยกับท่านหมอเฝิง รบกวนท่านหมอเฝิงคิดทบทวนให้ถี่ถ้วน ข้ากลับก่อน จะรอฟังข่าวดีจากท่านหมอเฝิง
เขาขยับพู่กันบนชั้นแขวนพู่กันบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ไปมาสองสามครั้ง กล่าวขอตัวลาอย่างกะทันหันโดยที่คนคาดไม่ถึง
ทุกคนต่างตกตะลึงงัน
คนแซ่จินหัวเราะฮ่าเสียงดัง ก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก ยังโบกมือให้อย่างสบายๆ อีกด้วย
ท่านหมอเฝิงและเฝิงเการั้งท้ายอยู่สองสามก้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รีบสาวเท้าก้าวตามไปส่งแขก
จวบจนเงาร่างของพวกเขาหายลับไปจากหลังกำแพงแล้ว หวังซีจึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้น
เนื่องจากเป็นเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ค่ำคืนของจิงเฉิงจึงมืดสนิท ทว่านางยืนอยู่บนขั้นบันไดของห้องหนังสือกลับมองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูใหญ่ของร้านขายยาได้
เห็นได้ชัดว่าคนแซ่จินไม่เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียวว่าผู้อื่นจะทราบเรื่องที่เขาฝ่าฝืนกฎออกนอกเคหะสถานในเวลาต้องห้าม เห็นได้ชัดว่าเขาโอหังมากเพียงใด
กระทั่งเฝิงเกาประคองท่านหมอเฝิงกลับเข้ามาอีกครั้ง หวังซีก้าวออกไปประคองแขนอีกข้างหนึ่งของท่านหมอเฝิงเอาไว้ เอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ว่า คนแซ่จินผู้นี้เป็นเพียงน้องชายของอดีตสามีของเป่าชิ่งจ่างกงจู่เท่านั้นจริงๆ หรือ
ท่านหมอเฝิงรู้ว่านางต้องการถามอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า นั่วนั่วคงยังไม่รู้ว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่เก่งกาจมากเพียงใดกระมัง ในรัชสมัยปัจจุบันนางก็เหมือนกับเป็นก่วนเถา[2]ในรัชสมัยของจักรพรรดิอู่ราชวงศ์ฮั่น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลินอานต้าจ่างกงจู่อยู่ก่อนหน้าอีกผู้หนึ่ง เกรงว่าต่อไปนางอาจจะทำมากกว่าหลินอานต้าจ่างกงจู่อีกก็เป็นได้
นั่วนั่วคือชื่อเล่นของหวังซี
หมายความว่าอย่างไร หวังซีกับเฝิงเกาถามอย่างพร้อมเพรียงกัน
ท่านหมอเฝิงคงรู้สึกว่าการที่ทุกคนตื่นตระหนกจนลนลานจากการที่ตนถูกกักตัวในครั้งนี้อาจเป็นเพราะในเวลาปกติเขาไม่ได้สั่งสอนเฝิงเกาเกี่ยวกับเรื่องราวในสังคมมากพอ จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่ฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ แม้นกล่าวว่าเพราะปั๋วไทเฮาให้การสนับสนุน แต่ความจริงแล้วหลินอานต้าจ่างกงจู่เป็นคนเสนอความคิดให้ ที่เหล่าขุนนางในราชสำนักเห็นด้วย หลินอานต้าจ่างกงจู่เองก็ลงแรงไปไม่น้อยเช่นกัน!
ถึงว่า!
หวังซีกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า มิใช่ว่าสวามีของหลินอานต้าจ่างกงจู่มีอนุภรรยามากมายหรอกหรือ นางยังได้รับการยกย่องว่าเป็นคนใจกว้างอีกด้วย
ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนหนึ่งที่กล้าแทรกแซงการแต่งตั้งรัชทายาท
ท่านหมอเฝิงหัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า นั่นเป็นเพราะหลินอานต้าจ่างกงจู่กับสวามีต่างคนต่างแยกกันอยู่มานานแล้ว!
หวังซีอับอาย
ข่าวลือทำร้ายคน!
ทั้งสองคนประคองท่านหมอเฝิงไปนั่งหน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่
หวังหมัวมัวนำเบาะรองนั่งไปวางบนเก้าอี้มีเท้าแขนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ยังยกชาเหล่าจวินเหมยที่ท่านหมอเฝิงชื่นชอบเข้ามาด้วย กล่าวว่า ท่านรับประทานมื้อเย็นหรือยัง ข้าให้เรือนครัวไปทำของว่างที่ย่อยง่ายมาให้ท่านเล็กน้อย ท่านรองท้องก่อนเจ้าค่ะ!
ท่านหมอเฝิงยืดตัวตรง สีหน้าดูผ่อนคลายไม่น้อย กล่าวว่า พวกเจ้าคงตระหนกตกใจตามไปด้วยกันหมดแล้วกระมัง ถามนั่วนั่วกับอาเกาเถอะว่าอยากกินอะไร ข้ากินมื้อเย็นมาจากจวนตระกูลจินเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่ได้จำกัดจำเขี่ยเรื่องอาหารการกินกับข้า และมิได้หมิ่นเกียรติข้าด้วย พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแต่ว่าทางด้านหลงจู๊ใหญ่นั้น รอให้พ้นจากเวลาห้ามออกนอกเคหสถานแล้วพวกเจ้ารีบให้คนไปส่งข่าวสักครั้ง เรื่องอะไรที่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยก็พยายามไม่ขอความช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด
ทุกคนพากันพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างไปจัดการธุระของตน
หวังซีกับเฝิงเกาจึงดื่มชาเป็นเพื่อนท่านหมอเฝิง
ท่านหมอเฝิงเองก็ไม่ปิดบังพวกเขา กล่าวว่า ใต้เท้าจินมาหาข้าก็ด้วยเรื่องของคุณชายรองเฉินกับองค์ชายรอง ฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคทางหัวใจ มักรู้สึกหายใจไม่ออกอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้ข่าวมาจากที่ใด บอกว่าเมื่อก่อนข้าเคยรักษาคนป่วยประเภทนี้หายมาก่อนคนหนึ่ง อยากให้ข้าเข้าวังไปตรวจอาการให้ฮ่องเต้ พวกเจ้าเองก็รู้ วังหลวงคืออาณาเขตของสำนักหมอหลวง คนตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นข้านี้ เข้าวังหลวงไปมิเท่ากับว่าไปปล้นอาหารของพวกหมอหลวงที่ได้รับการยกย่องบูชามาหลายชั่วอายุคนในสำนักหมอหลวงเหล่านั้นหรอกหรือ แย่งชามข้าวคนก็เหมือนกับฉกฉวยเอาชีวิตคนมา ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายๆ ปี จึงปฏิเสธอย่างสุภาพไป คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเรียกข้าไปโดยตรง กักขังข้าด้วยอาหารการกินอย่างดีถึงสามวัน จากนั้นส่งข้ากลับมากลางดึกอย่างยิ่งใหญ่ ข้าคิดว่า หลักๆ แล้วพวกเขาต้องการเตือนข้าว่าอย่าริอาจยกจอกให้ดื่มไม่ยอมดื่มจะดื่มแบบถูกบีบบังคับ แต่ระหว่างที่อาการประชวรของฮ่องเต้ยังไม่ดีขึ้นนี้ คงไม่ทำอะไรข้าจริงๆ หรอก
…………………………………………………………….
[1] ภาพอวี้ไห่เฟื่องฟู ภาพวาดที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งเฟื่องฟู โดยในภาพประกอบไปด้วย ดอกอวี้หลาน (แมกโนเลีย) ดอกไห่ถัง ดอกโบตั๋นเบ่งบานอย่างอุดมสมบูรณ์
[2] ก่วนเถา หรือองค์หญิงก่วนเถา มีพระนามว่าองค์หญิงหลิวเผียว เป็นองค์หญิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ทะเยอทะยานฝักใฝ่ในอำนาจในรัชสมัยของจักรพรรดิอู่ราชวงศ์ฮั่น