เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 39 สหาย
ฉังเคอกับหวังซีสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว
นางแสร้งทำเป็นถูกตีจนได้รับบาดเจ็บเอามือทาบอกไอติดๆ กันสองสามครั้ง
ไม่ได้ทำให้หวังซีตกใจ แต่ทำให้ลู่หลิงตกใจแทน
นางมองหวังซีด้วยสีหน้าตระหนกเล็กน้อย แล้วก็มองฉังเคออีกครั้ง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
หวังซีคิดไม่ถึงว่าลู่หลิงจะเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ขนาดนี้ ยิ่งรู้สึกชอบเด็กสาวงดงามคนนี้มากขึ้น รีบก้าวออกไปโอบไหล่ของนางเอาไว้ กล่าวปลอบโยนนางเสียงอบอุ่นว่า เจ้าอย่าสนใจพี่สาวฉังของเจ้าเลย นางก็แค่อยากให้ข้ารู้สึกผิด จะได้ชดเชยให้นางดีๆ เท่านั้น
ฉังเคอเองก็ปลอบโยนนางเช่นกัน ข้ากับอาซีเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ปกติแหย่กันจนชินแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว
ลู่หลิงได้ยินแล้วสีหน้าผ่อนคลายลงมา นางเม้มปากอมยิ้ม รู้สึกว่าหวังซีกับฉังเคอเป็นเช่นนี้ช่างดียิ่ง จึงยิ่งให้ความสนิทสนมกับพวกนางมากขึ้น จับมือของหวังซีไว้กล่าวว่า พี่สาว พวกเราไปเล่นกับพี่สาวอู๋กัน
หวังซีพยักหน้า ส่วนฉังเคอไปแจ้งซือหมัวมัวให้ทราบไว้ ทั้งสองคนตามลู่หลิงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังอย่างเบามือเบาเท้า
สวนดอกไม้ด้านหลังยังมีห้องโถงรับรองอีกหลายแห่ง เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับโถงรับรองที่พวกนางพักอยู่ ห้องโถงรับรองเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่อย่างเป็นเอกเทศ รอบด้านเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ พื้นที่ของห้องโถงก็กว้างใหญ่กว่าด้านหน้า
ลู่หลิงชี้ไปยังห้องโถงรับรองที่ใหญ่สุดที่ด้านหน้าเป็นระเบียงด้านหลังมีพื้นที่ว่างทางทิศตะวันออก กล่าวว่า คนจากวังหลวงน่าจะพักอยู่ที่นั่น จากนั้นชี้ไปที่ห้องโถงรับรองที่อยู่ริมสุดทางทิศตะวันตก คนจากจวนชิงผิงโหวที่มาร่วมงานเลี้ยงของจ่างกงจู่ล้วนพักอยู่ทางด้านนั้น ยังกล่าวอธิบายด้วยว่า พวกเขามีสมาชิกในบ้านมาก
อาจเป็นเพราะตระกูลอู๋เป็นตระกูลร่ำรวยในบรรดาตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นตระกูลที่ผู้ใดก็ไม่อาจละเลย
หวังซีลอบขบคิด คนทั้งสามไปยังห้องโถงรับรองที่จวนชิงผิงโหวพักผ่อนอยู่
เพิ่งเข้ามาถึงสวนดอกไม้ที่ใช้พฤกษชาติกั้นเอาไว้ ลู่หลิงก็กล่าวเสียงดังว่า พี่สาวอาจู๋อยู่หรือไม่
เสียงของนางอ่อนนุ่ม ยังเจือความอ่อนหวานเอาไว้ น่ารักน่าเอ็นดู ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องขานตอบสักคำอย่างอดไม่อยู่
ทันใดนั้นมีหมัวมัวผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องโถงรับรองที่เปิดประตูเอาไว้ทั้งสี่บาน นางมีรูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้ผิวสีขาว แต่รูปหน้าเหลี่ยมคล้ายบุรุษ สาวใช้อายุสิบห้าสิบหกปีที่ตามหลังมาสองคนก็มีรูปร่างแข็งแรงกำยำเช่นกัน หากอยู่ในเรือนชั้นในของครอบครัวชั้นสูงมั่งคั่งอื่น ปกติมักจะทำงานหยาบอย่างกวาดลานบ้านยกเกี้ยวจำพวกนั้น แต่หมัวมัวผู้นี้แย้มยิ้มเต็มดวงหน้า กล่าวทักทายพวกนางด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างที่คนมีหน้าที่ดูแลเรื่องภายในบ้านถึงจะมีกัน หวังซีจึงรู้ว่านางมิใช่หมัวมัวธรรมดาทั่วไป ไม่เพียงปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดผู้เป็นนายเท่านั้น ยังเป็นหมัวมัวที่ดูแลเรือนชั้นในอีกด้วย
คุณหนูลู่ นางกล่าวทักทายลู่หลิงอย่างสนิทสนม ทว่าสายตากลับกวาดมองไปมาระหว่างหวังซีกับฉังเคอด้วยความคมเฉียบเล็กน้อย ท่านมาแล้วหรือ! คุณหนูรองและนายหญิงอีกสองสามท่านของพวกข้าล้วนยังมาไม่ถึง ข้ามาทำความสะอาดลานบ้านก่อน ท่านอยากเข้าไปนั่งในห้องโถงก่อนหรือไม่ หรือไม่ข้าให้พวกสืออู่พาท่านไปเดินเล่นด้านหลัง?
สาวใช้สองคนรีบก้าวออกมาทำความเคารพพวกนาง ขานเรียกลู่หลิงอย่างนอบน้อมว่า คุณหนูใหญ่
ลู่หลิงผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังคงหันไปโบกมือให้หมัวมัวผู้นั้นด้วยสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน กล่าวว่า ไม่ต้องหรอก จากนั้นแนะนำหมัวมัวผู้นั้นให้หวังซีและฉังเคอรู้จัก นี่คืออู๋หมัวมัวคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิงผิงโหว แล้วก็บอกกล่าวสถานะของหวังซีกับฉังเคอให้อู๋หมัวมัวรับทราบ
อู๋หมัวมัวกล่าวทักทายพวกนางอย่างยิ้มแย้ม ทว่าทิ้งสายตาไว้ที่หวังซีครู่หนึ่ง
หวังซีเกิดมาก็ประสบกับการถูกจับจ้องแล้ว นางจึงสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้อื่นไวเป็นพิเศษ นางสัมผัสได้ว่า สายตาที่อู๋หมัวมัวมองนางเต็มไปด้วยความสงสัยและการค้นพบทำนองว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถึงกับมีความเห็นใจและสงสารอยู่ด้วยเล็กน้อย นี่ทำให้นางอดคาดเดาไม่ได้ว่าเพราะคำพูดเพียงหนึ่งประโยคของลู่หลิงอู๋หมัวมัวท่านนี้ก็รู้สถานะของนางแล้วใช่หรือไม่
ต่อมาการที่อู๋หมัวมัวปฏิบัติต่อนางอย่างกระตือรือร้นมากกว่าปกติจึงเป็นการยืนยันสิ่งที่หวังซีคาดเดาเอาไว้
คุณหนูสี่ของจวนหย่งเฉิงโหวแต่เดิมได้พบเจอกันบ่อยๆ แต่คุณหนูต่างสกุลนั้นนี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า บ้านของพวกข้าตั้งอยู่ที่เขตต้าสือยง ซอยซื่อเถียว หากคุณหนูต่างสกุลมีเวลาว่าง ยินดีต้อนรับให้ไปนั่งเล่นที่บ้านของพวกข้าบ่อยๆ ได้ ที่บ้านของพวกข้านั้นนับตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่ออกเรือนไป ก็มีเพียงคุณหนูรองที่เป็นเด็กสาวท่านเดียวเท่านั้น ยามปกติอยากได้ลายดอกไม้สักลายยังหาคนปรึกษาด้วยไม่ได้ ดูจากท่าทางของคุณหนูต่างสกุลก็รู้ว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ต้องเข้ากับคุณหนูรองของพวกข้าได้ดีเป็นแน่
หวังซีหน้าแดงด้วยความละอาย
ตอนนางไม่พูดแสร้งทำเป็นเชื่อฟังก็ดูเป็นกุลสตรีอยู่บ้างจริงๆ…ไม่รู้ว่าหากอู๋หมัวมัวท่านนี้รู้ว่าตัวเองดูคนผิดไปแล้วจะตีอกด้วยความรู้สึกเสียใจหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นการยืนยันได้ว่าอู๋หมัวมัวท่านนี้มีความคิดค่อนข้างบริสุทธิ์เรียบง่าย คนเช่นนี้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องในเรือนชั้นในของสตรี หากมิใช่เพราะบรรดาสตรีของจวนอู๋ล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ก็เป็นเพราะโหวฮูหยินที่รับผิดชอบดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านค่อนข้างเลอะเลือนไม่ต่างจากป้าสะใภ้ใหญ่ที่ทำอะไรตามดุลยพินิจของตัวเองของนางท่านนั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อู๋หมัวมัวปฏิบัติต่อนางอย่างกระตือรือร้นจริงๆ นางย่อมต้องให้เกียรติผู้อื่น
ได้เลย ได้เลย! หวังซียิ้มหวานหยดยิ่งกว่าลู่หลิงเสียอีก บ้านของข้าอยู่สู่จง ได้ยินผู้อาวุโสในบ้านพูดถึงผลงานของจวนชิงผิงโหวอยู่บ่อยๆ กล่าวกันว่าหากไม่มีจวนชิงผิงโหวปกป้องดูแลภาคตะวันตกเฉียงเหนือรุ่นแล้วรุ่นเล่าล่ะก็ ประชาชนอย่างพวกข้าคงไม่มีชีวิตที่สุขสงบเช่นนี้ ได้รู้จักคนของจวนชิงผิงโหว ช่างเป็นความโชคดีของข้าจริงๆ ย่อมต้องไปเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาจะได้เอาไปคุยโอ้อวดกับผู้อื่นได้ด้วยว่าคนจวนชิงผิงโหวที่ข้าเคยได้พบมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง!
นางกล่าวด้วยความจริงใจยิ่ง เป็นเหตุให้อู๋หมัวมัวหัวเราะฮ่าเสียงดัง ยังกล่าวเย้านางว่า กลัวแต่ว่าเจ้าจะผิดหวัง คนที่จวนของพวกข้าไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
หวังซียิ้ม
มีเสียงยินดีของสตรีดังมาจากด้านหลังของพวกนางเสียงหนึ่ง อาหลิง เจ้ามาได้อย่างไร ท่านย่าของเจ้าสบายดีหรือไม่
พี่สาวอาจู๋ ลู่หลิงหมุนกายกลับมาด้วยความยินดี
หวังซีกับฉังเคอหมุนกายตาม พบเด็กสาวรูปร่างสูงโปร่งแบบบางผู้หนึ่ง
นางดูมีอายุเพียงสิบห้าถึงสิบหกปี คิ้วเข้มตาโต ผิวขาวกระจ่างใส สวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าไหมหังโจวสีฟ้าไร้ลวดลาย ผมดำสลวยดุจเส้นไหมขมวดขึ้นเป็นทรงก้นหอยมวยหนึ่ง ประดับปิ่นดอกบัวคู่สีชมพูขนาดเท่าปากถ้วย ดวงหน้าเผยความหาญกล้าที่พบเห็นได้น้อยจากสตรี
เป็นหญิงงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผู้หนึ่ง
ไม่เสียแรงที่จิงเฉิงเป็นเมืองหลวงของประเทศ มีหญิงงามทุกรูปแบบ!
หวังซีอดหรี่ตาไม่ได้ มองสำรวจเด็กสาวผู้นั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
คงจะเป็นคุณหนูรองตระกูลอู๋ที่ลู่หลิงกล่าวถึง
คุณหนูรองตระกูลอู๋เป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก หลังจากกล่าวทักทายลู่หลิงเสร็จและได้ฟังที่ลู่หลิงกล่าวแนะนำแล้ว ก็เดินเข้ามาทักทายหวังซีกับฉังเคออย่างมั่นใจและเป็นธรรมชาติ ยังชี้ฉังเคอพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า ข้าจำเจ้าได้ เมื่อก่อนตอนที่พวกเราไปเล่นที่อุทยานประจิม เจ้ามักจะตามอยู่ด้านหลังซือจูกับฉังหนิงสองพี่น้องเสมอ ถึงแม้จะไม่ค่อยพูดสักเท่าไร แต่กลับมีการกระทำและสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ มากมาย น่าสนใจยิ่งนัก
ฉังเคอคิดมาตลอดว่าตัวเองเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด คิดไม่ถึงว่ากลับถูกคุณหนูรองตระกูลอู๋ดูออกตั้งนานแล้ว
นางยิ้มอย่างเคอะเขินเล็กน้อย
คุณหนูรองอู๋กลับกล่าวแก้ต่างให้นางว่า นิสัยของซือจูนั้น รู้สึกว่าองค์หญิงฟู่หยางกับนางรักใคร่กันฉันพี่สาวน้องสาว จึงคิดว่าตัวเองก็เป็นองค์หญิงผู้หนึ่งไปด้วย อีกทั้งเจ้าเป็นน้องสาวที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน ไม่เหมาะที่จะประจันหน้ากับนางจริงๆ เจ้าทำเช่นนั้นเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
ฉังเคอได้ยินแล้วพลันเคอะเขินจนพูดอะไรไม่ออก ยังมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อยคล้ายกับได้พบสหายสนิทอีกด้วย
คุณหนูรองอู๋ไม่ปล่อยหวังซีไปเช่นกัน นางกล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้เล็กน้อยว่า เจ้าเป็นญาติฝั่งตระกูลซือของฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวหรือ เจ้าหน้าตางดงามขนาดนี้ ไม่แปลกที่ไม่เคยได้ยินซือจูพูดถึงเจ้ามาก่อน พวกเขาปล่อยเจ้ามาปรากฏตัวถึงจิงเฉิงได้อย่างไร นี่มิเท่ากับเป็นการตบหน้าซือจูหรอกหรือ พวกเขาคิดมาตลอดว่าอยากให้ซือจูเป็นพระชายาขององค์ชาย
หวังซีได้ยินแล้วเกือบจะสำลักน้ำลาย
คุณหนูอู๋ท่านนี้ ตรงไปตรงมามากเกินไปแล้ว
อู๋หมัวมัวเห็นแล้วรีบกระซิบที่ข้างหูคุณหนูรองอู๋สองสามประโยค คุณหนูรองอู๋เองก็เผยสีหน้าเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาในทันที รีบกล่าวว่า โธ่เอ๊ย เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดไป เจ้าบอกว่าบ้านของเจ้าอยู่สู่จง ที่นั่นเป็นสถานที่ดีแห่งหนึ่ง พี่ชายใหญ่ของข้าดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทัพภาคอยู่ที่สู่จง มักจะส่งงานเย็บปักของซื่อชวนมาให้พวกข้าบ่อยๆ งานเย็บปักของซื่อชวนเหล่านั้นงดงามมาก ข้ารู้สึกว่างดงามกว่าของหูหนานและหังโจวเสียอีก
หวังซีรีบกล่าว หากเจ้าชอบ ไปเที่ยวหาข้าได้ ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว นำผ้าเย็บปักของซื่อชวนมาด้วยเป็นจำนวนมาก
ได้เลย! คุณหนูรองอู๋ตอบ แต่ท่าทางของนางกลับบอกหวังซีว่า นางก็แค่กล่าวกับหวังซีไปตามมารยาทเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะไปเยี่ยมเยียนนางจริงๆ
หวังซีรู้สึกว่านี่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ตระกูลอย่างจวนชิงผิงโหวนี้ ไม่รู้ว่ามีคนอยากกอดแข้งกอดขาตระกูลพวกเขามากมายเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นตัวนางเองกับคุณหนูรองอู๋ก็เพิ่งเคยพบหน้ากัน นางเป็นคนเช่นไร คุณหนูรองอู๋ก็ไม่รู้
แน่นอนว่านางยกย่องจวนชิงผิงโหว แต่หากอยากเป็นสหายกัน ยังต้องขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย หวังซีไม่เคยฝืนมาก่อน
คุณหนูรองอู๋เชิญพวกนางไปดื่มน้ำชาที่ห้องโถงรับรอง พวกท่านย่าของข้าล้วนไปคารวะทักทายจ่างกงจู่กันหมด อาจจะอยู่ต้อนรับซูเฟยเหนียงเหนียงที่นั่นด้วย ต้องรออีกครู่หนึ่งกว่าจะมาที่นี่
ลู่หลิงถามอย่างแปลกใจว่า เหตุใดพี่สาวถึงไม่ไปด้วย
คุณหนูรองอู๋ตอบยิ้มๆ ว่า คล้ายกับว่าองค์ชายสองสามพระองค์จะร่วมทางมาด้วย
นางปักปิ่นแล้ว บางเรื่องก็ต้องเลี่ยงออกมา
ลู่หลิงเข้าใจ ทุกคนยิ้มแย้มเข้าไปในห้องโถงรับรอง
คนของจวนจ่างกงจู่มาเก็บกวาดแล้วหนึ่งรอบ อู๋หมัวมัวพาคนมาเก็บกวาดอีกหนึ่งรอบ บัดนี้ในห้องไม่เพียงประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สดเท่านั้น ยังมีเครื่องหอมกลิ่นส้มหัตถ์พระพุทธเจ้ากับส้มมะงั่ววางอยู่ด้วย ห้องน้ำชาต้มน้ำร้อนเอาไว้แล้ว ชา ของว่างและผลไม้ที่บรรดาสตรีของจวนชิงผิงโหวชื่นชอบก็วางเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าพวกลู่หลิงกินมาแล้วรอบหนึ่ง เวลานี้จึงไม่ค่อยสนใจเท่าไรแล้ว คุณหนูรองอู๋จึงถามพวกนางว่าต้องการไปนั่งเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังหรือไม่ ห้องโถงรับรองฝั่งตะวันออกใช้สำหรับให้การรับรองคนจากวังหลวง ด้วยกลัวว่าห้องโถงจะไม่เพียงพอ ด้านข้างจึงไม่น่าจัดให้ผู้อื่นอีก ตอนนี้นอกจากพวกเราก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว
ประเดี๋ยวเมื่อคนจากวังหลวงมาถึง พวกนางคงไม่สะดวกเดินไปไหนตามใจชอบอีกแล้ว
ลู่หลิงตื่นเต้นเล็กน้อย
ฉังเคอเองก็อยากไปดูสวนดอกไม้ด้านหลังเช่นกัน ยังกล่าวกับหวังซีด้วยว่า ที่นี่มีห้องอุ่นอยู่ห้องหนึ่ง ปีนั้นปลูกดอกกระบองเพชรราชินีแห่งรัตติกาลกับดอกก้อนหิมะหาดูยากเอาไว้ด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเลี้ยงอยู่ที่ห้องอุ่นหรือไม่
น่าจะยังอยู่ ลู่หลิงกล่าว ตอนที่ข้ามาเมื่อช่วงปีใหม่ยังคงเลี้ยงอยู่ที่นั่น ยังมีกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลกับเบญจมาศนิลเพิ่มมาใหม่อีกสองสามกระถางด้วย
คุณหนูรองอู๋กล่าว แต่ตอนนี้เพิ่งจะเดือนสี่
ดอกกระบองเพชรราชินีแห่งรัตติกาลนั้นปกติบานช่วงเดือนหกหรือเดือนเจ็ด
ลู่หลิงกล่าวยิ้มๆ ว่า หากดอกกระบองเพชรราชินีแห่งรัตติกาลบานแล้ว จ่างกงจู่ย่อมจัดงานชมบุปผาอย่างแน่นอน ถึงเวลาพวกเราค่อยมาใหม่ก็ได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าจวนเจียงชวนป๋อกับจวนจ่างกงจู่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก
ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปที่ห้องอุ่นอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน
หวังซีพบว่าต้นไม้ดอกไม้ทางด้านนี้ปลูกได้อย่างเป็นระบบ ดอกไม้แต่ละชนิดที่บานในแต่ละฤดูกาลก็ปลูกเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ นอกจากรักษาให้มีดอกไม้บานทั้งสี่ฤดูตลอดทั้งปีแล้ว ยังคล้ายคลึงกับบ้านที่เจียงหนาน กั้นไว้ด้วยกำแพงดอกไม้หลายจุด หนึ่งหน้าต่างหนึ่งทิวทัศน์ แบ่งสวนดอกไม้ที่ไม่ใหญ่มากให้กลายเป็นสถานที่หลากหลายแห่ง ให้คนได้ท่องเที่ยวอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา ให้ความรู้สึกกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
นางมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านกล่าวขึ้นด้วยความประทับใจอย่างห้ามไม่อยู่ว่า สวนนี้สร้างได้ดียิ่ง น่าจะเป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญเลื่องชื่อจากเจียงหนาน
คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วถามขึ้นว่า เจ้าเคยไปเจียงหนานหรือ
หวังซีพยักหน้า กล่าวว่า ตระกูลของพวกข้ามีบ้านอยู่ที่เจียงหนานหลายแห่ง
สกุลหวังพยายามสร้างเขตการค้าที่เจียงหนานมาโดยตลอด น่าเสียดายที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
คุณหนูรองอู๋สนใจเจียงหนานเป็นอย่างมาก รีบเอ่ยถาม เจียงหนานดีอย่างที่พวกเขากล่าวมาจริงหรือไม่ ที่ว่าเดือนสามฝนพรำหมอกสลัว สำเนียงอู๋[1]เพราะพริ้งเสนาะหู สตรีงามงดดุจเมฆินทร์
หวังซียิ้มกล่าว สำเนียงอู๋เพราะพริ้งเสนาะหูจริง แต่มิได้ไพเราะน่าฟังเท่าเสียงของคุณหนูลู่ เดือนสามฝนพรำหมอกสลัวนั่นก็จริง ฝนในฤดูใบไม้ผลิของพวกเขาไม่เหมือนกับของพวกเราที่นี่ที่ตกลงมาเป็นเม็ดๆ แต่คล้ายกับหมอก พ่นลงมาทีละนิดๆ…
นางเล่าประสบการณ์ไปเจียงหนานของนางให้คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ ฟัง ไม่นานก็มาถึงห้องอุ่น
ลู่หลิงและคนอื่นๆ ไม่รู้สึกสนใจห้องอุ่นแล้ว ดึงนางไปนั่งลงบนม้านั่งหินใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่หน้าห้องอุ่น ให้นางเล่าเรื่องเจียงหนานต่อ
ครอบครัวของหวังซีทำการค้ามากมาย ทั้งยังเคยมีประวัติที่กูไหน่ไนเป็นคนดูแลตระกูลมาก่อน จึงให้ความสำคัญกับเด็กสาวเฉกเช่นเดียวกัน ญาติผู้พี่หญิงของนางผู้หนึ่งยังเคยเดินทางผ่านเส้นทางค้าชาค้าม้าและผ้าไหมกับผู้อาวุโสในบ้านมาก่อนด้วย ความจริงแล้วประสบการณ์อันน้อยนิดของนางนี้ไม่นับเป็นอะไร แต่ทำให้พวกคุณหนูรองอู๋ชอบและชื่นชมได้ นางจึงเล่าอย่างกระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงยิ่ง
ทุกคนจึงนั่งคุยกันที่ใต้ต้นไม้
เพียงแต่ว่าตอนที่หวังซีเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจนั้น พลันค้นพบว่าป่าไผ่ข้างๆ นั่นช่างคุ้นตาเหลือเกิน!
…………………………………………………………..
[1] อู๋ ภาษาประจำถิ่นของเจียงหนาน หรือแถบมณฑลเจียงซูในปัจจุบัน