เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 46 ไม่ชอบมาพากล
อย่างที่ฉังเคอกล่าวเอาไว้ เฉินอิงก็เป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งเช่นกัน
รูปร่างสูง ผิวขาวเนียนละเอียด คิ้วดกหนา ดวงตานกเฟิ่งสีเพลิง เวลายิ้มหางตาโค้งขึ้นเล็กน้อย ดูอบอุ่นมาก มองคราแรก ไม่มีส่วนที่คล้ายคลึงกับเฉินลั่วเลย คนที่ไม่รู้มาก่อนย่อมไม่คิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ความหล่อเหลาของเฉินลั่วดุดันบีบคั้นผู้คน ทะลุทะลวงมากเกินไป ส่วนเฉินอิงกลับให้ความรู้สึกเหมือนสายลมวสันต์โชยผ่าน ชวนให้คนรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเองได้ง่าย
ภาพที่กล้องส่องทางไกลส่องถึงจำกัดยิ่งนัก
เฉินอิงมาถึงก็พบกับองค์หญิงฟู่หยางและซือจูโดยบังเอิญ เนื่องจากไม่เห็นสีหน้าขององค์หญิงฟู่หยางและซือจู หวังซีจึงไม่รู้ว่าองค์หญิงฟู่หยางยังมีร่องรอยของหยดน้ำตาหลงเหลืออยู่หรือไม่ เฉินอิงพูดคุยหัวเราะกับพวกนางด้วยความกระตือรือร้น ไม่นาน นางก็เห็นองค์หญิงฟู่หยางกับซือจูต่างป้องปากหัวเราะ ท่าทางมีความสุขมาก
ดูแล้วเฉินอิงเองก็เป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมมากผู้หนึ่ง!
หวังซีขบคิดอยู่ในใจ ฉังเคอถามขึ้นจากด้านข้างว่า เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเห็นหน้าของเฉินอิงชัดหรือยัง
ความหมายโดยนัยคือ หากเห็นชัดเจนแล้ว ก็ยกกล้องส่องทางไกลให้นาง ให้นางได้ดูอีกสักหน่อย
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่ยื้อแย่งกับฉังเคอ ไม่เพียงยกกล้องส่องทางไกลให้นางเท่านั้น ยังถอยหลังออกไปอีกสองสามก้าว ยกพื้นที่ตรงหน้าต่างให้ฉังเคอด้วย
ฉังเคอพาดตัวขึ้นไปอย่างดีอกดีใจ
หวังซีเงยหน้าขึ้นกลับเห็นคุณหนูรองอู๋คล้ายมีเรื่องขบคิดอยู่ในใจ
นางอดถามเสียงหนึ่งไม่ได้ว่า เป็นอะไรหรือ
คุณหนูรองอู๋ส่ายศีรษะ กล่าวกับฉังเคอว่า หากมีใครมาอีก เจ้าบอกข้าสักคำหนึ่ง
ฉังเคอขานตอบ ได้ คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
ลู่หลิงถึงได้มีเวลาจิ้มผลไม้ชิ้นหนึ่งมากิน
ด้านฉังเคอกลับร้องขึ้นอย่างประหลาดใจว่า เหตุใดปั๋วหมิงเย่ว์และองค์ชายสี่ก็มาด้วย
หวังซีตกตะลึง คุณหนูรองอู๋รีบสาวเท้าก้าวออกไป ยื่นมือออกไปให้ฉังเคอส่งกล้องส่องทางไกลมาให้นางอย่างรีบร้อน เร็วเข้า ให้ข้าดูหน่อย!
ฉังเคอทำเหมือนหวังซี ส่งกล้องส่องทางไกลและสละพื้นที่ให้คุณหนูรองอู๋
ส่วนหวังซีตรงไปพาดตัวอยู่บนขอบหน้าต่าง เห็นบุรุษสวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีน้ำเงินไพลินทอลายสีทองทั้งชุดหนึ่งคนกับบุรุษสวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีเหลืองอ้อยทอลายก้อนเมฆสีทองอีกหนึ่งคนเดินเคียงคู่กันเข้ามา
เห็นใบหน้าของทั้งสองคนไม่ค่อยชัดนัก ทว่าผิวขาวผ่องเป็นอย่างยิ่ง บุรุษที่สวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีน้ำเงินไพลินทอลายสีทองทั้งชุดเตี้ยกว่าเล็กน้อย ส่วนบุรุษที่สวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีเหลืองอ้อยทอลายก้อนเมฆสีทองสูงกว่าเล็กน้อย และรูปร่างก็ได้สัดส่วนดีมาก นอกจากไหล่กว้างเอวคอดแล้ว ช่วงขายังยาวกว่าร่างช่วงบน มองจากที่ไกลขนาดนี้ ยังให้ความรู้สึกงามสง่าและสบายๆ เป็นธรรมชาติดุจต้นอวี้[1]ท้าสายลม
หวังซีอดถามไม่ได้ว่า คนที่สวมอาภรณ์สีเหลืองอ้อยผู้นั้นคือใครหรือ
คุณหนูรองอู๋มิได้วางกล้องส่องทางไกลในมือลง สีหน้าดูหนักอึ้งเล็กน้อย ตอบว่า องค์ชายสี่
องค์ชายที่รูปงามที่สุดในสายตาของฉังเคอ?
หวังซีจึงมองอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้มีเวลามองสำรวจคนที่อยู่ข้างกายเขา
คนผู้นั้นคงเป็นปั๋วหมิงเย่ว์ที่เคยถูกเฉินลั่ว ‘ทำร้าย’ มาก่อน
รูปร่างผอมสูง บริเวณเอวห้อยถุงหอมไว้หลายชิ้น สีเหลืองขิงบ้างสีชมพูบ้างและสีม่วงอ่อนบ้าง ผสมรวมกับอาภรณ์ของเขาแล้ว ดูงดงามมีสีสันทว่าไม่ได้ดูไร้รสนิยม ให้ความรู้สึกเหมือนช่อดอกไม้ หรูหราสูงค่า เหมาะสมกับตำแหน่งและสถานะของเขาเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนจัดคู่สีให้เขา คนผู้นี้ช่างเข้าใจทำยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม กิริยาท่าทางของปั๋วหมิงเย่ว์ค่อนข้างกระโดกกระเดก จากเดิมที่เดินเคียงคู่กันมากับองค์ชายสี่ ทันใดนั้นจู่ๆ ก็สาวเท้ายาวสองสามก้าวไปตรงหน้าองค์ชายสี่ จากนั้นหมุนกายกลับไป เดินถอยหลังคุยกับองค์ชายสี่
องค์ชายสี่คล้ายคุ้นชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาแล้วทว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง หยุดฝีเท้าลงคุยกับปั๋วหมิงเย่ว์สองสามประโยค ปั๋วหมิงเย่ว์ลูบศีรษะเบาๆ ถึงได้กลับมาเดินเคียงคู่ไปกับองค์ชายสี่ใหม่อีกครั้ง
หวังซีคล้ายกับเห็นใบหน้าขององค์ชายสี่ชัดเจนแล้ว
นางถามคุณหนูรองอู๋ พวกเขากำลังทำอะไรหรือ
คุณหนูรองอู๋ฟังความหมายของนางออก ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้นาง
หวังซีรีบมองไปที่องค์ชายสี่
ไม่เสียแรงจริงๆ ที่เป็นบุรุษรูปงามที่ฉังเคอกล่าวชื่นชม
ตาสองชั้น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอมชมพู ผิวสว่างสดใสคล้ายมีกระจกเคลือบเอาไว้หนึ่งชั้น เพียงแต่ว่าเวลามองปั๋วหมิงเย่ว์สายตาดูไม่ยินดี สีหน้าเคร่งขรึม
หวังซีหนาวสั่น
ยังคงรู้สึกว่าเฉินลั่วรูปงามกว่า
แม้นองคาพยพทั้งห้าของเฉินลั่วจะมิได้ไร้ที่ติเหมือนองค์ชายสี่ แต่เขาห้าวหาญมีชีวิตชีวา ทำให้นางรู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉงมากขึ้น
มองปั๋วหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าหน้าตาก็ไม่เลวเช่นกัน
เขาหน้าตาหล่อเหลา เวลาพูดสีหน้าแสดงความรู้สึกมากมายออกมา ยังมีท่วงท่าเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมากอีกด้วย ทำให้ดวงหน้าของเขาดูคล้ายกำลังเปล่งแสงประกายแวววาวออกมาทั้งหน้า เหมือนคนไร้ความกังวลใดๆ เป็นเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวชั้นสูงมั่งคั่ง ยังแฝงความไร้เดียงสาของเด็กเอาไว้หลายส่วน ดึงดูดความสนใจของผู้คนยิ่งนัก
นี่หมายความว่าอย่างไร ผู้หนึ่งเย็นชา อีกผู้หนึ่งร่าเริง?
คนอย่างปั๋วหมิงเย่ว์นี้ หวังซีเคยเห็นมาก่อน
หลานชายผู้หนึ่งของนางก็เป็นเช่นนี้
เปรียบเทียบกันแล้ว นางชอบแบบองค์ชายสี่มากกว่า
พบเห็นได้น้อยกว่า
นางมององค์ชายสี่อย่างแสนเสียดายอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้ส่งกล้องส่องทางไกลให้คุณหนูรองอู๋
ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูรองอู๋กลับโบกมือ กล่าวว่า พวกเจ้าดูเถอะ! หากมีใครโผล่มาอีก บอกข้าสักคำก็พอ
ฉังเคอยังคำนึงถึงเฉินอิงอยู่ เห็นว่าลู่หลิงเองก็ไม่คิดจะมาร่วมดูความครึกครื้นเช่นกัน จึงรับกล้องส่องทางไกลจากมือของหวังซีไป
เพียงแต่ว่าเฉินอิง องค์หญิงฟู่หยางและซือจูสามคนที่แต่เดิมยืนคุยกันตรงใต้ต้นไม้นั้นล้วนหายไปหมดแล้ว ใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่เหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ฉังเคอวางกล้องส่องทางไกลลงด้วยความผิดหวัง หมุนกายไปได้ยินลู่หลิงกำลังพูดถึงปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ ทุกคนล้วนรังเกียจเขา แค่ให้เดินร่วมทางกับเขาสักสองสามก้าวยังทนไม่ได้ มีเพียงองค์ชายสี่ ดูเป็นน้ำแข็งเย็นชา แต่ความจริงแล้วนิสัยดีที่สุด ทนความไร้เหตุผลของเขาได้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้องค์ชายสี่อาจจะถูกเขาลากตัวมาด้วยอีกเช่นเคยก็เป็นได้ ฮองเฮาไม่ชอบซูเฟยเหนียงเหนียง หากเขากล้าประจบประแจงซูเฟยเหนียงเหนียง องค์ชายรองย่อมสั่งสอนเขาแน่ เขาลากองค์ชายสี่มาด้วยก็ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยก็มีคนเป็นพยานให้ได้สักคนหนึ่ง
คุณหนูรองอู๋ไม่กล่าวคำใด
นางรู้สึกว่าเรื่องราวดูไม่ค่อยถูกต้องนัก
ส่วนฉังเคอถามอย่างแปลกใจว่า เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องมากมายเพียงนี้
ต่อให้จวนเจียงชวนป๋อกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่เป็นสหายเก่ากัน ลู่หลิงก็ไม่น่าจะรู้มากขนาดนี้ นอกเสียจากว่านางได้เข้าออกวังหลังบ่อยๆ
ลู่หลิงเองก็ไม่คิดจะปิดบัง กล่าวยิ้มๆ ว่า ท่านย่าของข้าสนิทสนมกับเจียงไท่เฟย
เจียงไท่เฟยคือคนที่เคยเลี้ยงดูฟูมฟักฮ่องเต้และเป่าชิ่งจ่างกงจู่หลังจากที่มารดาผู้ให้กำเนิดของทั้งสองคนจากโลกนี้ไป และเป็นไท่เฟยเพียงหนึ่งเดียวที่ยังพำนักอยู่ในวังหลังจนถึงปัจจุบัน
ฉังเคอกับหวังซีพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ลู่หลิงกำชับพวกนาง พวกเจ้าห้ามบอกผู้อื่นเชียว ท่านย่าของข้ากลัวว่าจะมีคนคิดเข้าหาเจียงไท่เฟยผ่านนาง
ว่ากันว่าฮ่องเต้และเป่าชิ่งจ่างกงจู่เห็นเจียงไท่เฟยเป็นดั่งมารดา
ฉังเคอและหวังซีพยักหน้าหงึกๆ
คุณหนูรองอู๋กลับหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อย กล่าวว่า กล่าวไปกล่าวมา ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะจนถึงบัดนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาทเสียที ไม่รู้ว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์อะไรกันแน่ รัชทายาทเป็นรากฐานที่สำคัญของแผ่นดิน การแต่งตั้งรัชทายาทสักคนหนึ่งยากเย็นเพียงนั้นเชียวหรือ เขาจะยื้อไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาทได้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ ทำเอาทุกคนต่างร้อนใจกันไปหมด เกิดเรื่องขึ้นมามากมายโดยไม่จำเป็น!
หวังซีมองเรือนยอดของต้นไม้อันร่มรื่นนอกอาคาร ขบคิดคำพูดของคุณหนูรองอู๋ไปด้วย พานนึกไปถึงอาการประชวรของฮ่องเต้ ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของพายุฝนที่กำลังจะมาเยือนงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ในครั้งนี้
นางเริ่มเป็นห่วงหงโฉวขึ้นมา
ข้าลงไปดูข้างล่างสักหน่อย หวังซีนั่งครู่หนึ่งแล้วก็นั่งไม่ติดที่อีก ข้าให้หงโฉวไปหยิบของชิ้นหนึ่ง เหตุใดจนถึงบัดนี้แล้วก็ยังไม่เอามาเสียที ข้าต้องให้คนไปดูหน่อย
ความจริงแล้ว ก็มีไป๋กั่วคอยปรนนิบัติอยู่ภายในห้อง
แต่คุณหนูรองอู๋ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าหวังซีคงได้ประสบการณ์จากเรื่องเมื่อครู่ ค้นพบว่างานวันเกิดในวันนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งนางยังมาจากสู่จง หากสาวใช้ข้างกายไม่รู้จักหนักเบา สร้างปัญหาอะไรขึ้นมา เสียหน้าถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าเสียชีวิตขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่แน่
เจ้ารีบไปรีบกลับ! นางกำชับหวังซี วันนี้พวกเราหลบภัยอยู่บนอาคารนี้ก็แล้วกัน หลังจากกล่าวอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่และรับประทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยก็ได้กลับบ้านแล้ว หากท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็มีผู้อยู่สูงกว่ารับเอาไว้อยู่ดี เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป
ลู่หลิงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา กล่าวอีกคนว่า พี่สาวหวังไม่ต้องกลัว พวกเราล้วนเป็นเด็กสาวกันทั้งสิ้น แสร้งไม่รู้เรื่องก็พอ
ฉังเคอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ถามนางว่า ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่
ไม่ต้องหรอก หวังซีส่ายศีรษะ ถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆ ฉังเคอมีแต่จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น สิ่งที่นางไม่อยากให้เกิดที่สุดในตอนนี้คือลากผู้อื่นมาลำบากด้วย ข้าแค่ลงไปคุยไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ทั้งสามคนพยักหน้า ส่งนางลงจากอาคารไป
ลู่หลิงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า พวกเราคงไม่ได้ทำให้พี่สาวหวังตกใจกลัวหรอกกระมัง
ไม่หรอก คุณหนูรองอู๋กล่าวด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย นางดูเป็นคนอ่อนหวานก็จริง แต่ยามเจอปัญหากลับมีแนวทางเป็นของตัวเอง มิใช่คนที่จะตกใจกลัวอะไรง่ายๆ พวกเราแค่รอไปก่อน หากนางหายไปนาน อย่างมากไปขอร้องชุ่ยกูช่วยตามหาคนให้ก็ได้
ลู่หลิงพยักหน้า กล่าวว่า หากไม่ได้การก็ไปขอร้องท่านย่าของข้า
นี่ช่างเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ
ฉังเคอมองคุณหนูรองอู๋และลู่หลิง นึกถึงนายหญิงรองและฉังเหยียนที่หายตัวไปตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึงหอนกกระจ้อยขับขานขึ้นมา อารมณ์สับสนวุ่นวายเล็กน้อย
ด้านหวังซี เมื่อลงมาจากอาคารก็ถามไป๋จื่อที่เฝ้าอยู่ใต้อาคารว่า ชิงโฉวกับหงโฉวยังไม่มาหรือ
ไป๋จื่อส่ายศีรษะ
หวังซีจึงรอครู่หนึ่ง เห็นเฉินอิงกำลังเดินผ่านมาจากต้นไม้ดอกไม้ด้านนอก
ตัวอาคารปลูกต้นไม้ดอกไม้เอาไว้ทั้งสี่ด้าน หากไม่มองให้ดี จะมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านล่างอาคาร
เฉินอิงคงคิดว่าในอาคารไม่มีคน ดวงหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึก แตกต่างจากเมื่อครู่ที่อยู่ต่อหน้าองค์หญิงฟู่หยางและซือจูเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขายังเดินไปด้วย และกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดมากไปด้วยว่า นางต้องการหาข้าด้วยเรื่องอะไรอีก บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าวันนี้อาจยุ่งมาก นางรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยคุยกันไม่ได้เชียวหรือ หรือไม่นางก็มาค้างสักสองสามวันก็ได้ ครอบครัวของพี่เขยก็มิใช่คนไร้เหตุผล นางต้องการกลับบ้านเดิม ครอบครัวของพี่เขยย่อมไม่ขัดขวางนางอยู่แล้ว!
นาง? เฉินเจวี๋ยหรือ
ดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเฉินอิงกับเฉินเจวี๋ยก็มิได้ดีอย่างที่ทุกคนพูดกัน!
หวังซีหัวเราะคิกอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองค้นพบเรื่องที่ทุกคนล้วนไม่รู้เข้าแล้ว
น่าเสียดายที่เฉินอิงเพียงเดินผ่านทางมาทางนี้เท่านั้น หากเลือกที่นี่เป็นสถานที่คุยกับคนที่เฉินเจวี๋ยส่งมาละก็ นางคงได้แอบฟังสักครั้งหนึ่งแล้ว
หวังซีรอเฉินอิงเดินผ่านไปแล้วก็วิ่งไปดูที่หน้าทางเดิน พบว่าเฉินอิงมุ่งหน้าไปทางศาลากวางร้องพร้อมกับคนแต่งกายแบบสาวใช้ผู้หนึ่ง
นางเบ้ปากใส่เงาหลังของเฉินอิงอย่างดูแคลน
น้ำเสียงที่เฉินอิงต่อว่าเฉินเจวี๋ยเมื่อครู่ ทำให้นางนึกถึงน้ำเสียงของบุตรชายของป้าใหญ่นางทุกครั้งที่พูดกับภรรยาขึ้นมา ช่างไม่ให้เกียรติผู้อื่นเลย
ไม่แน่ว่าเฉินอิงผู้นี้กับลูกพี่ลูกน้องชายของนางผู้นั้นอาจมีนิสัยน่ารังเกียจเหมือนกันก็ได้!
ขณะที่หวังซีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงนั้น ชิงโฉวก็กลับมา
สีหน้าของนางดูไม่ดีเล็กน้อย
หวังซีหัวใจเต้นตึกตักครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าอาจเกิดเรื่องกับหงโฉวแล้ว
เป็นไปตามคาด ชิงโฉวกล่าวขึ้นว่า หงโฉวหายตัวไปจากป่าไผ่ผืนนั้น ข้าอยากตามหาต่อไป แต่คล้ายกับว่าศาลากวางร้องถูกเฝ้าระวังเอาไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้ง ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ ข้ากลัวนางถูกจับได้ตอนไปตามหาข้า แล้วถูกเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นคนดึงดาบเล่มนั้น
หวังซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ยืดหลังตรง กล่าวเสียงเคร่งว่า ไป พวกเราไปดูที่นั่นกัน หากยังตามหาคนไม่เจออีก ก็ตรงไปขอพบเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ขอให้นางช่วยออกหน้า
ส่วนเรื่องจะพูดกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่อย่างไรนั้น นางร่างบทในใจเอาไว้ห้าหกบทแล้ว ระหว่างทางค่อยคิดดีๆ อีกทีว่าบทไหนเหมาะสมกว่า
ชิงโฉวพยักหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า
…………………………………………………………………….
[1] ต้นอวี้ ต้นยูคาลิปตัส