เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 68 พี่ชายใหญ่
ถึงแม้จะละเหี่ยใจที่พอจะทำเรื่องจริงจังสักหน่อยก็ดูยากเย็นเหลือเกิน แต่นี่ก็ผลักดันให้หวังซีมีแรงฮึดสู้เช่นกัน
ก็แค่สูตรเครื่องหอมหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ นางไม่เชื่อว่าด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของตระกูลหวังจะตรวจสอบส่วนผสมเหล่านั้นออกมาไม่ได้!
คิดค้นใหม่ยากเกินไป แต่การลอกเลียนแบบจะใช้ไม่ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ
หวังซีเก็บข้าวของกับท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ ด้วยจิตใจฮึกเหิม กลับไปที่ร้านขายยา
เพียงแต่ว่าตอนลงจากรถม้านั้น หวังสี่ค้นพบว่ามีคนลับๆ ล่อๆ แอบมองพวกเขาอยู่ด้านข้าง เขาไปลากตัวคนออกมาอย่างไม่ให้ซุ่มเสียง
เป็นบ่าวชายอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีผู้หนึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด ดูคล้ายคุณชายน้อยของตระกูลชั้นสูง ดวงตาทั้งคู่กลมโต ดูเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง
เขาถูกหวังสี่จับตัวเอาไว้แต่ก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว ยังข่มขู่หวังสี่ด้วยว่า กลางวันแสกๆ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าก็แค่ยืนดูความครื้นเครงอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งเท่านั้น เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้าไว้ไม่ปล่อย หากเจ้าทำเช่นนี้อีก ข้าคงต้องร้องตะโกน ‘ช่วยด้วย’ แล้ว! ให้คนของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าตื่นตกใจ ทีนี้เจ้าก็รอไปขึ้นศาลกับข้าได้เลย!
หวังสี่ดวงหน้ามืดครึ้ม คิดว่าเขาเป็นบุตรหลานของตระกูลทรงอิทธิพลคนใดเสียอีก
โชคดีที่คนที่เฉินลั่วทิ้งเอาไว้นั้นอารักขาหวังซีเข้าเมืองมาด้วยตลอดทาง พอได้ยินแล้วก็ลากตัวบ่าวชายผู้นั้นมุ่งหน้าไปที่ศาลซุ่นเทียนโดยไม่พูดอะไรสักประโยค บ่าวชายผู้นั้นถึงได้เกิดความหวาดกลัว กล่าวขึ้นว่า ข้าเป็นผู้ติดตามข้างกายคุณชายน้อยจวนชิ่งอวิ๋นโหว พวกเจ้ารีบปล่อยข้า แล้วเรื่องนี้จะถือว่าจบแต่เพียงเท่านี้ ไม่อย่างนั้นหากคุณชายน้อยของพวกข้ามาตามหา อย่าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนของกองพลม้าทะยานแล้วจะสลัดความรับผิดชอบไปได้
คนของกองพลม้าทะยานสองสามคนนั้นล้วนสวมใส่เสื้อผ้าปกติธรรมดา ได้ยินแล้วไม่เพียงไม่ปล่อยตัวคน ยังหัวเราะออกมา กล่าวว่า เจ้ารู้ว่าพวกข้าเป็นคนของกองพลม้าทะยาน? เช่นนั้นรู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นคนในปกครองของผู้ใด
บ่าวชายผู้นั้นอึกๆ อักๆ เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวแล้ว ทว่ายังพยายามฝืนไม่ยอมแพ้ กล่าวว่า ข้าเห็นป้ายที่เอวของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากล่าวเช่นนี้ ต้องเป็นคนในปกครองของใต้เท้าเฉินอย่างแน่นอน แต่คนในปกครองของใต้เท้าเฉินก็ไม่อาจสังหารคนตามใจชอบได้! อีกอย่าง ข้า…ข้าก็มิได้ทำอะไรด้วย! ก็แค่ยืนอยู่ตรงนี้มองอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
หวังสี่ถึงได้สังเกตเห็นว่าถึงแม้คนสองสามท่านของกองพลม้าทะยานจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา แต่ที่บริเวณเอวกลับห้อยป้ายเอาไว้อย่างเปิดเผยไม่ระมัดระวัง ไม่กลัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าผู้อื่นจะรู้สถานะของพวกเขา นอกจากนี้แล้ว ตลอดทางที่เดินมาก็พูดคุยกันอย่างสบายๆ ดูผ่อนคลายกันมาก แม้แต่เขายังสังเกตเห็นว่ามีคนแอบมอง คนสองสามท่านนี้กลับเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
กิริยาท่าทางค่อนข้างอหังการ
หรือว่านี่คือพฤติกรรมของกองพลส่วนพระองค์?
หวังสี่รู้สึกว่าคนสองสามคนนี้พึ่งพาอะไรไม่ได้สักเท่าไรนัก
คนจากกองพลม้าทะยานเหล่านั้นได้ยินบ่าวชายกล่าวเช่นนี้แล้วต่างหัวเราะฮ่าขึ้นมา กล่าวว่า ในเมื่อรู้ว่าพวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าเฉิน เช่นนั้นก็คงรู้ว่าพวกข้าไม่สังหารคน อย่างไรก็ตาม พวกข้าส่งตัวเจ้าไปให้หน่วยพิทักษ์สันติได้ แน่นอนว่าต่อให้พวกข้าส่งตัวเจ้าไปที่หน่วยพิทักษ์สันติเจ้าก็ไม่กลัวเพราะหัวหน้ากองพันของหน่วยพิทักษ์สันติเหนือและใต้ล้วนเป็นคนของจวนชิ่งอวิ๋นโหวของพวกเจ้าทั้งสิ้น แต่ถ้าพวกข้าทุบตีเจ้าจนปางตายก่อนแล้วค่อยส่งป้ายชื่อของใต้เท้าเฉินตามไป เจ้าว่า ใต้เท้าหัวหน้ากองพันของหน่วยพิทักษ์สันติจะเชิญหมอมารักษาบาดแผลให้คนก่อนแล้วค่อยส่งตัวกลับจวนชิ่งอวิ๋นโหวหรือไม่!
บ่าวชายผู้นั้นได้ยินแล้วหน้าซีดเผือดไปหมด
ทั้งกองพลม้าทะยานและหน่วยพิทักษ์สันติ มีผู้ใดว่าง่ายบ้าง!
หวังสี่ไม่อยากให้เทพเซียนต่อสู้กันแล้วพวกเขาต้องรับเคราะห์ไปด้วย ได้แต่ถามบ่าวชายผู้นั้นว่า ในเมื่อเจ้าเป็นคนของจวนชิ่งอวิ๋นโหว มาทำตัวลับๆ ล่อๆ ที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนของพวกข้าเพื่ออันใด
บ่าวชายผู้นั้นไม่กล้าต่อว่าต่อขานคนของกองพลม้าทะยาน ทว่าไม่กลัวหวังสี่ ได้ยินแล้วกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า ลับๆ ล่อๆ อะไรกัน ข้ามาอย่างเปิดเผยและจริงใจต่างหาก! ข้าได้รับคำสั่งจากคุณชายน้อยของพวกข้าให้มาดูว่าคุณหนูหวังกลับมาหรือยัง ได้พบเฉาอวิ๋นผู้นั้นหรือไม่ เพียงแต่ว่าพวกเจ้ามีคนของกองพลม้าทะยานมาด้วย ชั่วขณะนั้นข้าไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงอยากดูให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที เจ้ามากล่าวหาข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!
ช่างเป็นการรังแกผู้อ่อนแอแต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ไม่กล้ายั่วยุคนของกองพลม้าทะยาน
หวังสี่ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้วจริงๆ
คนของกองพลม้าทะยานพากันหัวเราะฮ่าดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง หนึ่งในนั้นที่ทำหน้าที่หัวหน้ากล่าวกับหวังสี่ว่า เจ้าพาคนเข้าไปก่อน สอบถามคุณหนูของพวกเจ้าว่าจะจัดการอย่างไร หากไม่ต้องส่งไปที่หน่วยพิทักษ์สันติ เช่นนั้นพวกข้าก็จะขอตัวลาไปก่อนแล้ว
ถ้าหากส่งตัวคนไปที่หน่วยพิทักษ์สันติจริงๆ ชิ่งอวิ๋นโหวย่อมไม่ไปหาเฉินลั่ว แต่จะมาหาตระกูลหวังของพวกเขา และมาหาร้านขายยาเพื่อมวลชนแทนอย่างแน่นอน
หวังสี่ส่ายศีรษะอยู่ในใจ รีบกล่าวประนีประนอมคำรบหนึ่ง หยิบเงินมอบให้คนของกองพลม้าทะยานแล้ว ถึงได้เดินนำบ่าวชายผู้นั้นเข้าไปในร้านขายยาเพื่อมวลชน เอ่ยถามว่า เจ้าอยากไปพบคุณหนูของพวกข้าพร้อมกับข้าหรือไม่
บ่าวชายผู้นั้นเห็นหวังสี่พูดคุยกับคนของกองพลม้าทะยานอย่างไม่หยิ่งทะนงและไม่นอบน้อมเกินไป ค่อนข้างมีฝีมือไม่น้อย อดชื่นชมเขาเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนไม่ได้ ประกอบกับได้รับคำสั่งมาจากปั๋วหมิงเย่ว์ด้วย จึงรีบตอบว่า ไปๆ คุณชายของพวกข้ายังให้ข้านำความมาแจ้งคุณหนูหวังด้วย!
หวังสี่พาเขาเดินไปยังลานบ้านด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่พักของท่านหมอเฝิงไปด้วย พลางแอบล้วงความลับจากบ่าวชายผู้นี้ไปด้วย
บ่าวชายผู้นี้หากมิใช่เพราะเฉลียวฉลาดก็คงไม่ได้เป็นคนปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายปั๋วหมิงเย่ว์
แม้นเขาดูอายุน้อย ทว่าพานพบคนมาแล้วไม่น้อยเลย แม้แต่คนที่ถวายการรับใช้อยู่ข้างวรกายฮ่องเต้และฮองเฮา เขาก็เคยพูดคุยด้วยมาแล้ว
ถึงคำพูดของหวังสี่จะมีความนัยแฝงอยู่ ทว่านอกจากเรื่องที่บ่าวชายผู้นี้มีนามว่า ‘เสี่ยวซื่อ’ แล้ว เรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นเขาล้วงอะไรออกมาไม่ได้เลย
หวังสี่จำต้องยอมแพ้
ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในลานบ้าน กลับได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของหวังซีดังขึ้น พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร! ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดไม่ให้คนนำจดหมายมาแจ้งข้าล่วงหน้าสักฉบับหนึ่ง ข้าจะได้จัดให้หวังสี่ไปรับท่าน! ท่านมาจิงเฉิงมีธุระเร่งด่วนอะไรหรือเปล่า อยู่ได้กี่วัน มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่ มีเวลาไปกินข้าวที่หอสายลมวสันต์หรือไม่ก็ที่ร้านรสเลิศสี่ฤดูหรือไม่ อยากให้ข้าไปจองโต๊ะล่วงหน้าสักโต๊ะหนึ่งหรือไม่
นายใหญ่มาหรือ
หวังสี่ได้ยินแล้วเสมือนงมเข็มในมหาสมุทรเจอแล้ว หัวใจผ่อนคลาย รู้สึกว่าอากาศสดชื่นขึ้นหลายส่วน
เขาให้คนพาบ่าวชายของปั๋วหมิงเย่ว์นามว่าเสี่ยวซื่อผู้นั้นไปดื่มชาที่ห้องน้ำชาด้านข้าง ส่วนตัวเองเร่งฝีเท้าเข้าไปที่ห้องโถงรับรอง
หวังซีกำลังดึงตัวบุรุษอายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่งไว้กระโดดขึ้นกระโดดลงอยู่
หวังสี่ขอบตาร้อน รีบก้าวออกไปทำความเคารพบุรุษผู้นั้น ขานเรียกเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า คุณชายใหญ่
พี่ชายใหญ่ของหวังซีมีนามว่าหวังเฉิน รูปร่างสูงปานกลางค่อนไปทางสูง สีผิวไม่นับว่าขาวเนียนละเอียดแต่ก็ไม่คล้ำ หน้าตาธรรมดาสามัญ น่าจะเป็นคนที่หากทิ้งไว้กับฝูงชนก็คงจะหาใบหน้าไม่เจอผู้หนึ่ง แต่ดวงตาทั้งคู่สุกใสแหลมคม ร่างกายแข็งแรงกำยำ อากัปกิริยาอบอุ่นงามสง่า ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกได้ว่าไม่ธรรมดา
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับน้องชายน้องสาวต่างมารดาทั้งสองคนแล้ว หน้าตาของเขายังถือว่าธรรมดามากเกินไปอยู่ดี
เขาหน้าตาคล้ายท่านปู่ทวดของหวังซีมากกว่า และก็ได้รับการเคารพและไว้วางใจจากคนในตระกูลเหมือนท่านปู่ทวดของหวังซีไม่มีผิด
นี่โตขึ้นครึ่งปี ทั้งยังได้มาพบเห็นโลกกว้างที่จิงเฉิงแล้ว เหตุใดเมื่อเปรียบเทียบกับตอนอยู่บ้าน ถึงดูเด็กกว่าเดิมอีก! หวังเฉินยิ้มร่ามองน้องสาว ความยินดีในดวงตาปริ่มล้นออกมาอย่างปิดเอาไว้ไม่มิด เขาลูบผมดำนุ่มสลวยดุจเส้นไหมของหวังซี กล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า ครานี้พี่ใหญ่พักอยู่ที่จิงเฉิงได้เพียงสองวันเท่านั้น ที่ตะวันตกเฉียงเหนือใกล้เปิดตลาดแล้ว ปีนี้ท่านพ่ออายุมากไม่คิดจะไปแล้ว จึงให้ข้าเดินทางไปแทนเขาสักครั้งหนึ่ง
กล่าวจบ เขายื่นกล่องผ้าตาดที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาข้างๆ กล่องหนึ่งส่งให้หวังซี เจ้าบอกว่าอยากได้กล้องส่องทางไกลที่เหมือนกับของที่พี่ใหญ่ใช้มิใช่หรือ พี่ใหญ่ให้สหายที่ก่วงตงหาชิ้นใหม่มาให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบ ข้าค่อยให้คนหาชิ้นที่เจ้าชอบมาให้ใหม่
หวังซียิ้มตาหยีจนดวงตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว พยักหน้าหงึกๆ ยังไม่ทันได้เปิดกล่องผ้าตาดดู ก็กล่าวซ้ำๆ ไม่หยุดแล้วว่า ชอบเจ้าค่ะ ชอบเจ้าค่ะ! พี่ใหญ่อุตส่าห์หามาให้ข้าเป็นพิเศษ ข้าชอบทั้งนั้น
ขณะที่กล่าว นางดึงหวังเฉินไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนด้านข้าง ยังรับจอกน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้วางลงทางขวามือของเขา หมุนกายไปด้านหลังนวดบ่าให้เขา กระตือรือร้นดั่งผึ้งน้อยตัวหนึ่ง เอนกายอยู่ข้างๆ เขาพูดคุยกับเขาต่อว่า ท่านจะไปภาคตะวันตกเฉียงเหนือหรือ ปีนี้บรรดาหัวหน้าเผ่าเหล่านั้นก็ไปด้วยหรือไม่ พี่ใหญ่มาจากที่ใด จะเร่งไปทันตลาดของทางนั้นเปิดหรือไม่
ที่เรียกว่าการเปิดตลาดของภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้น ความจริงแล้วคือการรวมตัวกันอย่างลับๆ ระหว่างพ่อค้ากับหัวหน้าเผ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในอวิ๋นหนาน กุ้ยโจวและซื่อชวน ในการรวมตัวกันครั้งนี้พวกเขาจะทำการจองใบชา เกลือ ผ้าไหมและสินค้าอื่นๆ ที่แต่ละครอบครัวต้องการค้าขายแลกเปลี่ยนของปีถัดไปเอาไว้
ปกติกำหนดให้เป็นเดือนเก้าหรือไม่ก็เดือนสิบของทุกปี
หากล่าช้ากว่านี้ บางพื้นที่มีหิมะตกหนักปิดทางผ่านภูเขา ทำให้เดินทางมาไม่ได้
หวังเฉินหัวเราะฮ่า กล่าวชมหวังซีว่า ครั้งนี้ต้องชมนั่วนั่วของพวกเรา หากมิใช่เพราะเจ้าเขียนจดหมายไปบอกข้า ว่าตระกูลเฝิงที่หูโจวใช้เส้นไหมป่ามาทอผ้า ผ้าที่ทอออกมาเงางามกว่าผ้าฝ้ายปกติ และแข็งแรงทนทานกว่าผ้าไหมปกติละก็ ข้าก็คงไม่ได้เดินทางไปที่หูโจวเป็นการเฉพาะ…
…ครั้งนี้พวกเราสั่งสินค้าของตระกูลเฝิงมาสองแสนตำลึง หากการเปิดตลาดที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือขายดี พวกเราอาจได้ทำสัญญาระยะยาวกับตระกูลเฝิง ไม่แน่ว่าอาจได้เปิดตลาดการค้าผ้าไหมที่เจียงหนานผ่านตระกูลเฝิงด้วยก็เป็นได้…
…นั่วนั่ว เจ้ากลับไปครานี้ เกรงว่าเรือนครัวเล็กของท่านปู่คงได้สั่นคลอนแล้ว!
นั่วนั่วคือชื่อเล่นของหวังซี
นางฟังแล้วหัวเราะจนตาหยีเป็นเส้น วิ่งไปตรงหน้าหวังเฉินกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งจะบอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ฟังแล้วต้องรู้สึกว่าคลังสมบัติของท่านปู่ก็สั่นคลอนเหมือนกันเป็นแน่!
เอ๋ หวังเฉินวางจอกชาในมือลง ตั้งท่าฟังหวังซีพูดอย่างตั้งใจ นั่วนั่วกล่าวเช่นนี้ จะต้องมีเรื่องดีๆ อีกเป็นแน่! รีบบอกพี่ใหญ่เร็วว่าเป็นเรื่องอะไร ให้ข้าได้ร่วมดีใจด้วย!
หวังซีกลอกลูกตาไปมาไม่หยุด เม้มปากไม่กล่าวคำใด
หวังเฉินหยั่งเสียงก็เข้าใจ รีบให้บรรดาสาวใช้และบ่าวชายภายในห้อง หรือแม้กระทั่งผู้ติดตามของเขาให้ถอยออกไปทั้งหมด ถึงได้กล่าวหยอกเย้าท่านหมอเฝิงที่นั่งมองพวกเขาสองพี่น้องเล่นสนุกกันอยู่ตรงข้ามเขาว่า อย่ากลายเป็นบอกพวกข้าว่านางค้นพบว่าขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมของจิงเฉิงกับซาลาเปาไส้เนื้อนาบกระทะมีวิธีทำที่คล้ายกันหรอกนะ
ท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ หัวเราะฮ่าเสียงดังขึ้นมา
หวังซีมือเท้าสะเอวอย่างขุ่นเคือง
ท่านหมอเฝิงถือโอกาสส่งสายตาให้เฝิงเกาและพ่อบ้านของหวังเฉินอีกสองสามคนที่ยังรั้งอยู่ในห้องครั้งหนึ่ง
ภายในห้องจึงเหลือเพียงหวังเฉินสองพี่น้องกับท่านหมอเฝิง
หวังเฉินเก็บรอยยิ้มเย้าแหย่ไปแล้ว ทว่าเส้นรอยยิ้มที่หางตายังคงไม่ลดน้อยลง ราวกับมันได้สลักลงบนใบหน้าเขาไปแล้ว ทำให้ต่อให้เขาไม่ยิ้มก็ยังเจือแววใจดีไว้หลายส่วน
เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาจัดเสื้อและนั่งให้เรียบร้อย ดูเคร่งขรึมและจริงจัง เผยความสง่าผ่าเผยของผู้สืบทอดตระกูลกว่าร้อยปีอันทรงเกียรติออกมาให้เห็น
หวังซีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดต้าเจวี๋ยให้หวังเฉินฟังอย่างรวบรัด
ท่านหมอเฝิงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้เพิ่มเติมเข้าไปด้วย
หวังเฉินฟังอย่างตั้งใจ กระทั่งทั้งสองคนเล่าจนจบ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงได้ถามหวังซีว่า ความหมายของเจ้าก็คือเฉินลั่วน่าคบหา?
หวังซีพยักหน้า ถามหวังเฉินว่า มีความจำเป็นหรือไม่เจ้าคะ
ตอนนี้ยังไม่จำเป็น! หมายความปฏิเสธ หวังเฉินเองก็พูดจากเหมือนสายลมวสันต์พัดผ่านใบหน้าทำให้คนรู้สึกสบาย สถานะของเฉินลั่วอันตรายเกินไป พวกเราไม่รู้ว่าเขาจะยืนข้างผู้ใด ระหว่างที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่แน่นอนนี้ ครอบครัวของพวกเราไม่ควรเลือกข้าง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปยุ่งด้วย
ประโยคสุดท้ายนั่น เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด
ด้วยความบากบั่นตรากตรำของคนหลายต่อหลายรุ่น ทำให้หวังเฉินมีทุนทรัพย์มากพอจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้
……………………………………………………………………..