เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 70 เปลี่ยนแปลง
หวังซีโตมาขนาดนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนตำหนิหวังเฉินว่าทำไม่ถูกต้อง
พี่ชายใหญ่ต้องรู้สึกเสียหน้าอย่างแน่นอน
นางรีบก้มหน้าลง ทว่าในใจกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ท่านหมอเฝิงกล่าวมามีเหตุผล
กับพี่ชายรองยังดีหน่อย นานๆ ทีพี่ชายใหญ่ยังให้พี่ชายรองช่วยทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านบ้าง บอกว่าต่อให้พี่ชายรองไม่อยากรับช่วงดูแลกิจการของที่บ้าน ก็ต้องรู้ไว้ว่าในบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่กับนางแล้ว เหมือนกับเลี้ยงดูบุตรสาวจริงๆ ต้องเชื่อฟังต้องว่านอนสอนง่าย เข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าบิดาของนางเสียอีก
ถ้าหวังเฉินเป็นคนที่ถูกต่อว่าเพียงสองสามประโยคก็สะทกสะท้านแล้วล่ะก็ เขาคงไม่อาจเป็นผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติดีพร้อมได้ นอกจากจะดูแลกิจการของตระกูลได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังมีแนวโน้มว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีกหนึ่งระดับด้วย
แต่นิสัยเขาอ่อนโยนกว่าบิดาของหวังซี ต่อให้ไม่เห็นด้วย ก็ไม่โหวกเหวกโวยวายเสียงดัง เขาล่วงเลยวัยแข่งส่งเสียงดังกับผู้อื่นไปนานแล้ว
ท่านกล่าวได้ถูกต้อง เขายิ้มน้อยๆ พลางกล่าว นั่วนั่วยังเด็ก จะฝึกฝนนางเมื่อไรก็ยังได้ ไม่คุ้มกับการเสี่ยงที่จิงเฉิง หากนางทำผิดพลาด ต่อให้ข้าอยากช่วยแก้ปัญหาให้ก็อาจจะเกินความสามารถ รอนั่วนั่วกลับสู่จงแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
กล่าวถึงเรื่องหวังซีเดินทางมาจิงเฉิงแล้ว หวังเฉินรู้สึกว่ามารดาเลี้ยงของตัวเองสร้างเรื่องวุ่นวายจริงๆ
นั่วนั่วสะสวย นิสัยร่าเริงและน่ารักน่าเอ็นดู ขอเพียงดวงตาไม่มืดบอด ย่อมไม่มีทางรังเกียจน้องสาวของเขาอย่างแน่นอน ต่อให้มีคนถูกใจสินเจ้าสาวของนั่วนั่ว แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนชอบนั่วนั่วมิใช่หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ วิ่งมาหาสามีให้นั่วนั่วถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ครอบครัวของพวกเขาสูญเสียโอกาสในการทาบทาม ไม่รู้ภูมิหลังของคนที่นั่วนั่วจะแต่งงานด้วย ยิ่งอันตรายและไว้ใจไม่ได้
แน่นอนว่าบางทีสำหรับมารดาเลี้ยงของเขาแล้ว จิงเฉิงอาจเป็นสถานที่ที่นางคุ้นเคย สู่จงต่างหากที่เป็นสถานที่อื่น นางอยากให้บุตรสาวแต่งงานกลับบ้าน ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้
เขากลับรู้สึกว่าเฝิงเกาบุตรชายบุญธรรมของท่านหมอเฝิงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
เป็นคนซื่อสัตย์รู้จักหน้าที่ ฝีมือด้านการแพทย์ก็ดี ไม่มีครอบครัวเป็นภาระกวนตัว นั่วนั่วแต่งกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่งบุตรเขยเข้าบ้าน
แต่น่าเสียดาย นั่วนั่วมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับเฝิงเกา
นางชอบบุรุษหน้าตาดี
ค่อนข้างเหมือนบิดาของพวกเขา
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้วหวังเฉินรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย จึงพูดถึงความกังวลที่ตัวเองมีต่อเฉินลั่วออกมา พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของท่านหมอเฝิงและหวังซี
จินซงชิงไม่มีทางกักขังท่านโดยไร้เหตุผล เฉินลั่วเองก็ไม่น่าจะวิ่งไปวัดต้าเจวี๋ยโดยไม่มีเหตุเช่นกัน เขากล่าวกับท่านหมอเฝิง พวกเราช่วยเฉินลั่วหาส่วนผสมของผงธูปหอมถือเป็นเรื่องรอง กลัวก็แต่ว่านี่จะเกี่ยวพันกับเรื่องในวัง ที่จิงเฉิงข้ายังมีธุระอย่างอื่นให้ต้องจัดการ ไม่อาจไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าเซี่ยแล้ว แต่ข้าจะสั่งการหลงจู๊ใหญ่เอาไว้ ดูว่าจะสืบข่าวอะไรได้บ้างหรือไม่
จากนั้นเขาตบมือของหวังซีที่กำลังนวดบ่าให้ตนอยู่พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า วันนี้ก็ไม่เช้าแล้ว เจ้าจะกลับจวนหย่งเฉิงโหวหรือว่าค้างคืนที่นี่? ด้านจวนหย่งเฉิงโหวนั้น ข้าคงไม่ไปรบกวนแล้ว พรุ่งนี้เจ้าอยากรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่หรือไม่ ข้าได้ยินหลงจู๊ใหญ่บอกว่า อยู่จิงเฉิงเจ้าซื้อแม่ครัวมาหลายคน นี่ทำได้ดีมาก แผ่นฟ้ากว้างผืนดินใหญ่ก็มิสู้เรื่องกินเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเวลาใดก็ห้ามทำให้ตัวเองลำบาก
นี่หมายความว่าไม่อยากถกเรื่องของเฉินลั่วต่อแล้ว
ท่านหมอเฝิงกับหวังซีจึงไม่อาจเอ่ยถึงอีก หวังซีคิดว่าที่พี่ชายใหญ่ให้นางอยู่รับมื้อเช้าด้วย หมายความว่าอยากให้นางอยู่ค้างคืนด้วยนั่นเอง
นางรีบขานรับคำอย่างยิ้มแย้ม
เครื่องนอนต้องไปซื้อใหม่ ผ้าเช็ดตัวต้องเป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวผลิตจากเหลี่ยงหู ถ้วยน้ำชาก็ยังต้องตามหาสีและแบบที่หวังซีชื่นชอบ…ไป๋กั่วกับหวังสี่อีกสองสามคนต่างยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น
ท่านหมอเฝิงกับหวังซีกินมื้อเย็นมาระหว่างทางเรียบร้อยแล้ว หวังเฉินกลับเพิ่งมาถึงเมืองหลวง
หวังซีกินข้าวที่จะเรียกว่ามื้อเย็นก็ดึกเกินไป จะเรียกว่าอาหารว่างมื้อดึกก็ยังเร็วเกินไปเป็นเพื่อนหวังเฉินไปหนึ่งมื้อ หลังอาหารยังไปเดินย่อยเป็นเพื่อนหวังเฉินในลานบ้านด้วย
ต้ากวนกับเอ้อร์กวนเป็นอย่างไรบ้าง ตอนเดินเล่นนางถามถึงหลานชายทั้งสองคนของตัวเอง คราวก่อนท่านพ่อบอกว่าต้ากวนเป็นเมล็ดพันธุ์ของผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง ได้ว่าจ้างอาจารย์ส่วนตัวคนใหม่มาให้เขาหรือยังเจ้าคะ
บุตรชายทั้งสองคนของหวังเฉินแตกต่างกันคนละขั้วเหมือนพี่น้องของหวังเฉิน บุตรชายคนโตของเขาชอบเล่นและชอบอ่านหนังสือกับอาของเขา ส่วนบุตรชายคนรองชอบเล่นกับหวังซี เฉลียวฉลาดและแปลกประหลาดเหมือนหวังซี แค่กะพริบตาก็ได้แผนการแล้ว คนในบ้านอยากปลูกฝังให้บุตรชายคนโตของเขาเรียนหนังสือ และบุตรชายคนรองทำการค้า
อาจารย์คนเดิมที่เชิญมาสอนต้ากวนนั้นยังไม่ดีพอ
หวังเฉินไม่เพียงดีกับน้องชายน้องสาวเท่านั้น ยังปฏิบัติต่อภรรยาและบุตรชายหญิงอย่างดีด้วย
ถึงแม้เขาจะอยู่ข้างนอกตลอด แต่ก็มักจะให้คนนำสิ่งของและจดหมายไปส่งให้บุตรชายเสมอ จึงรู้เรื่องของบุตรชายทั้งสองคนเป็นอย่างดี
ตระกูลเซี่ยช่วยแนะนำมาให้หนึ่งท่าน ท่านพ่อคอยดูอยู่ข้างๆ ด้วยตัวเอง หากใช้ไม่ได้ ค่อยหาทางเปลี่ยนคนใหม่ หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ ส่วนเอ้อร์กวน เมื่อไม่นานมานี้ร้องอยากฝึกยุทธ์ ข้าคิดว่าเด็กผู้ชายนั้น หากร่างกายไม่แข็งแรงก็ใช้การไม่ได้ เจ้าดูคนที่เข้าร่วมการสอบทหารเหล่านั้น ทุกปีล้วนมีคนที่เข้าไปอย่างตัวตรงสง่าผ่าเผยแต่ถูกหามออกมาหมดท่าทั้งสิ้น ข้าให้พ่อบ้านใหญ่ไปเชิญคนมาผู้หนึ่ง ให้พี่รองของเจ้ากับต้ากวนไปเรียนด้วย…
…พี่รองของเจ้ากับต้ากวนล้วนไม่ยินยอม โมโหแต่ไม่กล้าพูด หยิบยกมาพูดถากถางเอ้อร์กวนทุกวัน เอ้อร์กวนเขียนจดหมายมาหาข้า บอกว่าอยากมาหาเจ้าที่จิงเฉิง ข้าบอกเขาว่า หากเขาดึงธนูหนึ่งต้าน[1]ได้ ข้าจะให้คนพาเขามาหาเจ้าที่จิงเฉิง
กล่าวจบ เขาก็หัวเราะฮ่าดังลั่นขึ้นมา
หวังซีเองก็หัวเราะตามขึ้นมาด้วย
ปีนี้เอ้อร์กวนเพิ่งจะเก้าขวบ ธนูหนึ่งต้านมิใช่ว่าจะดึงได้ง่ายๆ กว่าเขาจะดึงได้ นางอาจจะกลับสู่จงไปแล้วก็เป็นได้
พี่ชายใหญ่ของนาง เอาอุบายที่ใช้จัดการนางกับพี่ชายรองตอนเป็นเด็กมาใช้กับต้ากวนและเอ้อร์กวนอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อต้ากวนกับเอ้อร์กวนโตขึ้นจะตัดพ้อต่อว่าพี่ชายใหญ่หรือไม่
หวังซีคล้องแขนพี่ชายใหญ่เล่าเรื่องทั่วไปในบ้านกว่าครู่ใหญ่ เมื่อหมุนกายกลับพบว่าหวังสี่ชะโงกศีรษะออกมาหลายต่อหลายครั้ง ท่าทางคล้ายมีเรื่องต้องการพูดกับพวกเขา
หวังเฉินรู้ว่าหวังสี่เทิดทูนเขา เดิมทีคิดจะปล่อยให้หวังซีกับหวังสี่คุยกันตามลำพัง ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากที่ทำความเคารพพวกเขาเสร็จแล้วหวังสี่ก็เล่าเรื่องที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งบ่าวชายมาสอดแนมเรื่องของหวังซีให้พวกเขาสองพี่น้องฟังทันที
หวังซีฟังแล้วย่นหัวคิ้วขึ้น กล่าวว่า ปั๋วหมิงเย่ว์หมายความว่าอย่างไร เขาไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ วันนี้พวกเราบังเอิญเจอเฉินลั่วที่วัด เขาคงมิได้คิดว่าพวกเราทำให้เฉินลั่วไม่พอใจหรอกกระมัง ไม่อย่างนั้นหากเขาอยากจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของพวกเราก็น่าจะเข้ามาถามอย่างเปิดเผย แอบสอดส่องอย่างลับๆ ล่อๆ หมายความว่าอย่างไร
หวังสี่ตะลึงงัน รู้สึกว่าคำพูดของหวังซีมีเหตุผลอย่างยิ่ง เขากล่าวอย่างรู้สึกเสียใจภายหลังว่า มิน่าข้าบอกจะพาเขามาพบท่าน เขาบอกไม่ต้องแล้ว ข้าให้การรับรองเขาด้วยเหล้าชาชั้นดี เขากินดื่มอย่างสบายอกสบายใจ พ่อบ้านที่ส่งไปอยู่เป็นเพื่อนแขกแอบส่งคนมาบอกว่าเขาถามว่าวันนี้ท่านกับท่านหมอเฝิงไปทำอะไรที่วัดต้าเจวี๋ยไม่หยุด ที่แท้ก็เพราะเขายังสืบสิ่งที่ต้องการรู้ไม่ได้นี่เอง
หวังซีโมโหจนพึมพำงึมงำไม่หยุด
ปั๋วหมิงเย่ว์ต้องรู้เรื่องที่เฉินลั่วไปหาเฉาอวิ๋นที่วัดต้าเจวี๋ยเป็นแน่
นี่เขากลัวว่านางกับเฉินลั่วจะมีปัญหาขัดแย้งกันเพราะไปสอบถามเฉาอวิ๋นเรื่องทำเครื่องหอมในเวลาเดียวกันอย่างนั้นหรือ
ในเมื่อเป็นกังวลขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ส่งคนมาบอกนางล่วงหน้าสักคำเล่า?
ลูกธนูดอกนั้นของเฉินลั่วคงมิได้ทำให้เขากลายเป็นนกขี้ตกใจที่หวาดกลัวตั้งแต่ง้างธนู เจอเฉินลั่วเมื่อไรก็เดินเลี่ยงหรอกกระมัง
หวังซีวิจารณ์อยู่ในใจ หวังเฉินที่อยู่ด้านข้างกลับเผยความประหลาดใจผ่านดวงตา ถามขึ้นว่า ปั๋วหมิงเย่ว์? คุณชายน้อยของจวนชิ่งอวิ๋นโหว?
อื้อ! หวังซีพยักหน้า คิดว่าตนอย่าเล่าเรื่องที่สวนป่าให้พี่ชายใหญ่ฟังดีกว่า เขารู้แล้วต้องโกรธแน่ๆ นางเล่าเรื่องที่ตนไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ได้รู้จักคุณหนูรองตระกูลอู๋ ไปซ่อนตัวอยู่ที่อาคารหลังเล็กข้างเวทีแสดงงิ้วกับพวกลู่หลิงแล้วเจอองค์หญิงฟู่หยางและเรื่องอื่นๆ ให้หวังเฉินฟังอย่างร่าเริง
หวังเฉินไม่ถูกล่อลวงด้วยน้ำเสียงเริงร่าของหวังซี แต่เอ่ยถามตรงประเด็นว่า เหตุใดปั๋วหมิงเย่ว์ต้องกลัวว่าเจ้ากับเฉินลั่วจะพบกันด้วย
นี่…ออกจะซับซ้อนเกินไปแล้ว…
ท่ามกลางสายตากระจ่างใสที่เผยความเฉียบแหลมประหนึ่งมองทะลุทุกรายละเอียดของพี่ชายใหญ่นั้นหวังซีพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ จำต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างในช่วงเวลานี้ให้หวังเฉินฟังอย่างละเอียด
ยิ่งฟังสีหน้าของหวังเฉินก็ยิ่งเคร่งขรึม กระทั่งหวังซีเล่าจบ โคมไฟมังกรสีแดงสดรอบๆ ถูกจุดจนลานบ้านสว่างไสวแล้ว เขาก็ยังไม่กล่าวสิ่งใดกว่าครู่ใหญ่
หวังซีจะนั่งจะยืนก็ไม่สงบ
นางไม่เคยมีเรื่องปิดบังพี่ชายใหญ่มากขนาดนี้มาก่อน
นี่คือการแสดงออกถึงความไม่เชื่อใจประเภทหนึ่ง
พี่ชายใหญ่ฟังแล้วต้องผิดหวังมากเป็นแน่
แต่บางอย่าง ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นเจ้าคิดว่ามันเล็กน้อยไม่เพียงพอให้เอ่ยถึง ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้
หวังเฉินรู้สึกผิดหวังมากจริงๆ แต่เขายังคงฝืนทำร่าเริงพูดคุยกับหวังซีอีกครู่หนึ่ง ถึงได้แยกย้ายกันไป
เขาพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนไม่หลับ ตอนที่ลุกขึ้นมานั่งก็เที่ยงคืนพอดี เขาครุ่นคิดแล้วไปหาท่านหมอเฝิง
ท่านหมอเฝิงกำลังขบคิดพิจารณาถึงตัวเลือกคนที่จะมาช่วยคลายปมส่วนผสมของผงธูปหอมอยู่ตลอด ก็เลยยังไม่นอนเช่นกัน ได้ยินว่าหวังเฉินมาหาเขา ก็สวมรองเท้าแล้วออกจากห้องนอนไป
เจ้าเป็นอะไรหรือ เขามองหวังเฉินที่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวล ถามหวังเฉินว่าอยากดื่มสุราสักหน่อยหรือไม่ ที่นี่ข้ามีสุราน้ำค้างถาดทองจากคั่วชังชั้นดีอยู่ด้วย ว่าอย่างไร อยากชิมดูหรือไม่
เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำเอาหวังเฉินหัวเราะออกมา
ตั้งแต่เขาเกิดมา ผู้ใหญ่ในบ้านต่างตั้งความหวังกับเขาเอาไว้มาก การดูแลจึงเข้มงวด ครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสสุรา ยังเป็นการลักลอบดื่มสุราน้ำค้างถาดทองจากคั่วชังของท่านหมอเฝิงที่เก็บสะสมไว้ตรงปลายเตียงอีกด้วย
ท่านหมอเฝิงหยิบสุราออกมาจากปลายเตียงอย่างคุ้นเคย ให้บ่าวชายไปหาถั่วลิสงจากในครัวมาจานหนึ่ง ทั้งสองคนไปนั่งในลานบ้าน ร่ำสุราชมจันทร์ด้วยกัน
สุราพร่องไปครึ่ง หวังเฉินถึงได้เอ่ยปากกล่าว นั่วนั่วโตแล้วจริงๆ มีความลับของตัวเองแล้ว เว้นเสียแต่ว่าข้าจะติดตามนางตลอดทั้งวัน…หาไม่หากนางไม่บอกข้า ข้าย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง…ท่านพูดถูก ข้าไม่อาจทำทุกอย่างแทนนางได้…
ท่านหมอเฝิงรู้ความกังวลของหวังเฉินดี เขาเอ่ยถามว่า ถ้าอาซีมิใช่น้องสาวของเจ้า แล้วเจ้ามีโอกาสเช่นนี้ จะเห็นด้วยกับการให้อาซีเป็นตัวแทนของสกุลหวังไปคบหาสมาคมกับเฉินลั่วหรือไม่
เห็นด้วย!
หวังเฉินไม่ได้กล่าวออกมา
ท่านหมอเฝิงเองก็เห็นหวังเฉินเติบโตมาด้วยตัวเอง เขารู้จักนิสัยของหวังเฉินดี
ถ้าเฉินลั่วเลือกองค์ชายผิดไปจริงๆ เจ้าจะปกป้องอาซี ให้นางถอยออกมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ เขาถามอีกครั้ง
แน่นอน!
นอกจากนี้ก็อย่างที่หวังซีกล่าวมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ให้นางออกหน้าย่อมมีคุณกับสกุลหวังมากกว่าให้เขาออกหน้า!
หวังเฉินมองท่านหมอเฝิงครั้งหนึ่ง
ท่านหมอเฝิงกล่าวยิ้มๆ ว่า เช่นนั้นเจ้ายังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก เจ้าอย่าลืมว่า ปีนั้นเจ้าทำการค้าครั้งแรกอย่างไร
หวังเฉินหัวเราะออกมา
ปีนั้นเขาเพิ่งจะอายุสิบแปดปี เพิ่งผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางระดับต้นและได้รับยศซิ่วไฉมา ด้วยจิตใจอันแรงกล้า เขาพาพ่อบ้านของครอบครัวพวกเขาไปด้วยสามคน เจรจาทำการค้าขนส่งเบี้ยรายเดือนทหารจำนวนเจ็ดแสนตำลึงจากกรมคลังไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ที่กานซู่
เซี่ยสือในเวลานั้นยังอายุน้อย เป็นเพียงเจ้าพนักงานธุรการของกรมคลังผู้หนึ่งเท่านั้น ด้วยเชื่อมั่นในตัวเขา จึงเป็นคนรับประกันให้เขา
หากเกิดปัญหาขึ้นกับเบี้ยรายเดือนทหาร ตระกูลหวังต้องชดใช้เงินถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ด้วยเหตุนี้เซี่ยสืออาจสูญเสียตำแหน่งขุนนาง และตระกูลหวังจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากราชสำนักถือเป็นเรื่องใหญ่
ผู้ใหญ่ในบ้านรู้สึกว่าเขายังอายุน้อยเกินไป ไม่เคยทำการค้ามาก่อน อยากให้บิดาเขาเป็นคนทำแทน
บิดาของเขากลับตัดสินใจให้เขารับผิดชอบเองอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ยังกล่าวรับประกันกับผู้อาวุโสในบ้านด้วยว่า หากเกิดปัญหาขึ้นเขาจะรับผิดชอบเอง และกล่าวด้วยว่า เริ่มต้นด้วยการยืนให้สูง มองให้ไกล เมื่อพานพบปัญหาอีก ก็ไม่ตกใจกลัวแล้ว ที่กล่าวกันว่ามองจากยอดภูขุนเขาดูเล็กก็คือความหมายนี้!
และเพราะการค้าในครั้งนั้น เขากับเซี่ยสือจึงกลายเป็นสหายสนิทกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวังกับตระกูลเซี่ยนั้น กล่าวให้ชัดก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซี่ยสือนั่นเอง
เพื่อให้เขาเติบโตขึ้น บิดายอมแบกเขาไว้บนบ่า ให้โอกาสเขาสักครั้งหนึ่ง
เขาเองก็ควรจะทำเช่นเดียวกับบิดา เชื่อมั่นในตัวน้องสาวของเขา ให้โอกาสน้องสาวได้เติบโตสักครั้งหนึ่งหรือไม่?
ได้! หวังเฉินดื่มสุราที่เหลือทั้งหมดอย่างสำราญใจ กล่าวว่า ให้บุตรหลานตระกูลชั้นสูงของจิงเฉิงเหล่านั้นได้เห็น ถึงแม้น้องสาวของข้าจะเป็นหญิง ทว่ามีความสามารถมากกว่าบุรุษเสียอีก!
นางไม่เพียงชื่นชอบบุรุษหน้าตาดีได้เท่านั้น ยัง ‘ตบแต่ง’ บุรุษหน้าตาดีกลับบ้านอย่างที่ใจปรารถนาได้อีกด้วย
……………………………………………………………………
[1] ต้าน หนึ่งต้านเท่ากับหกสิบกิโลกรัมโดยประมาณ