เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 73 เชื้อเชิญ
แน่นอนว่าหวังซีเองก็ไม่มีเวลาว่างเช่นกัน
นางแบ่งผงธูปหอมที่ได้มาจากเฉินลั่วออกเป็นหลายส่วนส่งไปให้ท่านหมอเฝิง ขอให้ท่านหมอเฝิงช่วยหาคนมาช่วยดูให้ ไม่อาจเอาไข่ไก่ทั้งหมดไปเก็บไว้ในตะกร้าใบเดียวได้ หากเซียวเหยาจื่อเองก็แยกส่วนผสมของผงธูปหอมไม่ได้ นางก็จะยอมให้เป็นเช่นนี้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ท่านหมอเฝิงรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ ก็ใช้ความคิดกับเรื่องนี้ไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้ยังให้คนมารายงานว่าเขาทำอะไร ไปเยี่ยมเยียนท่านหมอมีชื่อคนไหน และได้พบผู้มีฝีมือผสมเครื่องหอมคนใดบ้างให้หวังซีทราบในทุกๆ สามถึงห้าวันอีกด้วย เพื่อให้นางได้รู้ความคืบหน้าว่าไปถึงไหนแล้ว
ตัวหวังซีเองก็ทำเตาขนาดเล็กตัวหนึ่งอยู่ในห้องหนังสือ วิเคราะห์สูตรผสมเครื่องหอมแต่ละชนิดกับไป๋ซู่ ระหว่างนี้ยังใช้ยางกำยานผสมเครื่องหอมคลายกังวลออกมาอีกหลายแบบ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วกลับยากจะขจัดกลิ่นจำเพาะของยางกำยานออกไปได้ คนที่คุ้นเคยกับวัตถุดิบให้ความหอม แค่ดมก็รู้แล้วว่าเครื่องหอมคลายกังวลหลายชนิดนี้มียางกำยานผสมอยู่ด้วย
วันเวลาที่มีเรื่องให้ต้องจัดการย่อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงกะพริบตาก็ถึงวันที่ต้องไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าหันแล้ว
ซือจูนั้นบอกว่าวันนั้นองค์หญิงฟู่หยางชวนนางไปเที่ยวเล่นในวัง นางจึงไม่มีเวลาว่าง แต่ที่น่าแปลกก็คือ ก่อนวันนั้นหนึ่งวันหวังซีกลับได้รับเทียบเชิญจากจวนเจียงชวนป๋อ บอกว่าเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าจัดงานเลี้ยง เชิญนางไปนั่งด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวปลาบปลื้มยินดี โยนเรื่องตระกูลหันทิ้งไปไว้ด้านหลัง มาจัดแจงเรื่องการแต่งกายของหวังซีด้วยตัวเอง ยังย้ำกำชับนางด้วยว่า “จวนเจียงชวนป๋อมีคนไม่มาก ในหนึ่งปีสี่ฤดูพวกเขาเชิญแขกเพียงสองครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จวนเจียงชวนป๋อส่งเทียบเชิญมาให้เจ้า ในสายตาของผู้อื่น เจ้ากับพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เจ้าต้องให้ความสำคัญกับโอกาสในครั้งนี้ ไปแล้วก็คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเรียบร้อย เล่นเป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่ของพวกเขาให้ดี พยายามอย่าเป็นจุดเด่น และอย่าทำอะไรผิดพลาดถึงจะใช้การได้”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่าเครื่องประดับที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลือกออกมาเหล่านั้นยังสู้ของที่ไป๋ซู่เลือกมาไม่ได้เลย รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหมุนกายจากไปแล้ว นางก็รีบเปลี่ยนไปจับคู่แบบที่ตัวเองชื่นชอบทันที
ฉังเคอกลับรู้สึกสลดหดหู่ใจเล็กน้อย
นางคิดว่าที่หวังซีไปร่วมงานเลี้ยงของจวนเจียงชวนป๋อได้ ย่อมเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับลู่หลิง
ลู่หลิงเชิญหวังซีกลับไม่เชิญนาง หากมิใช่เพราะรู้สึกว่าไม่ถูกชะตากับนาง ก็ต้องเป็นเพราะระมัดระวังชื่อเสียงของจวนหย่งเฉิงโหว
แน่นอน นางรู้สึกว่าอย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าเล็กน้อย
เริ่มแรกท่านปู่ของนางไม่ยอมรับมารดาของหวังซี ต่อมาบ้านเดิมของโหวฮูหยินตกต่ำ ก็คิดจะถอนหมั้น เหตุการณ์ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลพวกเขาตกต่ำ แต่ท่านปู่ของนางกลับไม่เศร้าสลดเลยสักนิด
พวกนางที่เป็นคนรุ่นหลังเหล่านี้ ล้วนต้องลำบากไปด้วย
โชคดีที่ฉังเคอเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ความอึดอัดใจเหล่านั้นหลังจากนางได้นอนหลับหนึ่งตื่นและกินผลไม้ที่หวังซีให้คนนำมาส่งให้เสร็จก็โยนมันทิ้งไว้ข้างๆ แล้ว
หวังซีที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนเจียงชวนป๋อคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับปั๋วหมิงเย่ว์ที่สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนเจียงชวนป๋อ
เขาสวมชุดเต้าเผาสีน้ำเงินเรียบๆ ขอบลายดอก ถือพัดพับขอบทองวาดลายลูกแมวเล่นกันที่ห้อยหยกมรกตเอาไว้ด้ามหนึ่ง ใช้พัดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ เมื่อเห็นนางก็ตะโกนเสียงหนึ่งว่า เจ้ามาแล้ว จากนั้นต้องการเชิญนางไปนั่งที่ศาลาข้างๆ
หวังซีมาถึงไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป แต่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายกับไม่มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับนาง ตอนที่ลู่หลิงพานางไปคารวะเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้นางอยู่พูดคุยด้วยครู่หนึ่งเป็นพิเศษ แม้คำถามจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างชอบกินอะไร อยู่บ้านยามว่างมีงานอดิเรกอะไรบ้างเทือกนั้น แต่กลับรั้งนางเอาไว้ค่อนข้างนาน ยังมองสำรวจนางขึ้นลงบ่อยๆ ด้วย ราวกับอยากจดจำเอาไว้ว่านางมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรือไม่ก็กำลังมองให้ชัดว่านางเป็นคนเช่นไรในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่ปาน
นี่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
กระทั่งรับมื้อเที่ยงเสร็จเตรียมจะกล่าวขอตัวลา กลับถูกลู่หลิงดึงเอาไว้อยากให้นางไปสวนดอกไม้ด้านหลังเป็นเพื่อนนาง ตอนนั้นจิตใจระแวดระวังภัยของนางเด่นชัดยิ่งขึ้น ไล่ให้ไป๋กั่วกับไป๋ซู่ที่ติดตามอยู่ข้างกายไปพักผ่อนที่ห้องพักของสาวใช้ พาเพียงหงโฉวกับชิงโฉวติดตามไปด้วยเท่านั้น
ได้เจอปั๋วหมิงเย่ว์ในเวลานี้ นางตกใจเป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่องไปนั่งที่ศาลานั้น นางปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย “ให้หรือรับของชายหญิงไม่สัมผัสกัน มีเรื่องอะไร คุณชายปั๋วกล่าวตรงนี้ดีแล้ว” กล่าวจบ นางยังถลึงตาใส่ลู่หลิงที่พานางมาที่นี่ครั้งหนึ่งด้วย
ลู่หลิงหันมาแลบลิ้นใส่นาง กล่าวอย่างขออภัยว่า “พี่สาวหวัง ข้ามิได้ตั้งใจ ปั๋วหมิงเย่ว์ขอร้องข้า ข้าถึงได้ตอบรับ ไม่เชื่อ เจ้าดูเขา”
ขณะที่กล่าว ก็ก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า ดึงพัดพับของปั๋วหมิงเย่ว์ออกในทันใด
“ลู่หลิง เจ้ายังเป็นน้องสาวของข้าอยู่หรือไม่” ปั๋วหมิงเย่ว์เดือดดาล คำรามเสียงดัง รีบใช้แขนเสื้อปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้
ต่อให้เป็นเช่นนั้น หวังซีก็สังเกตเห็นแล้ว
คางข้างหนึ่งของปั๋วหมิงเย่ว์บวมเป่งคล้ายหม่านโถวลูกหนึ่ง
แค่มองก็รู้แล้วว่าถูกคนต่อยมา
หวังซีตกตะลึง
ปั๋วหมิงเย่ว์เห็นว่านางมองเห็นแล้ว ฉับพลันนั้นเสมือนกับผักถูกน้ำร้อนลวก ปล่อยแขนเสื้อลงเงียบๆ กล่าวอย่างสลดหดหู่ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าปกปิดไปก็ไม่มีความหมาย เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าไล่จับเฉินลั่วมาอยู่ในมือได้แล้วใช่หรือไม่” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกาย สายตาที่มองหวังซีคล้ายกับของหวังเฉินยามเห็นสินค้าหายากที่ทำกำไรได้ก็ไม่ปาน
หวังซีตกใจจนกระเถิบถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว ถึงได้เอามือทาบอกกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ถ้อยคำนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ปั๋วหมิงเย่ว์กระโดดโหยงออกมาชี้คางบวมเป่งของตัวเองตะโกนไม่หยุดว่า “เจ้ายังกล้าพูดว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอีกหรือ เจ้าดู นี่คือฝีมือของเฉินลั่ว ข้าไปทำอะไรเจ้า ข้าก็แค่พูดประโยคเดียวว่าคนที่เจ้าถูกใจคือเขาไม่ใช่ข้าเท่านั้นมิใช่หรือ เขาไล่ต่อยข้าอยู่ในห้องถวายฎีกาไปหนึ่งคำรบ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เสด็จมา ข้าอย่าได้คิดจะมีใบหน้านี้อีกเลย…
…หากมิใช่เพราะเจ้ากับเขาร่วมมือกัน แล้วเขาจะออกหน้าแทนเจ้า จัดการข้าแทนเจ้าเพื่ออันใด…
…ไหนๆ ข้าก็โดนต่อยแล้ว คงไม่อาจถูกต่อยโดยเสียเปล่าหรอกกระมัง…
…หากเจ้าเล่าความจริงให้ข้าฟัง ก็จะถือเสียว่าข้าปากพล่อยพูดจาเหลวไหล ขออภัยพวกเจ้า และข้าก็จะยอมรับเรื่องนี้…
…แต่หากพวกเจ้ายังหลอกลวงข้า ข้าก็จะยอมสละแม้แต่ตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลยศขั้นสี่ เพื่อถกสูงต่ำกับเฉินลั่วให้ชัดเจนแล้วเหมือนกัน…
…ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองถูกต่อยเปล่าๆ เช่นนี้ได้!”
หวังซีตกใจจนงับปากลงไม่ได้ กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าถูกเฉินลั่วต่อย เจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าที่เขาต่อยเจ้าเป็นเพราะเจ้าข้า?”
คำพูดของนางทำให้ปั๋วหมิงเย่ว์กระโดดตัวโหยงขึ้นมาอีกครั้ง
เขากล่าวอย่างโมโหโทโสว่า “ข้าถูกต่อยแล้ว ข้าจะไม่รู้แม้แต่สาเหตุที่ถูกต่อยอย่างนั้นหรือ ต่อให้ข้าเป็นคนเจ้าสำราญเพียงใดก็ไม่มีทางเลอะเลือนถึงขั้นนั้น? นั่นมันโง่เขลา มิใช่เจ้าสำราญแล้วกระมัง”
หวังซีหัวเราะอย่างกระดากอาย ในใจกลับรู้สึกทั้งเปรี้ยวหวานขมเผ็ด พลันแยกไม่ออกว่าเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่
เรื่องที่สวนป่านั่นเดิมก็เป็นแผนการเฉพาะหน้า นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วกลับยังจำได้
ปั๋วหมิงเย่ว์ปากพล่อย นางใช้วิธีของนางทำให้ปั๋วหมิงเย่ว์ชดใช้หนี้ให้แล้ว เฉินลั่วรู้เรื่องแล้วกลับไม่ปล่อยไป…ในใจของนาง…ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดีแล้ว
ปั๋วหมิงเย่วซ์กลับขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หันมาเรียกนาง นี่ เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “คงมิใช่ว่าเจ้าเอาข้าไปฟ้องเฉินลั่วหรอกกระมัง”
หวังซีมองเขาแล้วแสยะยิ้มเย็น ด้วยท่าทางที่บอกว่า ‘สมองเจ้าก็คิดได้แค่นี้’
ปั๋วหมิงเย่ว์เดือดดาลด้วยโทสะ กล่าวว่า “ที่วัดต้าเจวี๋ยในวันนั้น ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ใครจะรู้ว่าเฉินลั่วก็ไปที่นั่นด้วย! พอเขากลับมาก็มาหาข้าเพื่อคิดบัญชี ไม่ให้ข้ามาถามเจ้าแล้วจะให้ไปถามผู้ใด อีกอย่าง จะประจวบเหมาะขนาดนั้นได้อย่างไร พวกเจ้าบังเอิญพบกันแบบไม่เร็วและไม่ช้าไปเลยแม้แต่วันเดียวเช่นนั้น พวกเจ้าคงมิได้นัดเวลาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ใช้ข้าเป็นแพะหรอกกระมัง”
ยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลไปเรื่อยๆ
หวังซีกล่าว “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าเองก็ต่อยเจ้าได้เช่นกัน!”
ปั๋วหมิงเย่ว์หดหัวไหล่ กล่าวว่า “สุภาพบุรุษไม่ชกต่อยกับสตรี!”
หวังซีถลึงดวงตากลมโต
ลู่หลิงกระโดดออกมาคั่นกลางระหว่างทั้งสองคน ยังเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยอยู่ตรงนั้นด้วย “พอแล้ว พอแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าพี่สาวหวังมิใช่คนเช่นนั้น ทุกคนอธิบายกันชัดเจนแล้วก็พอ แต่พี่ชายปั๋วก็ทำไม่ถูก ต่อให้ไม่ถูกใจพี่สาวหวัง ก็ไม่อาจกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นได้ ข่าวแพร่ออกไปแล้วไม่เป็นผลดีเลย! ก็ไม่แปลกที่พี่สาวหกลากเจ้ามากล่าวคำขอโทษ”
ขณะที่นางกล่าว ก็คล้องแขนของหวังซีเอาไว้ กล่าวอย่างขออภัยว่า “พี่สาวหวัง ข้าลากเจ้ามาที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ความจริงแล้วต้องบอกเจ้าก่อน ครั้งนี้ที่เชิญเจ้ามาที่บ้านของพวกข้า ก็เป็นความคิดของพี่สาวหกตระกูลปั๋ว นางรู้ว่าพี่ชายปั๋วถูกพี่ชายรองเฉินต่อย อยากใช้งานเลี้ยงของท่านย่าของข้า ให้พี่ชายปั๋วมากล่าวขอโทษท่านสักครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าข้ายังไม่ทันได้บอก พี่ชายปั๋วก็กระโดดออกมาก่อนแล้ว…
…เรื่องนี้ก็ต้องโทษข้าด้วย ที่ไม่บอกเจ้าให้ชัดเจนโดยเร็ว…
…เจ้าอย่าโมโหไปเลย!…
…ข้าขอโทษเจ้า!”
แน่นอนว่าหวังซีไม่อาจเคืองโกรธลู่หลิง นางเองก็เจตนาดี แต่นางคิดไม่ถึงว่าคุณหนูหกตระกูลปั๋วจะให้ปั๋วหมิงเย่ว์มากล่าวขอโทษนาง
นางนึกถึงเด็กสาวดวงตาเมล็ดซิ่งแก้มแดงอมชมพูของผลท้อที่พบในงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ผู้นั้นขึ้นมา
ตัวคนงดงาม กิริยามารยาทนั้น…ยังไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วย ตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าดีหรือร้าย
นางกล่าว “คุณหนูหกก็มาด้วยหรือ หากนางมาด้วย ข้าจะไปกล่าวขอบคุณนางสักครั้งหนึ่ง”
ลู่หลิงเห็นหวังซีไม่โกรธ รีบพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม กล่าวว่า “วันนี้ที่บ้านเชิญสตรีที่สนิทสนมด้วยเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น พี่สาวหกกำลังคุยกับพี่สาวรองอู๋อยู่ ข้าจะพาเจ้าไปก็แล้วกัน!”
หวังซีพยักหน้า เดินไปได้สองสามก้าว นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งอยากย้ำกำชับปั๋วหมิงเย่ว์สักหน่อย พอหมุนกายมากลับพบว่าปั๋วหมิงเย่ว์เดินตามอยู่ด้านหลังพวกนาง
เขาเห็นหวังซีหันกลับมา ตั้งลำคอขึ้นกล่าวว่า “ข้ายังอยากถามอีกสักหน่อย เจ้ากับเฉินลั่วเป็นอะไรกัน เหตุใดเขาต้องต่อยข้าเพื่อเจ้าด้วย”
หวังซีกลอกตาขาวไม่หยุด รู้สึกว่าปั๋วหมิงเย่ว์ส่งเสียงดังต่อไปเช่นนี้ นางกับเฉินลั่วจากที่ไม่มีอะไรก็อาจถูกพูดออกมาจนมีอะไรขึ้นมาได้
“ข้าคิดว่าเจ้าต้องโดนเฉินลั่วต่อยอีกสักครั้งถึงจะใช้ได้” นางกล่าวอย่างเย็นชา “เห็นความอยุติธรรมบนถนน ชักดาบออกมาช่วยเหลือ เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนควรพูดกันหรือ อย่างไรก็ตาม เห็นแก่ที่เจ้าช่วยเหลือข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง พวกเราก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ต่อไปข้าจะไม่ไปหาเจ้า เจ้าเองจะให้ดีที่สุดก็อย่าว่าข้าอีก”
ปั๋วหมิงเย่ว์ยิ้มเยาะ กล่าวว่า “เห็นความอยุติธรรมบนถนน ชักดาบออกมาช่วยเหลือ เจ้ากำลังพูดถึงเฉินลั่วอยู่หรือ เขามีนิสัยใจคอเช่นนั้นหรือ เจ้ากล่าวผิดคนแล้วหรือไม่”
“พี่เจ็ด!” มีเสียงกังวานใสของสตรีตัดฉับคำพูดของปั๋วหมิงเย่ว์ “เจ้าตามมาด้วยได้อย่างไร ที่นี่เป็นที่รวมตัวของบรรดาเด็กสาวอย่างพวกข้า! เจ้าช่วยยกผลไม้หรือของว่างให้พวกข้ายังพอได้ ทว่าจะอยู่นานไม่ได้!”
น้ำเสียงของนางมีเสน่ห์ แม้นเป็นถ้อยคำปฏิเสธ ทว่าไม่ทำให้คนรู้สึกต่อต้านเลย
หวังซีหันไปมองตามเสียง เห็นคุณหนูหกตระกูลปั๋วมาพร้อมกับคุณหนูรองอู๋ คุณหนูจากตระกูลชั้นสูงลำดับต้นๆ ที่ชื่นชอบอาภรณ์ของห้องเสื้อเมฆาคำนึงท่านนั้น
หวังซีลอบเลิกคิ้วขึ้น ก้าวออกไปทำความเคารพคุณหนูหกปั๋ว และกล่าวทักทายคุณหนูรองอู๋
คุณหนูหกปั๋วยิ้มตาหยีทำความเคารพกลับ แต่หวังซีกลับรู้สึกว่าสายตาของนางที่มองตนดูตั้งอกตั้งใจมากเกินไป คล้ายกับว่ามิใช่แค่เพื่อให้ปั๋วหมิงเย่ว์กล่าวขอโทษนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
…………………………………………………………………….