เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 87 ทะเลาะ
มือของหวังซีที่ขยับพู่อยู่สั่นไปหมด
เฉินลั่วผู้นี้ไร้มารยาทเกินไปแล้ว ยังแอบฟังที่นางพูดอีก นี่คิดจะบีบบังคับให้นางอภัยให้เขาหรืออย่างไร
หวังซีครวญเสียงเย็น ตะโกนผ่านบานประตูตอบกลับไปว่า ใต้เท้าเฉินกล่าวอะไร! เดิมทีก็เป็นข้าที่พูดมากเกินไป ใต้เท้าเฉินเตือนสติข้า ข้าซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ไหนเลยจะมีอะไรให้กล่าวโทษได้! นี่ท่านเกรงใจมากเกินไปแล้ว
ไม่เอ่ยถึงเรื่องจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยเลยแม้แต่น้อย
เฉินลั่วเองก็นับว่าเป็นคนที่เคยติดต่อกับหวังซีมาหลายครั้งแล้ว หากยังไม่รู้ว่าหวังซีกำลังกล่าวประชดประชันอยู่ เขาเองก็คงจะมิใช่ใต้เท้าผู้มีไหวพริบเจ้าแผนการผู้นั้นแล้ว
ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้ค่อนข้างไร้มารยาท เฉินลั่วยังคงกล่าวขอโทษหวังซีด้วยน้ำเสียงดีๆ ต่อไป เมื่อคืนข้าพูดเกินไป มิใช่เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะยังโกรธข้าอยู่หรอกหรือ ถึงได้มารอเจ้าอยู่ในลานบ้านอย่างไม่มีทางเลือกเช่นนี้ ขอคุณหนูหวังโปรดใจกว้าง อย่าคิดบัญชีกับข้าเหมือนปกติเลย
หากให้เขาพูดต่อไป ไม่แน่ว่านางอาจได้รับสมญาว่า ‘จิตใจคับแคบ’ มาด้วยอีกชื่อหนึ่ง
หวังซีหันไปยักคิ้วให้ไป๋จื่อ เป็นสัญญาณให้นางไปปล่อยตัวคนเข้ามา
ไป๋จื่อพยักหน้ายิ้มๆ เปิดประตูให้เฉินลั่ว
เฉินลั่วกลับวางท่าเจ้ายศของเขาลง โค้งคำนับหวังซีแล้วถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนในห้องโถง
หวังซีมองสภาพของเฉินลั่ว ดวงตาแดง คล้ายไม่ได้นอนมาทั้งคืน อดประหลาดใจไม่ได้
ต่อให้เขาทำให้นางขุ่นเคือง ก็ไม่ถึงกับทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืนหรอกกระมัง
นางรู้ตัวดี รู้สึกว่าตนไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อใจของเฉินลั่วขนาดนั้น
ส่วนเฉินลั่วกลับมองหวังซีที่มีสีหน้าเปล่งปลั่งสุขภาพดีท่ามกลางแสงแรกของรุ่งอรุณแล้ว รู้สึกประทับใจเล็กน้อย
เขาจะแยกย้ายกับหวังซีต่างคนต่างไปเช่นนี้จริงๆ ก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็บรรลุเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อวานหลังจากที่หวังซีจากไปแล้ว เขากลับคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
คิดถึงความฉลาดของหวังซี คิดถึงความมีไหวพริบของหวังซี คิดถึงความกล้าหาญของหวังซี กระทั่งคิดถึงความอิสรเสรีและความไม่เกรงกลัวสิ่งใดที่แผ่ออกมาจากไขกระดูกยามหวังซีพูดหรือกระทำสิ่งต่างๆ
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาคิดถึงความเจ็บปวดอันน้อยนิดในส่วนลึกของจิตใจที่ถูกหวังซีจี้ถูกจุดโดยไม่รู้ตัวนั่น
หวังซีเห็นใจสงสารเขาได้จริงๆ
นางเติบโตขึ้นมาจากรังแห่งความสุขความโชคดีมาตั้งแต่เด็ก มีผู้ใหญ่คุ้มครอง มีพี่ชายปกป้อง เขากลับไม่เหมือนกัน เขาเป็นลูกที่มารดาไม่รัก บิดาไม่โปรดปราน มีลุงที่มีเกียรติสูงสุดในใต้หล้าผู้หนึ่ง แต่อยู่ต่อหน้าลุงเขากลับเป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาก่อน แล้วค่อยเป็นหลานชายทีหลัง ที่เขามีวันนี้ได้ กึ่งหนึ่งอาศัยความเฉลียวฉลาดของตัวเอง อีกกึ่งหนึ่งกลับเป็นความโชคดี กล่าวคือ เสด็จลุงมีโอรสมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของโอรสแต่ละคนล้วนมีแผนการของตัวเอง เสด็จลุงรู้สึกว่าแทนที่จะรักและโปรดปรานพวกเขาและหล่อเลี้ยงความทะเยอทะยานและความอาจหาญของพระสนมเหล่านั้น มิสู้รักใคร่เขาดีกว่า
อย่างน้อยเขาไม่มีสิทธิ์ครองราชบัลลังก์ต่อ ยิ่งคุ้มครองประโยชน์ของจักรพรรดิได้มากขึ้น
เมื่อก่อนมิใช่ว่าเขาไม่รู้ เพียงแต่มิได้ตระหนักรู้อย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งเท่าวันนี้ก็เท่านั้น
แต่หวังซี อาศัยแค่ร่องรอยเพียงเล็กน้อยกลับคาดเดาเงื่อนไขและสถานการณ์ของเขาได้แล้ว เด็กสาวที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องมีผู้ช่วย
และหวังซีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ระหว่างอัตตากับชีวิตรอด เขาคิดกลับไปกลับมากว่าครึ่งค่อนคืน สุดท้ายยังคงเลือกการมีชีวิตรอด
นึกถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉินลั่วมีความขมขื่นสายหนึ่งวาบผ่านอย่างห้ามไม่อยู่
เป็นครั้งแรกที่เขาวางหวังซีไว้ในตำแหน่งเดียวกับตนเอง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า คุณหนูหวัง หากก่อนหน้านี้มีอะไรที่ข้าทำไม่ถูก ขอท่านอภัยให้ด้วย เรื่องก่อนหน้านี้ พวกเราก็ลบมันไปเสีย มาเริ่มต้นกันใหม่ เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร
หวังซีกลอกลูกตาไปมาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง ทว่าใบหน้ากลับสงบดูและสง่าผ่าเผย ไม่รู้ว่าอ่อนโยนและใจเย็นมากเพียงใด ขานตอบยิ้มๆ ว่า ขอบคุณใต้เท้าเฉินมาก! ใต้เท้าเฉินกล่าวถูกต้องแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ลบเรื่องก่อนหน้านี้ไปเสีย นับแต่นี้เป็นต้นไปหากพบหน้ากัน ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก
เฉินลั่วพยักหน้า ทว่าในใจกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติสายหนึ่ง
ตามหลัก คุณหนูใหญ่สกุลหวังมิใช่คนพูดน้อยเช่นนี้ แม้นนางจะพูดเจื้อยแจ้ว แต่เมื่อคนได้ยินแล้วกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ คล้ายสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งกำลังคุยเรื่องจิปาถะในบ้านกับเจ้า กระทั่งทำให้จิตใจของเขามีช่วงเวลาสงบสุข เป็นความรู้สึกงดงามอันไร้ขีดจำกัด
แต่หวังซีในเวลานี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถ้อยคำที่ตอบเขาก็เป็นคำพูดที่คัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน ไม่มีทางก่อให้เกิดความผิดพลาดเหล่านั้นทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเองก็ได้
ระยะเวลาอันสั้นนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้เขามองใครก็สงสัยไว้ก่อนสามส่วน ระแวดระวังไว้ก่อนสามส่วนทั้งสิ้น
น่าจะเป็นเขาที่กำลังคิดมากไปเอง
เฉินลั่วคิด เก็บความรู้สึกผิดปกติไว้ในใจได้แล้ว กล่าวว่า วันนี้คุณหนูมีแผนการเช่นไร จะกลับจวนหย่งเฉิงโหวหรือกลับร้านขายยาเพื่อมวลชน?
หวังซีกล่าวยิ้มๆ อย่างอบอุ่นอ่อนโยน ข้าออกมาหนึ่งคืน หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าต้องเป็นห่วงแย่แล้ว ข้าตั้งใจจะตรงกลับไปที่จวนหย่งเฉิงโหวเลย ใต้เท้าเฉินถามเช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า
เฉินลั่วได้ยินแล้วขมวดคิ้ว รู้สึกว่าความรู้สึกผิดปกติที่อยู่ในใจยิ่งเด่นชัดขึ้น
ทุกๆ คำในคำตอบของหวังซีล้วนทำให้คนหาข้อผิดพลาดอะไรไม่เจอ แต่ทุกๆ คำล้วนเผยความเหินห่างออกมา ผู้อื่นได้ยินแล้วไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเขายังคงไม่คิดอะไรมาก กล่าวว่า ข้าอยากไปพบท่านหมอเฝิงสักหน่อย มีบางเรื่องอยากขอคำแนะนำจากท่านหมอเฝิง
หวังซียิ้ม กล่าวว่า ปกติแล้วท่านหมอเฝิงไม่ได้ออกไปตรวจคนไข้ เขาน่าจะอยู่ที่ร้านขายยาเพื่อมวลชน หากใต้เท้าเฉินไปถึงแล้วไม่เจอตัวคน ก็สอบถามหลงจู๊ในร้านได้ เขาน่าจะทราบว่าท่านหมอเฝิงไปไหน
พูดจาสุภาพมาก เพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นไป นี่ก็เปรียบได้กับน้ำถ้วยหนึ่ง ใส่น้ำตาลเอาไว้จนเต็ม ทว่าไร้ซึ่งความร้อน ไม่ว่าจะหวานขนาดไหน ก็ขาดรสชาติไปเล็กน้อยอยู่ดี
คิ้วของเฉินลั่วขมวดแน่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อก่อนนางมิได้พูดกับเขาเช่นนี้
ก่อนหน้านี้ขอเพียงเขาโยนหัวข้อสนทนาออกมา นางก็พูดเจื้อยแจ้วได้อย่างเนิ่นนาน เล่าเรื่องที่เขาอยากฟังและอยากรู้ให้เขาฟังด้วยตัวเอง
นี่นางเป็นอะไรไป?
เฉินลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า ข้ารู้ว่าท่านหมอเฝิงไม่อยากเข้าวัง แต่อาการประชวรของฮ่องเต้นั้น น่าเป็นกังวลใจมากจริงๆ อยากขอให้ท่านหมอเฝิงช่วยแนะนำคนที่ยอมเข้าวังให้ข้าสักคนหนึ่ง แล้วก็เป็นหมอที่มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าท่านหมอเฝิงด้วย
เขากล่าวจบ จับจ้องมองหวังซีด้วยสีหน้าที่ถามว่าเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร
หวังซียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า ฝีมือด้านการแพทย์ของท่านหมอเฝิงสูงส่ง แต่เขาจะรู้จักหมอที่ใต้เท้าเฉินต้องการหรือไม่นั้น ข้าเองก็ไม่มั่นใจ คงต้องไปสอบถามเขาด้วยตัวเองแล้ว
เป็นคำตอบตามมาตรฐานของการเข้าสังคมอีกแล้ว
บทสนทนากล่าวถึงตรงนี้ เฉินลั่วยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาเองก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่สวมกวนผู้หนึ่ง และเป็นบุตรหลานของตระกูลทรงอำนาจที่ถูกทุกคนตามใจมาตั้งแต่เด็ก สีหน้าเขาเคร่งขรึม พุ่งตัวลุกขึ้นยืน สายตาที่มองหวังซีเต็มไปด้วยการเชือดเฉือนอันแหลมคม
คุณหนูหวังใจแคบเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! เขากล่าวอย่างเย็นชา ข้ากล่าวขอโทษเจ้าอย่างตั้งใจจริงไปแล้ว ต่อให้เป็นความผิดของข้า เหตุใดเจ้าต้องจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อยด้วย! เช่นนี้มีเหตุผลแล้วหรือ
หวังซีเองก็กลายเป็นศัตรูกับเขาในทันทีเช่นกัน ร้อง เฮอะ ใส่เขาเสียงหนึ่ง เหตุใดพอข้าไม่ยกโทษให้เจ้าก็หาว่าข้าเป็นคนจิตใจคับแคบ? เจ้ากล่าวคำขอโทษเสร็จ ผู้อื่นก็ต้องให้อภัยเจ้าแล้วกระนั้นหรือ ตามหลักการที่เจ้ากล่าวมา หากตอนนี้ข้าแทงเจ้าหนึ่งครั้ง ขอเพียงบีบน้ำตาอยู่ข้างๆ ไม่กี่หยด กล่าว ขอโทษ ไม่กี่ประโยค ก็ให้อภัยและลืมทุกอย่างได้แล้ว มิเท่ากับว่าข้าเห็นใครไม่เข้าตาก็เข้าไปแทงเขาได้แล้วหรอกหรือ
กล่าวจบ นางยังใช้สายตาดูถูกดูแคลนมองเขา ทำเสียง จึ๊จึ๊จึ๊ หลายครั้ง กล่าวว่า ข้าเห็นท่านจิตใจกว้างขวาง มีเรื่องอะไรเพียงกล่าวขอโทษครั้งหนึ่งก็ไม่ถือสาหาความกันแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าพูดจาไม่ดี กล่าวขอโทษท่านอย่างจริงใจอยู่ตรงนี้ ท่านผู้ยิ่งใหญ่จิตใจกว้างขวางดุจเรือ ก็ต้องอภัยให้ข้าที่พูดจาเลื่อนเปื้อนถึงจะถูก
ขณะที่กล่าว นางยังแสร้งทำท่าทางว่าเสียใจภายหลังออกมาด้วย ยอบกายทำความเคารพเฉินลั่วครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วโกรธจนมือไม้สั่น หมุนกายเดินออกไปข้างนอก
หวังซีร้องหึอย่างไม่พอใจเสียงหนึ่ง มองเงาหลังของเขาพึมพำกล่าวว่า นิสัยอะไรกัน ทำให้คนคุ้นชินกันไปหมดแล้ว ข้าพูดมากสองประโยค ก็หาว่าโอ้อวดฝีปาก ข้าพูดน้อยไปสองประโยค ก็หาว่าจิตใจคับแคบ เหตุผลใต้หล้าทั้งหมดไปอยู่ที่เจ้าหมดแล้วหรืออย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นหลักการที่ว่าตามใจข้าแล้วรุ่งเรือง ต่อต้านข้าแล้วย่อยยับมากกว่ากระมัง กล่าวได้ตรงใจเจ้า อะไรก็ดีไปหมด ไปแตะโดนจุดที่ขัดแย้งกับเจ้า ต่อให้ดีแค่ไหนก็กลายเป็นไม่ดีไปแล้ว! คนเช่นนี้ ต้องแตกหักก็ถือโอกาสแตกหักเสียแต่โดยเร็วดีกว่า!
แม้นจะเป็นเหตุผลนี้ แต่เมื่อมองเงาร่างแสนโดดเดี่ยวของเฉินลั่วที่เดินทะลุผ่านลานบ้านอันว่างเปล่านั่นไปแล้ว หวังซียังคงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ช่างน่าเสียดายใบหน้าอันแสนหล่อเหลานั่นจริงๆ
คนรูปงามล้วนเอาใจยาก คำกล่าวของผู้เฒ่าผู้แก่ล้วนมีเหตุผลอยู่บ้าง
หวังซีถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
***
เฉินลั่วเดินออกมาจากลานบ้านก็สงบสติอารมณ์ลงมาได้
เขามาที่นี่เพื่อคืนดีกับหวังซี เหตุใดคุยไปคุยไป นอกจากคืนดีไม่ได้แล้ว รอยแตกร้าวระหว่างทั้งสองคนกลับลึกยิ่งขึ้น
เช่นนั้นเขาต้องย้อนกลับไปหรือ
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา แม้แต่เฉินลั่วเองก็ยังตกใจ
เขาดื้อรั้นทว่าเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าก้มศีรษะยอมรับผิดสักครั้งก็ผ่านพ้นไปได้แล้ว กระทั่งอาจได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วย แต่เขากลับยอมชนตรงๆ ให้หัวร้างข้างแตก แล้วก็ไม่ยอมพูดจาดีๆ แม้แต่ครึ่งประโยค
ไม่มีหวังซีแล้ว อย่างมากเขาก็คิดวิธีหาหลี่ซีหรือเฉินซีออกมาสักคนก็ได้ เหตุใดต้องไปรองรับอารมณ์ของนางด้วย
ในฐานะสตรี นิสัยของหวังซีก็ออกจะร้ายเกินไปแล้ว
พูดไม่เข้าหูประโยคเดียวก็เป็นศัตรูกัน
มีเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน
แต่ในเวลาที่ดีๆ…เฉินลั่วนึกถึงเสียงกังวานใสดุจเสียงนกขมิ้นขับขานของนาง ยังมีน้ำเสียงที่ไม่ว่าเวลาไหนก็เผยความเบิกบานมีความสุขออกมาตลอดนั่นอีก…นั่นช่างดีจริงๆ!
เฉินลั่วหยุดฝีเท้าลง
ต้องตามหาเด็กสาวเช่นนี้ผู้หนึ่ง ก็คงไม่ง่ายดายนักกระมัง
เขาบอกตัวเองเช่นนี้!
***
ภายในห้องโถง เงียบเชียบไร้สรรพเสียง
ไป๋จื่อถามหวังซีด้วยท่าทางขลาดกลัว คุณหนู พวกเรา…พวกเรายังจะรับมื้อเช้าอยู่หรือไม่เจ้าคะ
แน่นอนว่าไม่! หวังซีกล่าวอย่างเดือดปุดปุด แค่ข้าวต้มหมานโถวไม่กี่อย่าง ที่ไหนไม่มีบ้าง เจ้าไปบอกหวังสี่ พวกเราจะ…
นางยังพูดไม่ทันจบ เฉินลั่วก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศอึมครึม
หวังซีมองเขาอย่างตกตะลึง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉินลั่วกลับทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สั่งการไป๋กั่วด้วยท่วงท่าของคนเป็นเจ้านายว่า ไปบอกให้ในครัวตั้งสำรับ! ข้ามีเรื่องจะคุยกับคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้า
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาไป๋กั่วและคนอื่นๆ ตะลึงงันไปเรียบร้อยแล้ว มองหวังซี แล้วก็มองเฉินลั่ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หวังซีเป็นคนที่ยอมรับการเกลี้ยกล่อมไม่ยอมรับการบีบบังคับ เฉินลั่วแข็งกระด้างแต่ก็ยอมมอบทางลงให้นางแล้ว นางเองก็ไม่อาจตบหน้าผู้อื่นครั้งหนึ่งแล้วยังจะตบอีกครั้งหนึ่งได้อีก คิดๆ แล้วตัวเองก็มิได้เสียเปรียบอะไร นางจึงส่งสายตาให้ไป๋กั่วครั้งหนึ่ง ให้นางฟังคำสั่งของเฉินลั่วไปบอกให้ในครัวตั้งสำรับ ส่วนตัวเองก็แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอกไป๋ซู่ไปชงชามาให้เฉินลั่วใหม่
…………………………………………………………..