เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 91 ต่อว่าต่อขาน
หวังซีไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนก่อน ขอให้ท่านหมอเฝิงช่วยแนะนำหมอที่เข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ได้ให้เฉินลั่ว
ระยะนี้เพื่อเรื่องผงธูปหอมแล้วท่านหมอเฝิงเองก็ติดต่อกับหมอจำนวนไม่น้อย แต่คนที่ถวายการรักษาฮ่องเต้ได้นั้น ไม่มีที่เหมาะสมเลยสักคน
เรื่องเช่นนี้ต้องดูโชคชะตาด้วยจริงๆ
หวังซีได้แต่ขอให้ท่านหมอเฝิงช่วยดูให้ จากนั้นไปพบหลงจู๊ใหญ่
เมื่อคืนหลงจู๊ใหญ่ค้างคืนที่วัดเจินอู่
หลังจากที่หวังซีกับเฉินลั่วออกไปแล้ว เขายังต้องสั่งสุราและอาหารมารับรองไต้ซือทั้งสองท่าน ทั้งต้องดื่มเป็นเพื่อนด้วยอีกสองสามจอก ไปๆ มาๆ ตัวคนเริ่มเมาเล็กน้อย จึงถือโอกาสพักที่วัด
แม้นจะใกล้เที่ยงแล้ว แต่ตอนเห็นหวังซี ตาทั้งสองข้างยังสะลึมสะลือหาวหวอดออกมา
หวังซีรีบกล่าว ลำบากหลงจู๊ใหญ่แล้ว เติมชาให้เขาด้วยตัวเองไปหลายถ้วย
หลงจู๊ใหญ่หัวเราะร่า เอ่ยถึงเรื่องหลังจากที่นางกับเฉินลั่วออกไปแล้วขึ้นมา …ก็ถือว่าได้รับพรจากเคราะห์ร้ายแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าวัดหนานหวานั่นจะมีความสัมพันธ์พิเศษกับตระกูลหวังที่ฝูเจี้ยน ไห่เทาผู้นั้นเห็นคุณหนูใหญ่ยินดีออกหน้าช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องเขาซื่อกู้ให้เขา จึงเสนอตัวเป็นคนกลางให้พวกเรา ช่วยแนะนำคุณชายใหญ่ให้รู้จักกับคุณชายหกหวังผู้ดูแลตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหวัง
นั่นก็ต้องเป็นตอนที่ได้รับโฉนดที่ดินเขาซื่อกู้เรียบร้อยแล้วกระมัง
หวังซีคิดอย่างไม่ยี่หระนัก แต่การที่ครอบครัวพวกนางผูกสัมพันธ์กับตระกูลหวังที่ฝูเจี้ยนได้ นางก็ดีใจมากจริงๆ
ตระกูลหวังทำกิจการขนส่งทางทะเล ตระกูลของพวกเขาเป็นพ่อค้าเครื่องเทศที่ใหญ่ที่สุดในรัชสมัยปัจจุบัน ความต้องการเครื่องเทศของภาคตะวันตกเฉียงเหนือกับภาคตะวันตกเฉียงใต้ไม่ต่างจากใบชา หากทั้งสองตระกูลร่วมมือกันได้ คาดว่าตระกูลหวังคงเปิดเส้นทางความมั่งคั่งใหม่ได้อีกหนึ่งสายแล้ว
หวังซียิ้มร่าพยักหน้า
หลงจู๊ใหญ่ยิ้มกล่าว คุณหนูใหญ่ของพวกเราเป็นตุ๊กตาทองคำจริงๆ!
หวังซีขัดเขิน กล่าวว่า ท่านไม่กล่าวโทษว่าข้าขโมยทรัพย์สินของท่านย่าออกไปก็ดีแล้ว
ทั้งสองคนผลัดกันเจ้าพูดมาข้าตอบกลับไปอยู่สองสามประโยค หลงจู๊ใหญ่เห็นนางไม่ได้มีความคิดจะรั้งอยู่รับประทานอาหารด้วย ทั้งยังไม่คิดจะไปด้วย จึงรีบเอ่ยถามว่า คุณหนูใหญ่มาที่นี่ ยังมีอะไรต้องการสั่งการอีกหรือไม่
สั่งการนั้นไม่กล้า! หวังซียิ้มเลือกหยิบสิ่งที่คุยกับเฉินลั่วสองสามประโยคมาเล่าให้หลงจู๊ใหญ่ฟัง ข้าคิดดูแล้วเฉินลั่วไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ท่านรู้จักคนมาก ท่านว่า พวกเราควรแนะนำผู้ช่วยอะไรทำนองนั้นให้ใต้เท้าเฉินสักคนหรือไม่
จะให้ดีที่สุดควรเป็นคนจิงเฉิง แอบเลี้ยงไว้ที่สะพานศิลาขาวหรือไม่ก็สถานที่อื่น เวลาพานพบกับปัญหา จะได้มีคนคอยจัดการให้สักคนหนึ่ง
หลงจู๊ใหญ่พบเห็นโลกกว้างมามาก แม้นหวังซีจะกล่าวเพียงไม่กี่ประโยค เขาก็พอจะอนุมานสถานการณ์ของเฉินลั่วออกมาได้
เขากับหวังซีคิดไม่เหมือนกัน
เขาคิดว่าหากสถานการณ์ของเฉินลั่วยากลำบากขนาดนี้จริงๆ เช่นนั้นเฉินลั่วก็อาจมิใช่พันธมิตรที่ดี ลงทุนมาก ความเสี่ยงก็มาก ผลเก็บเกี่ยวอาจมิได้อุดมสมบูรณ์เหมือนที่สนับสนุนเซี่ยสือในตอนนั้นก็เป็นได้
แต่จะให้เขาโน้มน้าวให้หวังซีวางมือ เขามองหวังซีที่ยิ้มร่า ใบหน้าดุจดอกท้อละลานตาของเดือนสาม สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยชีวิตชีวานั่นแล้ว เขาก็ไร้ทางเลือกเหมือนคนใบ้ที่กินหวงเหลียนขมปี๋เข้าไป จำต้องกลืนถ้อยคำที่เอ่อมาถึงปากแล้วลงไปอีกครั้ง
ภูเขาที่หนุนหลังตระกูลหวังล้วนเป็นบัณฑิตที่มีพื้นเพจากสู่จงเหล่านั้นมาโดยตลอด เสียเฉินลั่วไปสักคนหนึ่ง ก็ยังมีหวังลั่วหรือหลี่ลั่ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องแขวนคอตายอยู่บนต้นไม้ต้นเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่มิได้คิดเช่นนี้
นอกจากนางจะอยากช่วยเขาแล้ว ยังคิดมากอีกด้วย
เขาควรคัดค้านไปตามตรงหรือรอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีนะ?
คุณชายใหญ่มอบหมายเรื่องนี้ให้คุณหนูใหญ่แล้ว คุณหนูใหญ่ย่อมไม่อยากให้มีคนคอยกำกับอยู่ทุกเรื่องเป็นแน่
นอกจากนี้คุณชายใหญ่เองก็พูดแล้ว ให้คิดเสียว่ามอบเรื่องนี้ให้คุณหนูใหญ่ใช้ฝึกปรือฝีมือ ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงก็ดี แต่หากไม่สำเร็จก็ถือเป็นการใช้เงินซื้อบทเรียนสักครั้งหนึ่ง สุดท้ายแล้วไม่มีขาดทุน
เขาแจ้งคุณชายใหญ่ให้ทราบสักคำดีกว่า
หลงจู๊ใหญ่ตัดสินใจ ได้ยินว่าหวังซีต้องเร่งกลับจวน จึงไม่รั้งไว้อีก ไปส่งหวังซีขึ้นรถม้าด้วยตัวเองเสร็จแล้ว ก็เขียนจดหมายให้หวังเฉินฉบับหนึ่ง
***
ด้านเฉินลั่วกลับถึงบ้านแล้ว ไปเรือนหลักของจ่างกงจู่เป็นอันดับแรก
จ่างกงจู่เพิ่งกลับมาจากในวัง กำลังสนทนาอยู่กับชิงกูข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในที่รับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก พอได้ยินว่าเฉินลั่วมาหา ทั้งสองคนพากันเงียบ ต่างมองหน้ากันครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ถูกเฉินอวี๋อบรมไปครั้งหนึ่งเหตุเพราะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเฉินเจวี๋ยในปีที่เฉินลั่วอายุสิบสอง เฉินลั่วรู้สึกว่าจ่างกงจู่ไม่ออกหน้าเพื่อเขา นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับนางอีก
จ่างกงจู่นั้นอยากแก้ไขความเข้าใจผิดกับบุตรชาย แต่เฉินลั่วกลับเป็นคนอารมณ์ร้อน นอกจากไม่ยอมสนิทสนมกับนางแล้ว สามปีก่อนยังซื้อบ้านข้างนอกหลังหนึ่งและย้ายออกไปอีกด้วย
นางโกรธมาก ตำหนิเฉินอวี๋ว่าไร้หัวใจของความเป็นพ่อมากเกินไปแล้ว ขอเพียงบุตรชายตนเจอเฉินเจวี๋ยก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ไม่ถูกตำหนิ เฉินลั่วจะดื้อรั้นอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อที่เกิดออกมาจากท้องของนาง นางไม่อยากให้บุตรชายมีชีวิตน่าหดหู่เช่นนี้ นอกจากไม่ฟังที่เฉินอวี๋บอกให้เรียกเฉินลั่วกลับมาแล้ว ยังอุดหนุนเงินให้เฉินลั่วอีกห้าพันตำลึง ให้เขาไปซื้อบ่าวรับใช้แล้วอาศัยอยู่ข้างนอก จะเรียกกลับมากินข้าวด้วยกันสักมื้อหรือดื่มด้วยกันสักคืนเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญและตอนกราบไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น
ปีนี้ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นมา ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เฉินลั่วก็รั้งอยู่ที่ศาลากวางร้องเป็นเวลานานขึ้น ไม่เพียงกลับมาทุกๆ สามถึงห้าวันเท่านั้น เทศกาลอย่างเทศกาลขับร้องลำนำในวันที่สามเดือนสาม และวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าในวันที่แปดเดือนสี่ก็กลับมาเช่นกัน โดนเฉินอวี๋ตำหนิ เขาก็ไม่เหมือนกับตอนเป็นเด็กที่พูดอะไรไม่เข้าหูก็ตอบโต้ในทันทีเช่นนั้นอีก ประหนึ่งโตขึ้นและรู้ความขึ้นในหนึ่งค่ำคืน
จ่างกงจู่ย่อมพึงพอใจ
บนโลกนี้ มีกำปั้นแข็งแกร่งย่อมเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากเผชิญหน้ากับเรื่องอะไรก็รู้จักแต่ใช้กำปั้น อยู่ในตลาดยังใช้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับสถานที่ที่จิตใจคนซับซ้อนยากหยั่งถึงอย่างราชสำนัก
นางดีใจ ไปพูดกับฮ่องเต้เป็นการเฉพาะครั้งหนึ่ง อยากหาบัณฑิตทรงความรู้ในบรรดาขุนนางใหญ่มาเป็นอาจารย์ให้เฉินลั่ว ให้เขาติดตามเรียนหนังสือด้วยสักสองปี มีกลยุทธ์สักหน่อย และรู้เรื่องการปกครองบ้าง แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลับเกิดเรื่องจินซงชิงขึ้น
คิดถึงตรงนี้ จ่างกงจู่อดถอนใจครั้งหนึ่งไม่ได้
นับตั้งแต่เรื่องที่สวนป่าครั้งนั้นเป็นต้นมา ผ่านมาครึ่งฤดูร้อนแล้ว ทั้งสองคนกลับไม่เคยพบหน้ากันอีกเลย ไม่รู้ว่าเฉินลั่วมาหามีเรื่องอะไร
ถ้าหากเขาถามเรื่องนางกับจินซงชิง นางควรตอบอย่างไรดี
จ่างกงจู่ดูหดหู่เล็กน้อย แต่ยังคงเก็บความร้อนรนไว้ในใจให้ชิงกูไปเชิญเฉินลั่วเข้ามา
เฉินลั่วคารวะมารดา รอพวกสาวใช้เด็กตั้งน้ำชาของว่างเสร็จแล้ว ก็ไล่ข้ารับใช้ในห้องให้ถอยออกไป
ชิงกูมองจ่างกงจู่อย่างไม่สบายใจ
จ่างกงจู่ยิ้มขื่น พยักหน้า
ชิงกูเดินนำคนถอยออกไป
จ่างกงจู่ประวิงเวลามาครู่หนึ่งแล้ว จึงเอ่ยเรื่องที่เขาช่วยหวังซีหาปิ่นดอกไม้ขึ้นมา ได้ยินว่าต่อมาเจ้าให้ชิงกูส่งไปให้ที่จวนหย่งเฉิงโหว? คนที่บ้านพวกเขาไม่ได้ว่าอะไรกระมัง เด็กสาวผู้นั้นหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว ที่บ้านทำการค้าใช่หรือไม่ ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของคุณหนูรองที่หายสาบสูญไปของจวนหย่งเฉิงโหวผู้นั้น ตอนนี้นางอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวเป็นอย่างไรบ้าง นายหญิงผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหวนั้นข้าจำได้ เลอะเลือนยิ่งนัก กระทำสิ่งใดก็ไร้กฎเกณฑ์ เกรงว่าอาศัยอยู่ที่นั่นก็คงไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก
ท่านแม่ เฉินลั่วตัดบทคำพูดของจ่างกงจู่ กล่าวว่า ข้ามาหาท่านวันนี้เพราะมีธุระเรื่องอื่น
อ้อ! จ่างกงจู่รับคำ เสียงสลดลงหลายส่วน
เฉินลั่วมองมารดาของเขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า ท่านแม่ ข้าอยากให้ท่านไปถามเสด็จลุงว่าเขามีแผนการอย่างไรกับเรื่องบรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกง หากเป็นเรื่องลำบากใจ ข้าเองก็จะได้วางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าจะได้ไม่ต้องถูกกักขังอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้ ถูกเฉินเจวี๋ยมองเป็นหนามในดวงตา ที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกระคายเคืองตา ไม่ได้หาเรื่องสักครั้งก็ไม่หยุด
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า บรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกงมิใช่ของดีเลิศเลออะไร เจ้าจะคิดถึงมันไปทำไม วันนี้ข้าเข้าวังไปคุยกับฮองเฮาเหนียงเหนียงมาครึ่งค่อนวัน จากความหมายของฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว ตอนนี้ที่หมิ่นหนานกำลังสู้รบกันอยู่ การรบกันครั้งนี้มิใช่จะเสร็จสิ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น รอหม่าซานกลับจากไปสร้างขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหารแล้ว ข้าจะสอบถามเขาว่าสถานการณ์ของทางด้านนั้นเป็นอย่างไร รอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจ้าตามเหยียนเจิ้งของกรมกลาโหมไปด้วย เสด็จลุงของเจ้าย่อมมีแผนการให้เจ้า
เฉินลั่วได้ยินแล้วครวญเสียงเย็น
เขารู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว บิดาของเขาดูถูกมารดาของเขา มารดาของเขาก็ยิ่งดูแคลนบิดาของเขา
บิดาของเขามักจะพูดอยู่เสมอว่าเขามีลุงเป็นฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง หากบิดาของเขาไม่วางแผนเผื่อเฉินอิง ชีวิตของเฉินอิงคงไร้ซึ่งทางเดิน ให้เขาเข้าใจและเห็นอกเห็นใจให้มาก
แต่ตอนนี้ เขาได้พบกับหวังซี
คำพูดประโยคเดียวของนางปลุกให้คนตื่นจากความฝัน
สิ่งของของเขา เหตุใดเขาต้องไม่อยากได้ด้วย
และถ้าเขาบอกว่าไม่อยากได้ ผู้อื่นก็เชื่อว่าเขาไม่อยากได้จริงๆ กระนั้นหรือ
เขามองมารดาของเขาอย่างเย็นชา กล่าวว่า หากข้าอยากเป็นเจิ้นกั๋วกงเล่า?
หัวคิ้วของจ่างกงจู่ขมวดเป็นปมแน่นยิ่งขึ้น กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า ผู้ใดมาพูดอะไรต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว?
เฉินลั่วมองท่าทางนั่นของนาง เรื่องในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดฉายสะท้อนอยู่ในหัวของเขา ความเศร้าเสียใจที่ผ่านไปแล้วเหล่านั้นต่างหลั่งไหลผ่านก้นบึ้งของหัวใจ
เขาทะยานตัวลุกขึ้นยืน กล่าวว่า ข้าไม่รู้ว่าท่านแม่คิดอย่างไร แต่ข้าเป็นคนใจแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ เหตุใดเฉินเจวี๋ยถึงไปจับผิดเรื่องชู้สาวที่สวนป่า ท่านพ่อเป็นคนตายไปแล้วหรือ แล้วเหตุใดเฉินเจวี๋ยถึงมาหาเรื่องที่บ้านอีก เฉินอิงทำอะไรอยู่ พวกเขาทำให้ข้าไม่สงบสุข ก็อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเขาได้สงบสุข…
…บัดนี้ข้าขอถามท่านหนึ่งประโยค ท่านจะช่วยข้าหรือไม่ช่วย
จ่างกงจู่หน้าเขียวครึ้ม กล่าวว่า เจ้าคงมิได้คิดจริงๆ ว่าข้ากับจินซงชิง…
เฉินลั่วเดือดดาลด้วยความโกรธไปเรียบร้อยแล้ว ตัดบทคำพูดของนางอีกครั้ง กล่าวว่า ท่านกับเขาจะมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือท่านพ่อทำให้คนคิดว่าท่านมีความสัมพันธ์กับเขามิใช่หรือ ข้าไม่รู้ว่าท่านกลายเป็นรูปปั้นดินเผาพระโพธิสัตว์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อใด เป็นเพราะถูกท่านพ่อควบคุมจุดอ่อนเอาไว้อย่างนั้นหรือ…
…ท่านแม่เป็นเช่นนี้เสมอ…
…ท่านไม่เพียงช่วยเหลือข้าไม่ได้ ยังเป็นตัวถ่วงข้าทุกครั้งด้วย ท่านว่า มีมารดาบ้านไหนเหมือนท่านบ้าง ท่านช่วยยืนอยู่ข้างเดียวกับข้าสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ
จ่างกงจู่พลันหน้าซีดเผือด ทว่าก้มหน้าลง ไม่เปล่งเสียงใดกว่าครู่ใหญ่
จู่ๆ เฉินลั่วก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า ท่านคงมิได้ถูกเขาควบคุมจุดอ่อนเอาไว้แล้วจริงๆ หรอกกระมัง
ขณะที่เขากล่าว ก็เริ่มเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องเหมือนสัตว์ร้ายอิดโรย เดินไปด้วยกล่าวไปด้วยว่า จะจับโจรก็ต้องจับราชาของโจรก่อน ตกลงท่านมีจุดอ่อนอะไรให้เขาควบคุมไว้ในมือกันแน่ พวกเราแก้ปัญหาเรื่องนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นหากรอจนเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ข้าบอกว่าข้าไม่อยากเป็นเจิ้นกั๋วกง เกรงว่าผู้อื่นก็คงยังไม่วางใจ ข้าเองก็ไม่รู้ว่านิสัยท่านเหมือนใคร เสด็จลุงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ข้าเองก็มิใช่คนโง่ ท่านถูกผู้อื่นควบคุมจุดอ่อนได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ!
จ่างกงจู่ฟังแล้ว กระบอกตาแดงก่ำ กล่าวเสียงต่ำว่า ในใจของเจ้า ข้า…ข้าเป็นมารดาเช่นนั้นหรือ
ท่านเป็นมารดาเช่นไรแล้วสำคัญอย่างไร เฉินลั่วพึมพำกล่าว นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนตรงข้ามกับจ่างกงจู่ สุดท้ายแล้วท่านก็ยังคงเป็นมารดาของข้าอยู่ดี ข้าจะทำอะไรได้ ความจริงท่านไม่ไปช่วยพูดให้ข้าก็ไม่เป็นไร ข้าย่อมหาวิธีไปสอบถามเสด็จลุงได้ ข้าเพียงอยากรู้ว่า ท่านจะช่วยข้าสักครั้งได้หรือไม่ มิใช่เอาแต่ยืนดูอยู่ข้างๆ ทุกครั้ง!
…………………………………………………………….