เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 94 ยืมน้ำแข็ง
ฉังเคอเองเติบโตขึ้นมาอย่างว่าง่ายและเชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก จึงพอมีสายตาในการมองสำรวจสีหน้าคนอยู่บ้าง แน่นอนว่านางย่อมปฏิเสธอ้อมๆ ไปอย่างสุภาพ หลังจากที่ซือหมัวมัวจากไปแล้วยังแอบกระซิบบอกหวังซีด้วยว่า “เพื่อให้ซือจูได้จัดงานรับรององค์หญิงฟู่หยางอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในบ้านท่านย่าล้วนยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง วันนี้ที่เรียกเจ้าไปกินข้าวด้วย ไม่น่าจะเป็นเรื่องดีอะไร เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้”
หวังซีหันไปพยักหน้าให้นางอย่างขอบคุณ เมื่อหารือกับฉังเคอจนได้ใบรายชื่อที่เกือบครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็ส่งมอบให้ไป๋กั่ว เริ่มต้นเขียนเทียบเชิญ
นางตั้งใจจะไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าสักประโยคเช่นกัน ดูว่าพรุ่งนี้ไม่ไปสวนหิมะงามได้หรือไม่
การสังสรรค์กับคนที่ไม่รู้จักเลยแม้แต่นิดเดียว หรือการที่ทำได้แค่ประจบประแจงคนที่ไม่อาจสร้างความขุ่นเคืองให้ได้นั้น ทุกข์ทนเกินไปแล้ว
หวังซีรู้สึกว่าการที่นางคิดเช่นนี้เป็นการเอาความโกรธไปลงที่องค์หญิงฟู่หยางเพราะซือจูเป็นเหตุอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ผู้ใดให้นางกับซือจูมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันเล่า
นางเปลี่ยนอาภรณ์แล้วไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มตั้งโต๊ะอาหารแล้ว ไม่เห็นซือจู แต่ฉังเหยียนกับนายหญิงรองกลับอยู่ด้วย
“ไอโหยว คุณหนูต่างสกุลมาแล้ว” นายหญิงรองที่ปกติทักทายหวังซีด้วยการพยักหน้าเพียงเท่านั้นเวลานี้กลับกล่าวทักทายนางอย่างกระตือรือร้น มิใช่แค่นั้นยังให้สาวใช้คนสนิทของตัวเองไปคอยรับส่งชาและของว่างให้หวังซีอีกด้วย
สถานการณ์นี้ดูไม่ถูกต้องนัก!
หวังซีขบคิดอยู่ในใจ
หรือที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางมาจะมิใช่เรื่องของซือจูแต่เป็นเพราะนายหญิงรองมีเรื่องอะไรต้องการให้นางช่วย
นางไม่แสดงออกทางสีหน้า นั่งลงอย่างยิ้มแย้ม กล่าวขอบคุณนายหญิงรองเรียบร้อยแล้วยังชวนฉังเหยียนคุยเรื่องจิปาถะก่อนอีกด้วย “ข้าไม่ได้เจอพี่สาวสามมาระยะหนึ่งแล้ว ชุดที่พี่สาวสามสวมในวันนี้งดงามจริงๆ ดูลวดลายนี้ ในกรอบสี่เหลี่ยมปักกุมภ์เอาไว้ สีเขียวเข้มประสมกับสีเหลืองห่าน น่าจะเป็นลายออกใหม่ประจำปีนี้ของทางหังโจวกระมัง”
ฉังเหยียนยิ้มร่าแลกเปลี่ยนบทสนทนากับนาง “น้องสาวสกุลหวังสายตาแหลมคมยิ่ง คราก่อนข้าสั่งปิ่นดอกไม้ลายผีเสื้อดอมดมบุปผาชิ้นใหม่มาจากร้านเครื่องประดับ ผู้อื่นไม่มีใครมองออก มีเพียงน้องสาวสกุลหวังเท่านั้นที่มองออกว่าเป็นปิ่นแบบใหม่ ข้าว่าในเมืองหลวงนี้นอกจากคุณหนูหกตระกูลปั๋วแล้ว ก็นับว่าน้องสาวสกุลหวังมีสายตาเป็นเลิศแล้ว”
หวังซีหัวเราะร่า พูดคุยกับฉังเหยียนสองแม่ลูกอย่างอ้อมค้อมไปมา โอบกอดหลักการที่ว่า ‘เจ้าไม่เริ่มข้าก็ไม่เริ่ม’ ดื่มชาไปสองจอก และกินขนมหวานไปอีกหนึ่งชิ้น จนกระทั่งซือหมัวมัวคอยกำกับข้ารับใช้ตั้งโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่มีใครเอ่ยสาเหตุที่ให้นางมารับมื้อเย็นด้วย
นางเองก็ได้แต่ทำไม่รู้เรื่อง เลือกกินแต่ของที่ตัวเองโปรดปรานจนกินข้าวเสร็จไปหนึ่งมื้อ ทุกคนย้ายไปนั่งดื่มชาที่ห้องทางทิศตะวันตก
กระทั่งทุกคนนั่งเรียบร้อย นายหญิงรองแสดงความเห็นต่ออาหารของวันนี้ไปหนึ่งคำรบ ในที่สุดก็หันมาเอ่ยกับหวังซีว่า “ปีนี้ฮ่องเต้ไม่เสด็จไปหลบร้อนยังนอกเมือง เป็นเหตุให้น้ำแข็งที่เดิมทีจะพระราชทานให้ตระกูลพวกเราถูกงดเว้นไปด้วย เห็นว่านับวันอากาศยิ่งร้อนขึ้น ยิ่งอยู่ชีวิตก็ยิ่งยากลำบากขึ้น นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลหันจึงลำบากนัก…
…คุณหนูหันลดเกียรติมาแต่งด้วย ข้าที่เป็นแม่สามีผู้นี้จึงจำเป็นต้องเอาใจสักหน่อย…
…หลายวันก่อนข้าจึงขอน้ำแข็งจากฮูหยินผู้เฒ่าส่งไปให้ตระกูลหันเล็กน้อย…
…ตระกูลหันเองก็มิใช่คนไร้มารยาท ไม่เพียงให้คนส่งผลไม้ประจำฤดูกาลมาให้เท่านั้น ยังให้คนส่งโสมคนสองต้น รากเทียนหมากับรากเหอโส่วอูสองสามห่อ และผ้าไหมหูโจวบรรณาการมาให้หลายพับอีกด้วย ข้าให้ส่งไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด…
…เพียงแต่ว่ามีเรื่องหนึ่ง คนตระกูลหันสอบถามมาว่าช่วยหาน้ำแข็งให้นายหญิงผู้เฒ่าของพวกเขาอีกสักหน่อยได้หรือไม่ ดีร้ายให้ผ่านพ้นฤดูร้อนนี้ไปได้…
…ข้าเองก็ไร้หนทาง…
…น้ำแข็งนั่นเอามาจากส่วนของฮูหยินผู้เฒ่า คงไม่อาจเบียดเบียนฮูหยินผู้เฒ่าอีกแล้วกระมัง…
…โชคดีที่ข้าได้ยินอาเคอบอกว่า ตระกูลพวกเจ้าส่งน้ำแข็งมาให้เล็กน้อย เจ้าว่า เจ้าพอจะแบ่งให้พวกข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่ ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าของป้าสะใภ้รองอย่างข้าผู้นี้สักครั้ง”
หวังซีคิดที่มารดาส่งนางมาที่จวนหย่งเฉิงโหว ก็เพราะอยากให้นางทำความรู้จักญาติหย่งเฉิงโหวนี้ไว้
นายหญิงรองเป็นป้าสะใภ้รองของนาง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขอร้องนางมาก่อน ย่อมต้องให้หน้านางสักครั้ง
กลัวก็แต่ว่า น้ำแข็งนี้จะมิใช่มอบให้นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลหัน แต่ให้ซือจูใช้รับรององค์หญิงฟู่หยางมากกว่า
แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นในเรือนฮูหยินผู้เฒ่า และพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเห็นด้วยกับวิธีการนี้
มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร นางไม่ถึงกับหยิบยื่นให้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซือจู ในใจนางรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย
หัวสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นปัญหาอะไรกัน ถึงกับต้องให้นายหญิงรองมาพูดกับข้าด้วยตัวเอง ท่านให้พี่สาวสามมาบอกข้าสักคำก็พอแล้ว”
นายหญิงรองและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างยินดีกันทั้งหมด
เพียงแต่ว่าความยินดีนี้เพิ่งจะประดับอยู่บนใบหน้า ยังไม่ทันได้ไหลรินไปถึงหัวใจ ก็ได้ยินหวังซีกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เพียงแต่ว่า” หลังจากนั้นกล่าวต่อว่า “ท่านเองก็ทราบ น้ำแข็งที่บ้านข้าส่งมาให้ที่จวนนี้เป็นน้ำแข็งที่ซื้อมาจากค่ายเทียนจิน อีกอย่างเพราะก่อนหน้านี้บ้านข้าไม่ได้รับข่าวว่าน้ำแข็งที่จวนไม่พอใช้ ถึงได้ต้องรีบร้อนไปสืบข่าวทั่วทุกที่…”
นายหญิงรองคิดว่าหวังซีมาจากตระกูลพ่อค้า คนค้าขายนี้ย่อมพูดจากมุมของพ่อค้า หวังซีประเดี๋ยวก็พูดว่าน้ำแข็งนี้หามาจากค่ายที่เทียนจิน ประเดี๋ยวก็พูดว่าหาทั่วทุกที่ยังซื้อน้ำแข็งไม่ได้ กล่าวไปกล่าวมา ก็เพราะอยากบอกนางว่าน้ำแข็งนี้ได้มาอย่างยากเย็น ล้ำค่าเกินกว่าจะทำเป็นสินน้ำใจมิใช่หรือ
ต่อให้จวนหย่งเฉิงโหวตกต่ำเพียงใด ก็ไม่ขาดเงินเพียงเล็กน้อยนี้
นางจึงกล่าวยิ้มๆ ตัดบทสนทนาของหวังซีว่า “ข้ารู้ๆ ถือเสียว่าเรื่องนี้ป้าสะใภ้ขอร้องเจ้า เจ้าไปสอบถามพ่อบ้านของพวกเจ้าสักหน่อย ดูว่าราคาเท่าไรถึงเหมาะสม ประเดี๋ยวข้าจะไปหยิบเงินมาให้เจ้าสองร้อยตำลึงก่อน รอหลงจู๊ใหญ่ของพวกเจ้าตอบกลับมาแล้วข้าค่อยเพิ่มที่เหลือให้เจ้า”
ในใจของหวังซีเหน็บหนาวเล็กน้อย
จวนหย่งเฉิงโหวนั้นดูแล้วปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดีก็จริง แต่ลึกๆ ในใจยังคงดูแคลนนางที่นางมาจากตระกูลพ่อค้าอยู่ดี
นางมองคนอื่นๆ ในห้องครั้งหนึ่ง
ทุกคนต่างมีท่าทีประมาณว่า ‘นายหญิงรองจัดการเรื่องนี้ได้อย่างมีแบบแผนยิ่ง’
ฉับพลันนั้นหัวใจที่เหน็บหนาวเล็กน้อยของหวังซีกลับมาอยู่ในอุณหภูมิปกติอีกครั้ง
หากมิใช่เพราะมารดาของนางยังมีเยื่อใยอยู่ ความจริงแล้วคนในห้องนี้ล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางเลย
ในเมื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จะพูดเรื่องจริงใจหรือจิตใจอบอุ่นอ่อนโยนได้อย่างไร
หวังซียิ้มน้อยๆ แต่เดิมก็ระแวดระวังเรื่องซือจูไม่คิดจะให้น้ำแข็งแก่นายหญิงรองมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่มีทางแสดงน้ำใจครั้งนี้อย่างแน่นอน นางกล่าว “นายหญิงรองกล่าวผิดไปแล้ว จิงเฉิงในตอนนี้ต่อให้มีเงินซื้อก็ไม่มีน้ำแข็งขาย มิใช่เรื่องของเงินทองเลย นอกจากนี้ท่านกับข้าเป็นญาติกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างญาติพี่น้อง ไหนเลยจะมีเรื่องค้าขายกันได้ ข้ากลัวว่านายหญิงรองจะเข้าใจผิด ถึงได้เอ่ยถึงแหล่งที่มาของน้ำแข็งนี้กับท่าน…
…ที่ข้าอยากบอกนายหญิงรองก็คือ ที่บ้านข้าก็มิได้ส่งน้ำแข็งมาให้ข้ามากมายอะไร มิใช่เพราะเกี่ยงงอนเรื่องเงินมากเงินน้อย แต่เพราะหาซื้อไม่ได้จริงๆ จึงส่งมาให้ไม่ถึงหนึ่งคันรถเท่านั้น คิดว่าคงต้องรอสักระยะหนึ่งก่อน ดูว่าจะหาน้ำแข็งจากเมืองเป่าติ้งหรือไม่ก็ค่ายเยียนซานมาได้หรือไม่…
…แต่ได้ยินนายหญิงรองกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาน้ำแข็งที่ค่ายเยียนซานแล้ว คงได้แต่ต้องดูว่าที่เมืองเป่าติ้งจะหามิตรสหายที่ยอมสละน้ำแข็งให้สักหน่อยหรือไม่ หาไม่แล้วเมื่อถึงช่วงที่ร้อนที่สุด ข้าอยากกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าก็คงทำไม่ได้แล้ว!”
นายหญิงรองกับฉังเหยียนผิวหน้าแดงก่ำ
ยังไม่พูดถึงเรื่องที่พวกนางเข้าใจผิดคิดว่าการที่หวังซีเอ่ยถึงแหล่งที่มาของน้ำแข็งเป็นเพราะเรื่องเงิน แค่เรื่องที่หวังซีเอ่ยถึงค่ายเยียนซาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พ่อภรรยาของคุณชายฉังสามรับราชการอยู่ ก็ทำให้พวกนางก็รู้สึกละอายใจแล้ว
เรื่องประจบประแจงตระกูลหันเป็นเรื่องจริง เรื่องส่งน้ำแข็งไปให้ตระกูลหันก็เป็นเรื่องจริง ตระกูลหันส่งของขวัญล้ำค่ามาตอบแทนก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตระกูลหันไม่ขาดแคลนน้ำแข็ง แล้วก็มิได้ให้พวกเขาส่งน้ำแข็งไปให้เพิ่มด้วย แต่ถามนายหญิงรองว่าตอนที่องค์หญิงฟู่หยางมาเป็นแขกที่บ้านนั้น เชิญคุณหนูตระกูลหันมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยได้หรือไม่ต่างหาก
นายหญิงรองเองก็อยากให้ตระกูลหันได้ดองกับตระกูลทรงอิทธิพลสักตระกูลหนึ่งเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือ
สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ซือจูเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ขึ้นมา และฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ให้นางออกหน้าเป็นแพเชื่อมให้
ก่อนหน้านี้นางมิได้คิดอะไรมาก แม้นรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ผู้ใดจะรู้ว่าฝีปากของหวังซีจะคมกริบถึงเพียงนี้
นายหญิงรองรู้สึกว่าตัวเองละอายเกินกว่าจะเป็นคนต่อหน้าหวังซีแล้ว นางพยายามมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทาง รู้ว่าต่อให้ดึงดันต่อไปแต่หากหวังซีไม่ตกลง พวกนางก็ไม่มีวิธีอื่น จึงหันไปพยักหน้าให้นายหญิงรองอย่างช่วยไม่ได้
นายหญิงรองโล่งอกไปเปลาะหนึ่งแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกลำบากใจมากกว่า เสียงพูดจึงเบาลง กล่าวว่า “เป็นความผิดของข้าเอง คุณหนูสกุลหวังเป็นคนจิตใจกว้างขวาง อย่าได้ถือสาข้าเลย เช่นนั้นถึงเวลาข้าคงต้องเชิญซือหมัวมัวไปรบกวนหวังหมัวมัวแล้ว”
แน่นอนว่าเรื่องยืมฟืนต้มน้ำยืมข้าวสารกรอกหม้อประเภทนี้นายของบ้านไม่จำเป็นต้องออกหน้าเอง ย่อมมีคนที่มีสถานะเทียบเท่ากันไปจัดการให้ได้
แต่นายหญิงรองระบุชื่อซือหมัวมัว เห็นได้ชัดว่าเพื่อต้องการบอกหวังซีว่านี่เป็นความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า มีเจตนาแก้ต่างให้ตัวเองว่านางเป็นสะใภ้ ไม่อาจกระทำตามใจปรารถนาแฝงอยู่ในนั้นด้วยเล็กน้อย
หวังซีกลับมิได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางรับปากแล้วว่าจะให้ยืมน้ำแข็ง ก็ย่อมจะให้ยืม แต่สุดท้ายแล้วน้ำแข็งจะพอใช้ไปตลอดทั้งวันหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าข้ารับใช้ข้างกายซือจูจะฉลาดและมีความสามารถใช้น้ำแข็งสี่เหลี่ยมหลายก้อนให้เพียงพอในหนึ่งวันได้หรือไม่แล้ว!
หวังซีนั่งอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่งแล้วก็กลับสวนร่มหลิว
หงโฉววิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นยินดี ขยิบตาถามนางว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านบอกให้หลงจู๊ใหญ่ไปยืมคนมาจากหมู่บ้านใช่หรือไม่ เมื่อครู่หวังสี่มาแจ้งว่า ด้านหลงจู๊ใหญ่มีคนมาให้เลือกผู้หนึ่ง เป็นภรรยาของหลงจู๊เล็กประจำร้านค้าแห่งหนึ่งที่เมืองเป่าติ้ง แซ่หมี่ เพิ่งถึงเป่าติ้ง เป็นคนไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่ง ตัวคนฉลาดคล่องแคล่วว่องไว เมื่อก่อนเคยรับใช้นายหญิงใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว เพียงแต่ว่าอายุค่อนข้างมาก ปีนี้สามสิบห้าปีแล้ว ให้มาสอบถามท่านว่าใช้ได้หรือไม่…
…ถ้าหากใช้ไม่ได้ ให้คุณหนูใหญ่รออีกสักสองสามวัน หลงจู๊ใหญ่จะให้คนนำจดหมายกลับไปที่สู่จง ดูว่ายังมีตัวเลือกอื่นที่เหมาะสมหรือไม่”
เหมาะสมหรือไม่นั้น ต้องให้เฉินลั่วเป็นคนตัดสินใจ
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ในจำนวนเรื่องมากมาย ในที่สุดก็มีเรื่องหนึ่งที่พอจะมีความคืบหน้าบ้างแล้ว
นางเปิดหนังสือพงศาวดาร วาดๆ เขียนๆ อะไรหนึ่งแถว สั่งการให้หงโฉวนำส่งจดหมายไปส่งให้เฉินลั่วอย่างเบิกบาน
เฉินลั่วรู้แล้วว่าหงโฉวและชิงโฉวมีวรยุทธ์ นางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
หงโฉวปีนกำแพงบ้านไปศาลากวางร้อง เกือบโดนเฉินอวี้จับตัวเอาไว้
แต่เฉินอวี้เองก็เกือบโดนหงโฉวหวดด้วยแส้เช่นกัน
เฉินลั่วเห็นแล้วก็ยิ่งอยากได้ ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับหมี่เหนียงจื่อผู้นั้นนักก็ตอบตกลงเลย ยังนัดแนะกับหวังซีว่าพรุ่งนี้หลังจากเขาเสร็จจากว่าราชการแล้วให้ทั้งสองมาพบกันสักครั้งหนึ่ง จะได้ตระเตรียมเรื่องให้หมี่เหนียงจื่อเข้าจวน
หงโฉวปฏิเสธโดยไม่ต้องถามหวังซี กล่าวว่า “พรุ่งนี้องค์หญิงฟู่หยางมาเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหว ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกข้าจะปลีกตัวออกมาได้หรือไม่!”
เฉินลั่วเห็นหงโฉวช่ำชองมีฝีมือดี ภาพจำที่มีต่อนางจึงดียิ่ง มองนางเพิ่มอีกสองสามครั้ง จดจำใบหน้านี้ไว้ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดูว่าคุณหนูของพวกเจ้ามีเวลาว่างเมื่อไร”
หงโฉวคิดว่าเฉินลั่วคือคนที่หวังซีแอบสอดส่อง ทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นมิตรและใจดี จึงยิ่งใจกล้ามากขึ้น กล่าวว่า “ขอบคุณใต้เท้าเฉินเป็นอย่างยิ่ง! กลัวแต่ว่าคุณหนูซือจะจับตาดูคุณหนูของพวกข้าเอาไว้ไม่ปล่อย ต่อให้คุณหนูของพวกข้ามีใจอยากมาพบท่านก็คงมาไม่ได้!”
เฉินลั่วตะลึงงัน นึกถึงนิสัยของซือจู แล้วก็นึกถึงการกระทำต่างๆ ของหวังซี สองคนนี้อยู่บนถนนเส้นเดียวกันไม่ได้จริงๆ
เขาครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รอข้าเสร็จจากว่าราชการก่อน!”
อย่างไรเสียถึงทำให้ขุ่นเคือง ก็ไม่เลวร้ายไปกว่าแค่เรื่องหนึ่งเรื่องหรือสองเรื่องเท่านั้น
หงโฉวรู้สึกว่าเฉินลั่วไม่ค่อยคำนึงถึงคุณหนูใหญ่ของพวกนางเท่าไรนัก แต่นี่มิใช่เรื่องที่คนเป็นสาวใช้ผู้หนึ่งอย่างนางจะวิจารณ์ได้ นางรับคำและกลับไปแจ้งหวังซีอย่างขุ่นเคือง
………………………………………………………………