เฮอร์มีส ระบบเปลี่ยนโลก - ตอนที่ 1
“ย้อนกลับไปในโลกเก่า พวกเขาบอกว่ามนุษย์ใช้เวลา 72 ชั่วโมงในการไปถึงดวงจันทร์…แต่ฉันทำได้ในพริบตา” อีแวนส์ผู้ถือระบบเฮอร์มีสปี 1327 APC
เป็นเวลามากกว่าหนึ่งพันปีมาแล้วที่ประตูมิติได้เปิดขึ้นบนโลก
มันทำให้คนทั้งโลกประหลาดใจ มีมอนเตอร์จำนวนมากออกมาจากประตูมิติ มอนเตอร์พวกนั้นกลืนกินเมืองต่างๆทั่วโลก มอนเตอร์มีรูปร่างประหลาดบางตัวคล้ายนกอินทรีขนาดใหญ่ บางตัวก็มีร่างของสิงโต บ้างก็หมาป่าสามหัว กิ้งก่าขนาดยักษ์เก้าหัว ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พบเจอได้ในตำนานเท่านั้น
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ความหายนะของประตูมิติ
มนุษย์พยายามต่อสู้กับมอนเตอร์ แต่อาวุธไฮเทคของพวกเขาสามารถฆ่ามอนเตอร์ตัวที่อ่อนแอได้เท่านั้น มีมอนเตอร์บางตัวที่มีผิวหนังที่แข็งแรงมาก แม้แต่กระสุนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถเจาะทะลุผิวของพวกมันได้
ทุกวินาทีคือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
เหมือนเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมาก เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ต้องจำนน ทหารก็พ่ายแพ้ อาวุธของพวกเขาไร้ประโยชน์ และสุดท้ายกระสุนก็ได้หมดลง
ระเบิดนิวเคลียร์ของพวกเขา ทำให้สังคมและเทคโนโลยีถดถอย ส่งผลให้พวกเขากลับไปสู่ยุคแห่งความมืด
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อมีการค้นพบยอดมนุษย์คนแรกในเวลาหลายปีหลังจากการต่อสู้
คนๆนั้นเป็นเด็กที่เกิดหลังจากประตูมิติได้ปรากฏขึ้นในโลกของพวกเขา
เด็กที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถที่ใครๆก็เรียกได้ว่าเหมือนเทพเจ้า
และในไม่ช้าก็มีอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็ค้นพบว่ามีคนอื่นๆอีกมากมายที่เป็นมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ
และถึงแม้ว่าพลังของพวกเขาจะแตกต่างกัน แต่เหล่ายอดมนุษย์ต่างก็เรียกพลังของพวกเขาด้วยชื่อเดียวกัน คือ
‘…ระบบ…’
มนุษย์พยายามดิ้นรนเพื่อให้เหล่ายอดมนุษย์ปลอดภัยจนกว่าพวกเขาจะโตพอที่จะควบคุมพลังเหล่านี้ได้ ทหารหลายล้านคนและคนปกติจำนวนมากเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องความหวังเดียวของพวกเขา
ไม่กี่ปีหลังจากนั้นความสมดุลของสงครามก็ถูกเปลี่ยนไปในที่สุด แม้ว่าโลกนี้จะยังไม่ได้รับความปลอดภัยอย่างแท้จริง แต่มันก็คุ้มค่า
ในไม่ช้าพวกเขาก็ยึดเมืองของพวกเขากลับคืนมาทีละเมือง ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าผู้ควบคุมระบบ
แม้สัตว์ประหลาดจะพ่ายแพ้ต่อเหล่าผู้ควบคุมระบบ…แต่ประตูมิติยังคงอยู่
จนกระทั่งผู้ควบคุมระบบคนแรกเข้าไปในประตูมิติ พร้อมกับสหายของเขา พวกเขาพบว่าพวกเขาต้องการที่จะกำจัดมอนเตอร์ที่หลงเหลืออยู่ภายในประตูมิติให้หมดไป
และสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป
ประตูมิติจะถูกเปิดขึ้น และผู้ควบคุมระบบจะถูกส่งไปกำจัดมอนเตอร์ที่อยู่ภายใน ในไม่ช้าผู้ควบคุมระบบเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า นักสำรวจ
ประตูมิติและสิ่งมีชีวิตที่มาจากมัน ตอนนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกของพวกเขา ผู้ควบคุมระบบก็เช่นกัน พวกเขาอยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด ร่องรอยของอารยธรรมเก่าๆก็หายไป เทคโนโลยีของพวกเขาล้วนแต่ล้าสมัย
เป็นเวลากว่าพันปีที่ผ่านไปเช่นนี้
เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ควบคุมระบบคนแรก มนุษย์ที่ปกป้องผู้คนจากเหล่ามอนเตอร์จำนวนมาก พวกเขาได้สร้างโรงเรียนขึ้น
โรงเรียนเพื่อฝึกฝนผู้ควบคุมระบบรุ่นเยาว์จนกว่าพวกเขาจะโตพอที่จะควบคุมพลังของพวกเขาได้ พวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดู เช่นเดียวกับที่มนุษย์ในโลกเก่าเลี้ยงดูพวกเขา
สถาบันสำหรับผู้มีพรสวรรค์และผู้ควบคุมระบบ หรือเรียกสั้นๆว่า สถาบันการศึกษาระบบ ทุกๆอย่างในโรงเรียนนี้เหมือนกับโรงเรียนปกติ ยกเว้นกิจกรรมนอกหลักสูตร
ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนถือกระสอบฟางใบใหญ่ มองไปที่เสาขนาดมหึมาที่ยึดประตูของสถาบัน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและตื่นเต้น แม้จะมีเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและสกปรก แม้เท้าของเขาจะเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ดวงตาที่บวมเป่งของเขาก็เป็นประกาย
เพราะตรงหน้าเขา มีคำพูดลอยอยู่
[ระบบเฮอร์มีส ล็อค]
คำพูดลอยๆ ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น จู่ๆมันก็มาปรากฏต่อหน้าของเขาในตอนที่เขาตื่นขึ้นเมื่อ 3 วันก่อน
เด็กหนุ่มอ่านหนังสือไม่ออก เพราะเขาไม่รู้หนังสือ แต่เขาก็รู้ดีพอที่จะรู้ว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาคือ ผู้ควบคุมระบบ
แต่นี่เป็นเพียงตั๋วใบหนึ่งเท่านั้น บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อปลดล็อคมัน แต่ก็ไม่สามารถปลดล็อคมันได้จนกระทั่งเขาตายไป
และนั่นคือเหตุผลที่เขาอีแวนส์อยู่หน้าสถาบันด้วยความหวังว่า สถาบันจะช่วยปลดล็อคศักยภาพของเขาได้
เพราะตอนนี้เขาหนีออกมาจากบ้าน และหนีออกมาจากเงื้อมมือของพ่อเขา
ดังนั้นอีแวนส์จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าไปหาทหารยามคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่
นักเรียนที่กำลังเข้ามา และเข้าไปข้างในประตูนั้นต่างจ้องมองมาที่เขา และพยายามที่จะเดินห่างออกไปจากเขา
“สะ … สวัสดี!”
อีแวนส์ยิ้ม ขณะที่เขาโค้งคำนับไปทางทหารยาม
“ฉันมาที่นี่เพื่อสมัครเรียน!”
เนื่องจากความกังวลใจของเขา เขาจึงกัดลิ้นของตัวเอง
เมื่อเห็นเด็กสกปรกตรงหน้าของเขาทหารยามก็รีบปิดจมูกทันที
“ออกไปเถอะ! เราไม่มีขอทานในสถาบัน!”
“มะ … ไม่!”
อีแวนส์ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้จะถูกเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
“ฉันเป็นผู้ควบคุมระบบ!”
“แกเนี่ยนะ…ผู้ควบคุมระบบ? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ทหารยามหัวเราะ และนักเรียนที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย
“ถ้าแกเป็นผู้ควบคุมระบบ ฉันก็คือนักสำรวจระดับทองแล้ว!”
ทหารยามยังคงหัวเราะเบาๆ
“เอ้าออกไปได้แล้วเด็กน้อย แกกำลังรบกวนนักเรียนคนอื่นๆ”
จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แต่ฉันเป็นผู้ควบคุมระบบ ดูสิ!”
อีแวนส์ยกนิ้วขึ้น พยายามชี้ไปที่คำพูดตรงหน้าเขา
แต่โชคไม่ดี ผู้คุมเห็นเป็นว่าเขากำลังพยายามจะสัมผัสตัว ดังนั้นเขาจึงฟาดอีแวนส์ด้วยด้ามดาบของเขา ด้วยความแรงที่พอที่จะทำให้อีแวนส์จะล้มลงไปที่พื้น
“…ไม่!”
ของในกระสอบอีแวนส์กระเด็นออกไป ทำให้มันกระจัดกระจายไปที่พื้น
“ไอ้เด็กนี่!”
ทหารยามเตะเขา
“เก็บขยะของแกไปซะ!”
“นะ…นี่มันไม่ใช่ขยะนะ!”
อีแวนส์พูดขณะที่เขาเก็บสิ่งของของเขาอย่างเร่งรีบ พวกมันเป็นวัตถุโบราณ สิ่งของจากโลกเก่าและตามที่ทหารยามกล่าวว่าพวกมันมักจะเป็นขยะ
“ฉัน…ฉันจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนในสถาบัน!”
อีแวนส์ลุกขึ้นยืนทันทีที่เขาหยิบสิ่งของทั้งหมดของเขา
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีแวนส์พูดคนรอบข้างก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
แต่อีแวนส์ไม่สนใจ ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยมุ่งมั่น ขณะที่เขาจ้องไปที่ทหารยาม
เมื่อเห็นดวงตาของอีแวนส์ ทหารยามก็อดไม่ได้ที่จะไล่เขาไป
“…ออกไป ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว”
“เดี๋ยวก่อนเฟร็ด ขอโอกาสให้เด็กชายคนนี้หน่อย”
ก่อนที่ทหารยามจะพูดจบ มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา ซึ่งนำโดยนักเรียนผมสีทอง
“จะจะ…เจอรัลด์!”
ทหารยามรีบคำนับทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
‘ดูเหมือนเขาจะพอใจเด็กคนนี้’
นักเรียนเรียกเจอรัลด์หัวเราะเบาๆ
“เราจะพาเขาไปหาอาจารย์ใหญ่”
“!!!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าสกปรกของอีแวนส์ก็สว่างขึ้นทันที
“จะจะ…จริงเหรอ!?”
“แน่นอน”
เจอรัลด์ยิ้มให้กับอีแวนส์ ขณะที่เขาเดินเข้ามาหาอีแวนส์และตบไหล่
“ทุกคนในสถาบัน ยินดีต้อนรับใช่ไหมเฟร็ด”
จากนั้นเขาก็หันไปหาทหารยาม
“นี่…”
ทหารยามทำได้เพียงกัดฟันขณะพยักหน้า
“เห็นไหม”
เจอรัลด์ปรบมือ
“ตอนนี้นายตามเราไปข้างในสถาบันก่อนเถอะ…”
เขาเหล่ตาไปที่อีแวนส์
“ฉันชื่ออีแวนส์!”
“…อีแวนส์ ฉันและกลุ่มของฉันจะพานายไปหาอาจารย์ใหญ่เอง”
เจอรัลด์ยิ้ม
อีแวนส์ขอบคุณเจอรัลด์อีกครั้ง และโค้งคำนับสองสามครั้ง ก่อนที่จะเดินตามพวกเขาเข้าไปในสถาบัน
ทหารยามเฟร็ดอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นของเขา และส่ายหัวเมื่อเขาเห็นหลังของเด็กชายหายไปจากระยะสายตาของเขากับกลุ่มของเจอรัลด์ เด็กชายดูเหมือนจะอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น อายุน่าจะน้อยกว่าลูกชายของเขาด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาก็กระซิบด้วยน้ำเสียงที่เศร้ามาก
“…ขอโทษนะ”