แค้นรักสามีตัวร้าย - ตอนที่ 752
บทที่ 752 นิตาไม่ธรรมดา
ร่างกายของนิตาสั่นเทาเล็กน้อย
“รับไปสิ ! ทำอะไรอยู่ ? อย่ามาเล่นตัวกับฉันนะ เวลามีคนป่วยสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือเงิน ฉันรู้สถานการณ์ของเธอดี ไม่อยากติดค้างฉัน ฉันไม่บังคับเธอ แต่อย่างน้อยเธอก็ต้องคิดเผื่อน้องชายของเธอด้วยถูกไหม ?”
เจตต์ยัดบัตรเครดิตลงในมือของนิตา
ครั้งนี้นิตาไม่ได้ปฏิเสธอีก
เธอมองดูบัตรเครดิตในมือ ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด
“เจตต์”
น้ำเสียงของนิตาค่อนข้างแหบพร่า
“อืม ? เป็นอะไรไป ?”
เจตต์คิดว่านิตาจะพูดอะไร แต่คิดไม่ถึงว่านิตาจะเขย่งปลายเท้า แล้วเป็นฝ่ายจูบตัวเองก่อน
“รับตัวฉันไปเถอะ”
เสียงของเธอไม่ได้ดัง แถมยังแฝงไปด้วยความเขินอาย
เจตต์ชะงักไปทันที จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาว่านิตากำลังพูดอะไร ขณะที่เลือดลากำลังพลุ่งพล่านก็ผลักตัวนิตาออกทันที
“ฉันให้เงินเธอ ไม่ใช่เพื่อให้เธอเหยียบย่ำตัวเองแบบนี้ ฉันยอมรับว่าฉันคิดเกินเลยกับเธอ ฉันคิดแม้กระทั่งว่าอยากจะใช้เวลาทั้งชีวิตกับเธอ แต่ว่านิตา ฉันไม่อยากให้เธอใช้ตัวเองมาชดใช้หนี้! อย่าดูถูกตัวเธอเอง อย่าดูถูกฉัน ฉันเจตต์คนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้เพื่อเข้าหาผู้หญิง”
พอเจตต์พูดจบก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
ทันใดนั้นนิตาก็รู้สึกว่าลมหนาวเข้ามาจู่โจม ทำให้ตัวเธอสั่นเทา
เธออยากจะบอกเจตต์มาก ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
ไม่ใช่เพราะว่าเขาให้เงินเธอ แต่เธออยากจะมอบตัวเองให้เขาจริงๆ
เธอแค่กลัวว่าต่อไปตัวเองจะไม่มีโอกาสได้มอบให้เจตต์อีก
แต่ว่ามีบางสิ่งที่เธอไม่สามารถพูดได้ แต่มีบางอย่างที่เธอไม่สามารถทำได้
นิตาใช้สองมือกอดแขนตัวเอง คุกเข่าลงและร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม
แท้จริงแล้วเจตต์ไม่ได้จากไป เขายังอยู่ด้านนอกประตู
คอยฟังเสียงร้องไห้ของนิตา ในใจเขาเองก็รู้สึกแย่มาก จนแทบอยากจะเข้าไปดึงเธอเข้ามากอดเพื่อปลอบโยน แต่ว่าเขาเองก็รู้สึกอึดอัดมาก
นิตามีใจให้เขา เขาสัมผัสได้ แต่ว่าความรู้สึกนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นิตายินยอมพร้อมใจที่จะติดตามเขา
ตอนนี้แค่บัตรเครดิตใบเดียว นิตาก็ทำแบบนี้กับเขาแล้ว ต้องบอกเลยว่า เจตต์นั้นรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
เขาไม่อยากยอมรับว่าผู้หญิงที่ตัวเองหลงรักนั้นเป็นพวกโลภมาก ยิ่งไม่อยากยอมรับว่านิตาจะยอมขายตัวเองเพื่อแลกกับเงิน แต่ว่าฉากเมื่อครู่นี้ช่างทำให้เจตต์รู้สึกปวดใจจริงๆ
เจตต์ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย อากาศข้างนอกบริสุทธิ์มาก แต่กลับไม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย
และในตอนนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณเจตต์ครับ ประธานชาญของพวกเราต้องการพบคุณครับ”
เจตต์มองไปทางผู้ที่มาเยือนอย่างดุร้าย แล้วพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “แค่เขาอยากพบฉันเลยต้องไปหรือไง ? ชาญคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญจริงๆเหรอ ?”
“คุณเจตต์ครับ ประธานชาญบอกแล้วว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณนิตา หากคุณไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร เขาไม่ได้บังคับคุณ”
“เดี๋ยวก่อน”
เจตต์ต้องบอกเลยว่า ชาญคว้าจุดอ่อนของเขาได้จริงๆ
“คุณเจตต์จะไปกับผมตอนนี้เลยไหมครับ ?”
“อีกครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวฉันตามไป”
เจตต์ถอยกลับไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วย
นิตาจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ดูออกเลยว่าเธอร้องไห้มาก่อน
ในใจของเจตต์เองก็รู้สึกค่อนข้างอึดอัด
“ฉันไปส่งเธอที่สนามบิน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเรียกรถไปเองก็พอ”
เจตต์ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของนิตา หยิบสัมภาระของเธอมาแล้วเดินออกจากประตูไป
“เจตต์ ร่างกายคุณยังบาดเจ็บอยู่ คุณ……”
นิตาเลยต้องเดินตามออกไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถแล้ว เพราะเรื่องเมื่อครู่เลยทำให้บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด
นิตาหันหน้าไปด้านนอก แต่ก็ยังรู้สึกว่าอากาศกดดันจนน่ากลัว
เจตต์พูดเสียงต่ำว่า “ไปถึงแล้วส่งข้อความมาบอกฉันด้วย อย่าปล่อยให้ฉันเป็นห่วง”
“อืม”
“ถ้าฝั่งน้องชายเธอสถานการณ์ไม่ดี อย่ากลัวที่จะใช้เงิน รีบแจ้งฉันได้เลย”
“อืม”
“ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เสื้อผ้าเอาไปพอหรือเปล่า”
“พอแล้วล่ะ”
เจตต์ถามคำหนึ่ง นิตาก็ตอบคำหนึ่ง แต่ว่านิตารู้ดี ว่าในใจของตัวเองนั้นอึดอัดมาก
พอเห็นว่านิตาไม่พูดอะไรอีก เจตต์เองก็ไปเปิดปากพูดแล้ว
หลังจากที่รถไปถึงที่สนามบินแล้ว นิตาก็ปฏิเสธเจตต์ที่บอกว่าจะส่งเธอไปถึงด่านตรวจ
“ฉันไม่ชอบการจากลา และฉันก็ไม่ชอบให้คุณมองดูแผ่นหลังของฉัน เจตต์ คุณกลับไปเถอะ ฉันไปแค่ไม่กี่วันก็กลับมา”
“ติดต่อฉันตลอดเวลาด้วย”
“ได้”
นิตาถือสัมภาระเดินจากไป
เธอรู้สึกเหมือนทุกก้าวที่เดินนั้นหนักอึ้ง ราวกับเต็มไปด้วยตะกั่ว จนแทบอยากจะหันกลับไปซุกเข้าในอ้อมกอดของเจตต์ และบอกความจริงทุกอย่างแก่เขา
แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็อดทนไว้ได้
เจตต์มองดูแผ่นหลังของนิตา ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้มีความรู้สึกว่าเธอจะไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
“นิตา!”
เจตต์เรียกหยุดเธอเอาไว้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เธอจะเข้าไปในด่านตรวจ
ในเสี้ยววินาทีที่นิตาหันกลับมามอง เจตต์ก็รู้สึกว่าทั้งชีวิตสดใสขึ้นทันตา
“เดินทางปลอดภัยนะ”
นิตายิ้มให้เจตต์อย่างสดใส
“เจตต์ คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“อืม เธอก็ดูแลตัวเองให้ดี”
นิตาโบกมือให้เจตต์ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป เพียงแต่เสี้ยววินาทีที่เธอหันหลัง น้ำตาของเธอก็ไหลทันที
เจตต์รีบเดินตามเข้าไป แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดึงตัวไว้
“คุณครับ กรุณาหยุดก่อนครับ”
เจตต์มองดูแผ่นหลังของนิตาที่เดินจากไป จู่ๆก็รู้สึกว่าข้างในใจมันโหวงเหวง
ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน รู้สึกชินกับการอยู่ด้วยกันกับนิตาแล้ว ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่านิตามีเป้าหมายอะไรอย่างอื่นต่อตัวเขาอีก และไม่รู้ว่าที่นิตาจากไปในครั้งนี้หลังจากกลับมาแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แต่ว่าในขณะนี้ เขาไม่อยากปล่อยเธอไปจริงๆ
“นิตา ฉันรักเธอ!”
จู่ๆเจตต์ก็ตะโกนเสียงดังออกมาประโยคหนึ่ง
นิตาหันกลับมาทันที
เธอเข้าใจความหมายของประโยคนั้นอย่างลึกซึ้ง
ทันใดนั้นเธอก็มองย้อนกลับไป แต่ชายคนนั้นกลับอยู่ในที่ที่มีแสงสลัว
ความรักที่เธอเคยต้องการมากที่สุดมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
นิตาตื้นตันใจจนร้องไห้
เธออยากหันกลับไป แต่ว่าไม่ทันแล้ว
คนรอบตัวต่างก็หันมามอง มีคนอวยพร และมีคนส่งเสียงโห่ร้อง
นิตากัดริมฝีปากล่าง แล้วหันไปยิ้มให้เจตต์และพูดว่า “เจตต์ ฉันก็รักคุณ รักคุณมากจริงๆ!”
ริมฝีปากของเจตต์คลี่ยิ้มออกมาทันที
พอได้ยินประโยคนี้แล้ว ราวกับคำว่ารักทั้งโลกนี้รวมกันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เจตต์รู้สึกประทับใจได้
เขายิ้มเหมือนคนโง่ เหมือนคนบ้า
นิตามองดูเจตต์ น้ำตาร่วงริน
ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว เธอจำเป็นต้องไปขึ้นเครื่องบิน
รอจนมองไม่เห็นแผ่นหลังของนิตาแล้ว เจตต์ถึงได้หันหลังและเดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย
จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าทำไมอากาศของที่นี่ถึงได้หนาวแบบนี้
ทั้งๆที่ตอนขามายังรู้สึกว่าอุณหภูมิกำลังพอเหมาะพอดีอยู่เลย
เจตต์มองดูเครื่องบินของนิตาบินขึ้นแล้ว จากนั้นถึงได้ออกมาจากสนามบินอย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากกลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว คนของชาญก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่
“คุณเจตต์ ตอนนี้จะตามผมไปเจอประธานชาญได้หรือยังครับ”
เจตต์มองดูเขาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร และก้าวขึ้นรถไป
และรถก็ไปถึงที่อยู่ของชาญอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ชาญไม่ได้มีการเตรียมการอะไร เขาเชิญเจตต์เข้าไปในห้องโถงทันที
“นายจะบอกฉันเรื่องอะไรเกี่ยวกับนิตา ?”
เจตต์ถามออกไปตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม
ชาญมองดูเจตต์ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “นายชอบนิตาเข้าจริงๆแล้วใช่ไหม ?”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกนายด้วยเหรอ ?”
คำพูดของเจตต์ทำให้ชาญขำขึ้นมา
“ฉันรู้ดีเจตต์ ว่านายมีทักษะที่ยอดเยี่ยม แถมยังใจกล้า แต่ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่านายใจกล้าแล้วมันจะประโยชน์หรอกนะ สำหรับนิตาแล้ว นายทำไม่ได้”
“นายหมายความว่ายังไง ?”
“นั่งสิ”
ชาญรินชาให้เจตต์แก้วหนึ่ง แล้วพูดเรียบๆว่า “นิตาไปแล้วสินะ ?”
“นายคอยสอดส่องเธออยู่ตลอดเลยเหรอ ? ชาญ ฉันจะบอกนายไว้นะ ทางที่ดีนายอย่าแตะต้องเธอ ไม่อย่างนั้น……”
“ถ้าฉันจะแตะต้องเธอฉันทำไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงตอนนี้หรอก ฉันก็ไม่กลัวที่จะบอกนายตามตรง ตอนแรกเงินที่พ่อแม่ของนิตาใช้ทำภารกิจ ถูกฉันเอาไปเอง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ฉันเองก็รู้ นิตากำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้แตะต้องเธอ รู้ไหมว่าทำไม ?”
ชาญสารภาพเรื่องนี้ออกมาจากปากตัวเอง มันทำให้เจตต์รู้สึกคาดไม่ถึง
“นายยอมรับแล้ว ?”
“ฉันยอมรับ! เรื่องนั้นฉันผิดต่อพ่อแม่ของเธอจริงๆ แต่ว่าแล้วยังไงล่ะ ? ถ้าฉันไม่เอาไป เงินพวกนั้นก็ต้องเป็นของพ่อค้ายา ในเมื่อให้พ่อค้ายาได้ แล้วทำไมฉันจะเอาไปไม่ได้ ?”
เจตต์กระชากคอเสื้อของชาญทันที แล้วพูดอย่างโมโหว่า “นายพูดบ้าบออะไร ? ตอนนั้นนายก็เป็นทหาร จิตสำนึกของนายล่ะ ? วินัยของนายล่ะ ?”
“วินัยมันกินแทนข้าวได้เหรอ ? ตอนนั้นฉันก็ไม่อยากจะเอาหรอก แต่ว่าศึกในครั้งนั้น ฉันได้รับบาดเจ็บที่หลัง ร่างกายบาดเจ็บ ต้องรักษาอยู่เป็นครึ่งปีถึงหาย ถึงขั้นที่ว่าในศึกครั้งนั้น ทำให้ฉันไม่สามารถเป็นผู้ชายได้อีกตลอดชีวิต ไม่สามารถมีลูกของตัวเองได้ แล้วทำไมฉันจะเอาเงินก้อนนั้นไปไม่ได้ ? นี่เป็นเงินที่ฉันขายชีวิตไป พ่อแม่ของเธอก็ตายไปแล้ว พวกเขาพลีชีพ แต่ฉันยังต้องมีชีวิตอยู่นี่”
ชาญเองก็เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา
เจตต์คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ แต่ว่าเขาก็ยังคงพูดว่า “ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม นายก็ไม่ควรทำแบบนั้น นายทำให้สหายร่วมศึกของนายตายตาไม่หลับ และไม่สามารถไปอยู่ในสุสานผู้พลีชีพที่สมควรได้อยู่ นายทนดูได้ยังไง ?”
“ดังนั้นฉันก็เลยไม่แตะต้องพวกเขาสองพี่น้องไง ทั้งๆที่ฉันรู้อยู่แล้วว่าพอพวกเขาโตขึ้นจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้แน่ แต่ว่าฉันก็ยังปล่อยพวกเขาไว้ไม่ใช่เหรอ ?”
คำตอบที่ไร้ยางอายของชาญทำให้เจตต์ขำขึ้นมา
“นายนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ ไม่แตะต้องพวกเขา ? นายมีสิทธิ์อะไรไปแตะต้องพวกเขา ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่นายไม่ได้ดูแลพวกเขาเลยก็ถือว่าไร้ความเป็นคนแล้ว นายยังอยากจะแตะต้องพวกเขาอีกเหรอ?”
“เจตต์ ฉันจะบอกนายนะ นิตาไม่ได้ธรรมดาอย่างที่นายคิด ตอนที่พ่อแม่ของเธอจากไป เธอเพิ่งอายุแค่สิบเอ็ดขวบ และน้องชายของเธอก็แค่หกขวบ เด็กแค่สองคน นายเคยคิดไหมว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง ? นิตาเคยหายตัวไปอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากกลับมา น้องชายของเธอก็เข้าเรียนแล้ว แล้วจากนั้นถึงเธอจะหางานทำ แต่ว่าเธอเคยบอกนายไหม ว่าโสธรน้องชายของเธอเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ปีนั้นตอนหกขวบ พอพ่อแม่ของเธอเสียไป น้องชายของเธอก็เกือบตามไปด้วยแล้ว แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาหายตัวไป พอกลับมาน้องชายของเธอกลับหายดี เด็กสิบเอ็ดขวบคนหนึ่ง จะไปแบกรับค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดได้ยังไง ? คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอคือใคร จนถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ นายตกหลุมรักเธอ นายนี่ช่างใจกล้าเหลือเกินนะ นายไม่กลัวบ้างเหรอว่าเธอจะเข้าหานายอย่างมีเป้าหมาย ?”
คำพูดพวกนี้ของชาญทำให้เจตต์นิ่งอึ้งไปทันที
“เรื่องพวกนี้ที่นายพูดมีหลักฐานหรือเปล่า ?”
“ตอนนั้นผู้คนที่อยู่บริเวณหมู่บ้านดารายนต่างก็รู้เรื่องนี้กันดี ต่างก็รู้กันว่าโสธรน้องชายของนิตาเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แต่ว่าตอนที่กลับมาโสธรกลับกระโดดโลดเต้น สีหน้าเองก็ดีขึ้นอย่างมาก ถ้าไม่เชื่อนายลองไปถามดูได้”
พอได้ยินชาญพูดแบบนี้แล้ว ดวงตาของเจตต์ก็หรี่ลง
คนที่อยู่เบื้องหลังของนิตาคือใครกันแน่