แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1275 เขาเป็นคู่หูของฉัน
“ไม่นะ ฉันอยากกินอาหารฝีมือน้องสะใภ้มากเลย นายคิดว่าฉันมาไกลขนาดนี้ แล้วโดนนายปฏิเสธไม่ให้เข้าบ้าน มันไม่เหมาะสมหรือเปล่า?”
บุณพจน์กำลังมองบุริศร์ด้วยสีหน้ากวนโมโห
บุริศร์ชำเลืองมองเขา พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เหมาะสมอยู่แล้ว ครอบครัวฉันไม่ต้อนรับคนนอก”
“ฉันเป็นคนนอก? บุริศร์ นายพูดให้รู้เรื่องนะ ฉันเป็น……”
“บุริศร์!”
นรมนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองบุณพจน์ด้วยความประหม่าและระวังตัวมาก ในสายตาแสดงการป้องกันตัวออกมาเล็กน้อย
“คุณเป็นใคร?”
แม้กมลจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มายืนอยู่ข้างๆกิจจาอย่างเฉลียวฉลาด กำลังพิจารณาบุณพจน์ด้วยความสงสัย
“ผมเป็น……”
“เขาเป็นคนทำความสะอาดสุสาน”
บุณพจน์ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนบุริศร์ตอบโต้ด้วยประโยคนี้ แทบจะสำลักความโมโหของตนเองตายในทันที
เขา?
ทำความสะอาดสุสาน?
พูดผิดหรือเปล่า!
บุณพจน์ถลึงตาใส่บุริศร์ถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ
นรมนชะงักเล็กน้อย เธอพอจะรู้สึกได้ว่าบุณพจน์ไม่ได้คิดร้ายต่อบุริศร์ จึงคลายกังวลลงได้บ้างแล้ว
“ทำความสะอาดสุสานแล้วมาทำอะไรที่นี่?”
“ผมให้เขามาเช็ดป้ายชื่อหน้าหลุมศพของตรินท์ให้สะอาดน่ะ”
บุริศร์พูดจบก็หันไปมองบุณพจน์ให้ทำตามที่พูด
บุณพจน์หงุดหงิด
เขาทำความสะอาดสุสาน? แล้วยังต้องเช็ดป้ายชื่อหน้าหลุมศพอีก?
บุริศร์ มันมากไปแล้วนะ!
แต่บุริศร์กลับขี้เกียจจะสนใจเขา โอบภรรยากับลูกๆแล้วหมุนตัวเดินไปทันที
บุณพจน์มองข้างที่เดินจากไปของพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเหม่อลอย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆวินาทีนี้เขาก็อิจฉาบุริศร์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“นายน้อย พวกเรายังต้องติดตามต่อไปไหมครับ?”
คนๆหนึ่งเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ถามบุณพจน์ขึ้นเบาๆ
ความรู้สึกทั้งหมดบนใบหน้าของบุณพจน์จางหายไปแล้ว เหลือเพียงความเย็นชาและห่างเหิน มองในแวบแรก ก็คล้ายกับบุริศร์จริงๆ
“ไม่ต้องแล้ว”
“งั้นนายท่านพิรุณนั้นจะ……”
ลูกน้องยังพูดไม่ทันจบ บุณพจน์ก็ลงมือทันที บีบคอของลูกน้องเอาไว้แน่น มองสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสีม่วงแล้ว ถึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “นายเป็นคนของฉัน หรือเป็นคนของพ่อฉัน? ห๊ะ?”
อาการอึดอัดหายใจไม่ออกทำให้ลูกน้องทนไม่ไหวจริงๆ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้
ถึงบุณพจน์จะหน้าตาหล่อเหลาละเอียดอ่อน แต่กลับเป็นคนหนึ่งที่มีเล่ห์เหลี่ยมโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา
ลูกน้องควบคุมความหวาดกลัวของตนเองเอาไว้ รีบพูดขึ้น “ผมเป็นคนของนายน้อยครับ”
“งั้นฉันพูดอะไรก็ต้องเชื่อฟัง ส่วนพ่อฉันต้องตอบกลับไปยังไงนายรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่งั้น นายก็รู้ว่า ฉันไม่เก็บเศษสวะไว้ข้างตัว!”
พูดจบเขาถึงปล่อยมือ
ลูกน้องไออย่างรุนแรงไม่หยุด
“ไสหัวไป! อย่ามาทำให้ป้ายชื่อหน้าหลุมศพน้องชายฉันสกปรก”
บุณพจน์ตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ ลูกน้องจึงรีบสลายตัวไปทันที
เขามองไปทางที่บุริศร์ออกไปอีกครั้ง ไม่มีร่องรอยของพวกเขาอยู่แล้ว
บุณพจน์หันกลับมามองป้ายชื่อหน้าหลุมศพของตรินท์ นั่งลงไปบนพื้นทันที โดยที่ไม่ใส่ใจกางเกงสีขาวที่ตนเองสวมอยู่เลย
เขาพิงอยู่ที่ด้านหน้าป้ายชื่อของตรินท์ ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ตรินท์ ทำความรู้จักกันอีกครั้งนะ ฉันบุณพจน์เป็นพี่ชายคนโตของนาย ได้ยินเรื่องนี้แล้วประหลาดใจใช่ไหม? ผู้ชายตกอับข้างถนนที่นายได้ช่วยเหลือเอาไว้ในปีนั้นไม่นึกว่าจะเป็นพี่ชายคนโตของนาย ตอนนี้นายอยากจะตีฉันแย่แล้วล่ะสิ?”
นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ มุมปากของบุณพจน์ก็มีรอยยิ้มเล็กน้อย
“นายก็หัวแข็งจริงๆนะ อาชีพตั้งเยอะแยะทำไมถึงต้องเลือกอาชีพนั้นด้วย? นายดูสินายเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? อายุแค่นี้ก็ต้องไปนรกแล้ว ยมทูตให้อะไรดีๆกับนายได้งั้นเหรอ? อยู่ในโลกมนุษย์เป็นพี่น้องกับฉันไม่ดีหรือไง? นายไม่รู้หรอก พี่ชายที่เอาใจยากคนนั้นของนายน่ะ น่ารักได้ไม่เท่านายเลยจริงๆ ตรินท์ นายว่าถ้าตอนนี้นายยังมีชีวิตอยู่ พวกเราสามคนพี่น้องจะเข้ากันได้ดีไหม?”
“ทำไมนายไม่พูดล่ะ? แต่ก่อนนายรักการพูดไม่ใช่เหรอ? นายยังไม่ชอบเลยที่ฉันเอาแต่ทำตัวเย็นชาทั้งวัน นายถึงกับทำตัวโง่ๆแบกฉันไปหาหมอที่คลินิกกลางดึก ฉันก็แค่ไข้ขึ้นสูงเท่านั้นเอง ทำไมนายถึงลนลานขนาดนั้นล่ะ?”
บุณพจน์พูดๆอยู่เบ้าตาก็ชุ่มชื้นขึ้นมา
เขาสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆก็เงยหน้าขึ้น บังคับให้น้ำตาไหลกลับไป
“ตรินท์ นายมันสารเลว! นายเคยบอกว่าฉันเป็นเพื่อนรักของนาย นายเคยบอกว่าจะไปเข้าร่วมการแข่งขันกรีฑาที่เยอรมันกับฉัน เพื่อคำสัญญานี้ของนาย ฉันก็เข้าไปในหน่วยทหารแล้วนายรู้ไหม? แต่นายกลับผิดนัด ไม่นึกว่าจะไม่ทำตามที่พูด? ผู้ชายอย่างนายทำไมถึงผิดคำพูดล่ะ? นายลุกขึ้นมา ลุกขึ้น! นายนอนอยู่ที่นี่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น? นายเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ถึงมานอนอยู่ที่นี่? นายเป็นพ่อคนนะรู้ตัวไหม? ทำไมนายถึงนอนอยู่ที่นี่อย่างนี้? นายตายไปแล้ว ฉันกับ บุริศร์จะทำยังไง? เจ้าบ้านั่นแย่กว่านายตั้งเยอะนะ”
บุณพจน์พูดๆอยู่น้ำตาก็ไหลลงมา
เขากอดป้ายชื่อของตรินท์สะอึกสะอื้น เศร้าเสียใจ
เมื่อครู่ตอนที่บุริศร์อยู่เขาไม่สามารถระบายความรู้สึกของตนเองได้ ตอนนี้ที่นี่เหลือเขาเพียงคนเดียวแล้ว เขาคิดถึงตรินท์มากจริงๆ
สามสิบกว่าปีที่ผ่านมาเจ้าบ้านี่เป็นคนแรกที่ดีกับตนเอง ดีมากกว่าพ่อของเขาซะอีก
เห็นๆอยู่ว่าตรินท์ไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายคนโต แต่ตรินท์ยังคงดีกับเขาขนาดนั้น
ภาพในอดีตปรากฏขึ้นในหัวของเขาราวกับฉายภาพยนตร์ แต่ละฉากๆ ชัดเจนเหลือเกิน
“เขาก็ตายไปแล้ว นายจะไม่ให้เขาอยู่อย่างสงบหน่อยเหรอ?”
เสียงของบุริศร์ทำให้บุณพจน์ตะลึงงัน
เขาพิงอยู่บนป้ายชื่ออย่างนั้น ร่างกายแข็งทื่อ แต่กลับถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “นายเป็นผีหรือไง? ทำไมถึงเดินไม่มีเสียง?”
“ฉันไม่ใช่ตรินท์ เป็นผีไม่ได้หรอก อีกอย่างตอนนี้ก็กลางวันแสกๆ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้บุณพจน์หงุดหงิด
“พูดน้อยๆหน่อยมันจะตายหรือไง? นายเดินไปแล้วไม่ใช่เหรอ? กลับมาอีกทำไม? นายรีบไปเถอะ ฉันไม่ไปกินข้าวที่บ้านนายหรอก”
บุณพจน์ขมวดคิ้วพูดขึ้น
บุริศร์เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้ จู่ๆก็อยากจะหัวเราะ
“เฮ้ ร้องก็ร้องสิ โมโหอะไรอะ? ฉันไม่ได้หัวเราะเยาะนายซะหน่อย”
“ใครร้องไห้? ตาข้างไหนของนายที่เห็นว่าฉันร้องไห้? ฉันแค่อยากจะกอดตรินท์เฉยๆ นายอย่ามารบกวนฉัน รีบๆไปเถอะ”
บุณพจน์หงุดหงิด
ทำไมเขาถึงควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้นะ?
แล้วบุริศร์ทำไมถึงกลับมาอีก?
คนที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกเป็นคนตายกันหมดหรือไง?
เหมือนรู้ว่าบุณพจน์กำลังคิดอะไรอยู่ บุริศร์จึงพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “สุสานนี่ฉันเป็นคนซื้อ เป็นถิ่นของฉัน คนพวกนั้นของนายยังคิดจะควบคุมพื้นที่ของฉันได้ง่ายๆอีกงั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่อยากจะดูว่าเป้าหมายของคนพวกนั้นคืออะไร นายคิดว่าฉันจะให้คนของนายได้อวดเบ่งนานขนาดนี้ไหม? บุณพจน์ นายเป็นถึงหัวโจกขององค์กรนักฆ่า ไม่นึกว่าระดับสติปัญญาจะน่าเป็นห่วงเช่นนี้?”
“ถ้าไม่แขวะฉันนายจะพูดไม่ได้หรือไง?”
บุณพจน์หันกลับมาทันที
บนใบหน้าของเขายังมีรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี แต่ตอนนี้ก็ไม่ใส่ใจแล้ว พาลโกรธบุริศร์เอาดื้อๆพูดขึ้น “ทำไมนายถึงทำตัวไม่น่ารักเลยห๊ะ? ฉันกลุ้มใจแล้วนะ เกิดมาจากแม่คนเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้ล่ะ? นายดูตรินท์สิ มีแต่คนชอบ ส่วนนายจะมองยังไงก็น่ารำคาญ”
“งั้นก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ขัดตานาย ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากจะเกิดมาอย่างนี้ในโลกนี้หรอก แต่จนปัญญา ฉันไม่มีทางเลือก ดังนั้นนายก็ไม่มีทางเลือก”
คำพูดของบุริศร์ทำให้บุณพจน์ตะลึงเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกเสียใจในทันที
“แม่รักนายนะ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกันแล้ว”
บุริศร์ไม่เคยพูดเรื่องป้าโอกับใครมาก่อนเลย แม้แต่กับนรมนก็พูดถึงน้อยมาก
เขาปฏิเสธที่จะพูดถึงคนๆนี้ แต่บุณพจน์กลับพูดด้วยความร้อนรน “อย่างน้อยนายก็มีแม่อยู่ข้างๆมายี่สิบกว่าปีนะ เธอใส่ใจนายเป็นพิเศษ แม้จะมีจุดประสงค์อื่น แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงอยู่บ้างเลยใช่ไหมล่ะ? ยังไงซะนายก็เป็นเด็กที่เธออุ้มท้องมาสิบเดือนนะ ส่วนฉันล่ะ? แค่วันเดียวฉันก็ไม่เคยได้รับความรักจากแม่เลย”
“แล้วยังไงล่ะ? นายเกลียดฉัน? เกลียดตรินท์? สรุปว่าการตายของตรินท์เกี่ยวกับนายไหม ฉันจะสืบให้ชัดเจน ถ้าเกี่ยวกับนาย ไม่ว่านายจะมีความสัมพันธ์ยังไงกับฉัน ฉันก็จะไม่ยอมวางมือจากเรื่องนี้แน่ ดังนั้นบุณพจน์ อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน แล้วก็ไม่ต้องพยายามจะทำอะไรภรรยาฉัน ไม่งั้นแม้แต่เกียรติสุดท้ายของนายฉันก็จะไม่เหลือไว้ให้”
คำพูดของบุริศร์ไร้เยื่อใยเหลือเกิน
ใจของบุณพจน์เจ็บปวดเล็กน้อย
เขายิ้มเยาะพูดขึ้น “ได้ ฉันจะไป แต่ฉันขอเตือนนายอีกที นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของคริชณะดีกว่า”
“ไม่เกี่ยวกับนาย เขาเป็นพี่น้องคนสนิทของฉัน! เป็นคู่หูที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน เป็นเพื่อนรักที่มอบชีวิตให้เขาได้”
คำพูดนี้ของบุริศร์ทำให้บุณพจน์อิจฉาขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แม่ง!
เขาต่างหากที่เป็นพี่น้องของเขา!
เป็นพี่น้องที่มีแม่คนเดียวกัน!
สมองผู้ชายคนนี้มีโพรงหรือไง?
ไม่นึกว่าจะปฏิเสธเขาเช่นนี้?
บุณพจน์โมโหจนปวดใจ ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับบุริศร์แล้ว ยืนขึ้นหมุนตัวเดินไปทันที
ผู้ชายเฮงซวยที่ไม่น่ารักขนาดนี้ ทำให้เขาล้มคว่ำลงมาได้คงดี จะได้หยิ่งยโสไม่เห็นใครอยู่ในสายตาให้น้อยๆลงหน่อย!
บุณพจน์เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตนเองก็เป็นคนอย่างนี้ แต่ว่าตอนที่เผชิญหน้ากับบุริศร์ท่าทางของตนเองอ่อนลงก็เท่านั้น
เห็นบุณพจน์ออกไปจากสุสานแล้ว ดวงตาของบุริศร์ก็หรี่ลงเล็กน้อย
เขามองป้ายชื่อหน้าหลุมศพของตรินท์ เหมือนพูดกับตนเอง “นายกับเขายังเหมือนกันอยู่บ้างจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้เป็นพี่น้องกันสิบกว่าวัน ฉันไปก่อนนะ วันหน้าค่อยมาหานายอีก”
พูดจบบุริศร์ก็หมุนตัวออกไป
นรมนกับเด็กๆรอบุริศร์อยู่ในรถ กมลถามขึ้นด้วยความสงสัย “หม่ามี้ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครคะ? ทำไมหนูรู้สึกว่าแด๊ดดี้ทำเหมือนเขาเป็นศัตรูอยู่นิดๆ?”
คำพูดนี้ทำให้กิจจาตะลึงเล็กน้อย
กมลที่สนใจแต่เรื่องกินมาโดยตลอด หันมาสนใจคนตั้งแต่เมื่อไหร่?
ที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกของเธอค่อนข้างเฉียบขาด
นรมนส่ายหน้าพูด “หม่ามี้ก็ไม่รู้ ถ้าแด๊ดดี้จะบอกก็คงบอกเอง ถ้าไม่บอกก็อย่าไปถามเลย บางเรื่องเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆเล่นให้มีความสุขก็พอแล้วลูก”
“ก็ได้ค่ะ”
กมลเบะปาก
คำพูดที่ถึงข้างปากของกิจจาแล้วจึงต้องกลืนลงไปทันที
ที่แด๊ดดี้ไม่ได้บอกหม่ามี้กับกมลเรื่องตัวตนของบุณพจน์ คงจะมีเรื่องอื่นที่กำลังคิดอยู่สินะ
คิดอย่างนี้ กิจจาจึงเงียบเอาไว้
รอตอนที่บุริศร์กลับมา นรมนมองเขาด้วยความเป็นห่วง เห็นเขาไม่เป็นอะไรจึงคลายกังวลลงได้
“เจอของแล้วเหรอ?”
“อื้ม ลืมนาฬิกาข้อมือไว้ที่หน้าหลุมศพของตรินท์น่ะ”
บุริศร์ยิ้มบางๆอธิบาย
กิจจากำลังจ้องนาฬิกาบนข้อมือที่ไม่เคยห่างกายของบุริศร์อย่างใจลอย
เมื่อครู่ที่แด๊ดดี้กลับไปคงจะกำชับเรื่องอะไรกับคุณลุงสินะ?
นรมนก็มองบุริศร์ ไม่ได้เปิดโปงคำโกหกของเขา กลับยิ้มพูดขึ้น “หาเจอก็ดีแล้ว งั้นคุณบุริศร์ พวกเราจะไปไหนกันต่อล่ะ?”