แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1394 เธอมาขอให้ผมช่วย
เธอกำลังจะตามไปดูว่าพวกเขาจะพูดอะไรกัน แต่ก็ได้ยินเสียงเรียกของปัญญ์เสียก่อน
“พี่นรมน มาแล้วเหรอ?”
“อ่า ใช่ มายด์เป็นยังไงบ้าง?”
นรมนหันหลังกลับมา ข่มกลั้นความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ในใจ
“คุณชายจณัตว์บอกว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก รอเธอฟื้นขึ้นมาสังเกตอาการอีกหนึ่งวัน ถ้าไม่มีอาการติดเชื้อก็สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์”
พูดถึงเรื่องนี้ ปัญญ์ก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
เมื่อนรมนได้ยินแบบนั้น ใจที่แขวนอยู่กับความพะว้าพะวังก็ผ่อนคลายลงในที่สุด
“มายด์เป็นคนน่าสงสาร ได้กลับมาเจอกันถือว่าเป็นโชคชะตา แกก็ทำตัวดีๆกับเธอล่ะ”
“ครับ”
ปัญญ์พยักหน้า มองมาที่นรมนอย่างขบคิดจากนั้นก็พูดว่า “พี่นรมน ถ้าพ้นช่วงสังเกตอาการแล้ว ผมว่าจะพาเธอหนี”
“หนี? ทำไมล่ะ?”
นรมนค่อนข้างแปลกใจ
การได้มาเจอปัญญ์ที่นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเธอมาก เธอมีเรื่องอยากคุยกับปัญญ์มากมาย อยากถามไถ่อาการของเขาว่าเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้ที่นั่งรถเข็นอยู่เพราะยังรักษาไม่หายหรือว่ายังไง?
เธอมีคำถามอีกเป็นชุดที่อยากถาม คำพูดอีกเป็นกองที่อยากพูดคุย แต่ตอนนี้ปัญญ์กลับมาบอกว่าจะไปอย่างนั้นน่ะเหรอ?
นรมนไม่เข้าใจ
ปัญญ์ไม่คิดปิดบังนรมน เขาพูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “ช่วงเวลาที่มายด์หายตัวไปเธอต้องไปพบเจออะไรมาแน่ๆ ฝีมือของเธอถึงได้ดีขนาดนี้ ดีถึงขนาดที่สามารถเข้าไปที่วังของประเทศFอย่างสบายๆไม่มีใครจับได้ ผมเคยถามเธอแล้ว แต่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย ผมกลัวว่าด้วยความที่เธออายุน้อยแล้วจะถูกหลอกใช้ให้ไปทำเรื่องอะไรที่กู่ไม่กลับ ดังนั้นผมเลยตั้งใจจะพาเธอหนี หนีไปใช้ชีวิตในที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา แบบนี้ก็จะสามารถตัดขาดการติดต่อของเธอกับกลุ่มอะไรนั่นได้ บางทีอาจจะยังดึงเธอกลับมาได้ทัน”
เมื่อนรมนได้ฟังก็เข้าใจในสิ่งที่ปัญญ์กำลังคิด
เขาไม่ใช่แค่อยากดึงมายด์กลับมา หลักๆคือกลัวว่าคนที่ควบคุมมายด์จะทำร้ายเธอและบุริศร์
ปัญญ์ยังคงเป็นคนดีเหมือนเมื่อก่อน ดีจนบางทีนรมนรู้สึกสงสาร
“แกคือน้องชายของฉันนะ ถ้าแกพาเธอไปทั้งอย่างนี้ เกิดคนกลุ่มนั้นตามหาพวกแกเจอ แกจะป้องกันยังไง? ปัญญ์ อย่าอยู่ห่างจากสายตาของฉัน ฉันไม่มีทางยอมให้แกเกิดเรื่องไม่ดีอีกเด็ดขาด เรื่องของมายด์ปล่อยให้พวกฉันจัดการเอง พวกฉันมีวิธีทำให้เธอไม่ถูกควบคุมก็แล้วกัน”
“พี่นรมน ผมเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้ผมเอาอยู่อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ที่นี่ไปผมก็ช่วยอะไรพวกพี่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเป็นไอ้ลูกแหง่ ที่ยอมให้ใครมาบีบเล่นตามใจซะหน่อย พี่บอกเองนี่ ว่าผมคือน้องชายของพี่ น้องชายจะนำความเดือดร้อนมาให้พี่สาวได้ยังไงว่าไหม?”
“แกไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ฉัน ปัญญ์ ต่อไปห้ามพูดอย่างนี้อีกนะ แกคือน้องชายที่อบอุ่น พี่ทำใจตัดขาดจากแกไม่ได้หรอกนะ”
นรมนพูดพร้อมกับกอดปัญญ์เอาไว้
เธอติดค้างเขา ติดค้างตระกูลเจริญไชย และติดค้างคมทิพย์ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่รู้ว่าจะชดใช้หมดหรือเปล่า
ปัญญ์ตบหลังของเธอเบาๆ พูดยิ้มๆว่า “พี่นรมน ผมก็ตัดขาดจากพี่ไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าคนเราพอเติบโตขึ้น ยังมีเรื่องอีกมากมายให้ต้องทำ และสุดท้ายก็ต้องเผชิญกับการจากลา แต่ว่ามีคำพูดหนึ่งที่พูดเอาไว้ได้ดีเลยล่ะ นั่นก็คือเราจากกันในคราวนี้ก็เพื่อความปลื้มปีติในการพบกันในคราวหน้า เชื่อผมสิถ้าเราเจอกันอีกครั้งผมจะกลายเป็นคนที่เจ๋งกว่านี้ จะกลายเป็นความภาคภูมิใจของพวกพี่และก็ตัวผมเอง”
เมื่อนรมนได้ยินเขาพูดมาอย่างนี้ก็รู้ดีว่าเขาตัดสินใจมาดีแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายอบอุ่น แต่เขาก็เป็นเด็กผู้ชายที่ยึดมั่นในการตัดสินใจมากๆ ถ้าได้ตัดสินใจเรื่องอะไรไปแล้วก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมาดีแล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนี้ แม้นรมนจะทำใจไม่ได้สักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถบังคับอีกฝ่ายได้ อีกอย่างอยู่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยจริงๆ
เธอปล่อยปัญญ์ออก แล้วลูบผมบนหน้าผากของเขาเบาๆ จากนั้นถึงได้พูดขึ้นมาว่า “ต้องการอะไรบอกพี่ได้ตลอดเลยนะ แกเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆของฉัน ถ้าแกเห็นฉันเป็นคนอื่น ฉันจะโกรธแกจริงๆด้วย”
“ครับ”
นัยน์ตาของปัญญ์ทอแววอบอุ่น
เขารู้ดีว่านรมนคือเพื่อนสนิทของคมทิพย์พี่สาวเขา ตอนแรกแค่ชดใช้ให้เธอเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เธอดูแลพี่สาวของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายิ่งได้รู้จักก็ยิ่งรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่ตัวเองกับพี่สาวต้องเสียไป
ความจริงแล้วเรื่องของตระกูลเจริญไชยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนรมนเท่าไหร่นัก แต่เธอก็มักจะโยนให้เป็นความผิดตัวเองอยู่เสมอ
ปัญญ์รู้ว่าโชคชะตาระหว่างพวกเขาไม่มีทางตัดกันขาด ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มีพี่สาวเพิ่มอีกสักหนึ่งคนก็ดีเหมือนกัน
“งั้นก็ดูแลมายด์ดีๆล่ะ หลังจากพวกแกปักหลักได้ และหลังจากที่สืบเรื่องของกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเธอได้แล้ว ก็หาเวลาไปเจอพี่ของเธอด้วยล่ะ ฉันคิดว่าปวีราเองก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
“ครับ”
ปัญญ์พยักหน้า จากนั้นถึงได้เดินเข้าไปในห้อง
ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งแตะบนหลังนรมน ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงนรมนเข้าไปในอ้อมกอด กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้นรมนรู้ในทันทีว่าคนที่อยู่ข้างหลังคือใคร
“ทำอะไรเนี่ย?”
เธอดิ้นออกจากอ้อมกอดของบุริศร์ อย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
สีหน้าของบุริศร์ทอแววย่ำแย่
“คุณกอดเขาสามสิบกว่าวินาที! นรมน ปัญญ์เป็นผู้ชายนะ!”
“แล้วยังไง?”
นรมนเอ่ยถามอย่างเรียบนิ่ง ดวงตาฉายแววไม่พอใจ
บุริศร์รู้สึกหัวร้อนขึ้นมาทันที
“แล้วยังไงงั้นเหรอ? คุณไม่เคยกอดผมอย่างนั้นบ้างเลย!”
“ใช่ไง ฉันไม่เคยกอดแขนคุณแล้วพาเดินออกไปข้างนอก ขนาดปัญญ์เป็นผู้ชายใครๆก็ดูออกว่าไม่มีอะไร แต่กับหงส์ที่เป็นผู้หญิงใครบางคนดันดูไม่ออกซะงั้น”
พูดจบนรมนก็ก้าวเดินออกไป
บุริศร์นิ่งไปเล็กน้อย ชั่ววินาทีก็เข้าใจอะไรบางอย่าง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“คุณหึงเหรอ?”
“หึงกับผีน่ะสิ”
นรมนพูดออกมาอย่างปากไม่ตรงกับใจ
บุริศร์เดินตามมา แล้วกอดเธอเอาไว้จากข้างหลังอย่างหน้าด้านๆ พูดกลั้วยิ้มว่า “ผมชอบเห็นคุณหึง”
“บุริศร์ คุณประสาทหรือไง? ปล่อยฉัน! ตอนนี้เราอยู่ที่บ้านคนอื่นนะ หัดมียางอายหน่อยได้ไหม?”
นรมนดิ้น ทว่ากลับได้ยินบุริศร์พูดว่า “บ้านคนอื่นอะไรกัน? นี่มันบ้านพี่เขยไม่ใช่เหรอ? ก็เหมือนบ้านตัวเองแหละน่า ตอนอยู่บ้านตัวเองก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย อีกอย่างผมจะกอดเมียผม คนอื่นจะกล้ามาว่าอะไรได้?”
“พี่เขย? บุริศร์ แปลว่าคุณยอมรับแล้วใช่ไหม?”
ตอนนี้พอนรมนได้ยินบุริศร์เรียกจวัตณ์ว่าพี่เขยแล้วทำไมรู้สึกจั๊กจี้ชอบกลนะ?
บุริศร์เพียงแค่ยิ้มออกมา จากนั้นก็อุ้มนรมนเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“วางฉันลงนะ!”
นรมนรู้สึกว่านับวันบุริศร์ก็ยิ่งใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ด้านบุริศร์กลับส่งเสียงพูดออกมาว่า “อย่าเสียงดังสิ จะเรียกคนอื่นมาฟังที่เราทำกันเหรอ?”
“คุณ……”
นรมนไม่รู้จะมองหน้าคนหน้าหนาอย่างเขายังไงให้ติด
บุริศร์อุ้มนรมนเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ปิดประตู แล้ววางเธอลงบนเตียงพร้อมกับพูดว่า “หงส์มาหาผมเพราะมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ”
“ช่วยอะไร? ทำไมฉันดูไม่เห็นออกว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ?”
นรมนยังพูดอย่างฟึดฟัด
บุริศร์หลงท่าทางหึงหวงของนรมนแทบหัวปักหัวปำ แต่ก็ไม่ให้มันมากเกินไป เขายังรู้จักขอบเขต
“จวัตณ์ขังเธอ เธอมาขอให้ผมช่วย”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนชะงักไปเล็กน้อย
“พี่ชายฉันขังเธอ? มุกตลกอะไรเนี่ย? คุณเคยเห็นคนถูกขังที่ไหนเดินว่อนไปทั่วแบบนี้ได้ไหม?”
นรมนแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อข้ออ้างนี้
บุริศร์พูดเสียงต่ำว่า “แม้มันอาจจะเป็นการทำให้คุณหึง แต่เหมือนจะเป็นจริงนะ จวัตณ์ออกคำสั่ง ว่าไม่ให้หงส์ออกไปนอกคฤหาสน์ตระกูลแหลมวิไลจริงๆ”
“เป็นได้ยังไง? พวกเขาเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างพวกเขาก็ทำแบบนั้นกันแล้ว พี่ชายฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้นหรอก”
นรมนพูดเข้าข้างจวัตณ์โดยอัตโนมัติ
บุริศร์รู้สึกหึงเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโต้เถียงกัน ทำได้แค่พูดเสียงต่ำว่า “ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง เดี๋ยวถ้าจวัตณ์ตื่นขึ้นมาแล้ว คุณไม่ลองไปถามเขาดูล่ะว่าระหว่างเขากับหงส์มันเรื่องอะไรกันแน่? ถึงยังไง เธอก็คือหัวหน้าหน่วยสหภาพQT ของผม จวัตณ์กักขังหัวหน้าหน่วยของผมเอาไว้อย่างนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนถูกหยามหน้าเหมือนกันนะ”
สหภาพQTบริหารดูแลโดยวินเซนต์มาตลอด ไม่บ่อยนักที่บุริศร์จะพูดว่าสหภาพQTเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้จำเป็นต้องพูดออกมาอย่างนี้เพื่อหงส์
เขาไม่ได้รู้สึกในเชิงนั้นกับหงส์ แต่เป็นความรู้สึกในเชิงพี่น้อง หลายปีที่ผ่านมาทั้งสองคนร่วมรบร่วมปีนป่ายซากศพท่ามกลางสงครามมาด้วยกัน ความรู้สึกผูกพันจึงมีอยู่ระหว่างทั้งสองคน
น้อยครั้งที่เขาจะเห็นหงส์ร้องไห้ แต่ว่าเมื่อสักครู่ตอนที่คุยกับเขาอีกฝ่ายถึงกับเสียน้ำตา ท่าทางน่าสงสารนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ
อย่างอื่นจะไม่พูดถึง แค่เรื่องที่หงส์ทำเพื่อสหภาพQTก็เพียงพอทำให้เขามองอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวที่ติดตามช่วยเหลือเขาทุกอย่าง
เหมือนกับกลัวว่านรมนจะเข้าใจผิด บุริศร์จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “หงส์เป็นเหมือนน้องสาวของผม ผมเป็นคนเก็บเธอมาฝึกฝนเองกับมือ อีกอย่างพวกเราก็เคยสู้รบด้วยกัน หลายครั้งที่เธอช่วยชีวิตผมเอาไว้ ตอนนี้เธอมาขอความช่วยเหลือกับผม ผมจะไม่สนใจไม่ได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หงส์ออกปากขอร้องผมอย่างนี้”
นรมนรู้ว่าหงส์มีบุญคุณช่วยชีวิตบุริศร์เอาไว้ แม้ว่าจะไม่ค่อยสบายใจที่หงส์คิดอะไรกับบุริศร์ แต่อันที่จริงเธอก็รู้ว่าหงส์ตัดใจได้แล้ว แต่เป็นเธอที่หลอนไปเองมากกว่า
เมื่อได้ยินที่บุริศร์พูดมาอย่างนี้ นรมนเองก็เป็นผู้หญิง จึงเข้าใจความรู้สึกที่ผู้หญิงถูกบังคับเป็นอย่างดี อีกอย่างผู้หญิงรักในศักดิ์ศรีอย่างหงส์ก็คงรับไม่ได้ที่ต้องมาเป็นนกในกรงแบบนี้
“ได้ ถ้าพี่ชายฉันตื่นขึ้นมาฉันจะถามแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
นรมนพยักหน้า พร้อมกับตอบตกลง
บุริศร์ถึงได้วางใจลง
ถ้าเขาไปหาจวัตณ์เองเขาต้องใช้กำลังแน่ๆ และถ้าเขาทำอย่างนั้น จวัตณ์ก็อาจจะเข้าใจผิดว่าเขาคิดอะไรกับหงส์ อย่าเพิ่งพูดถึงความรู้สึกที่จวัตณ์มีต่อหงส์เลย เอาแค่ที่เขาเป็นพี่ชายของนรมน แล้วมาเห็นว่าสามีของน้องสาวออกหน้าเพื่อผู้หญิงคนอื่น เป็นใครก็คงเดือดดาล
ดังนั้นเรื่องนี้ให้นรมนไปถามเองน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว
บุริศร์กอดนรมนเข้ามา แล้วพูดเสียงเบาว่า “ที่รัก ไหนๆจวัตณ์ก็ยังไม่ตื่น ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ เรามาทำเรื่องอะไรสนุกๆไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่เอา”
นรมนไม่อยากตามใจบุริศร์
กลางวันแสกๆแบบนี้ ทำไมบุริศร์หน้าด้านหน้าทนขนาดนี้นะ
“ฉันยังไม่เคยเห็นคฤหาสนน์ตระกูลแหลมวิไลเลย ฉันจะออกไปเดินชมสักหน่อย”
นรมนพูดจบก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
บุริศร์ฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็หยิบเสื้อตัวนอกขึ้นมาแล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ออกไปข้างนอกใส่เสื้อหนาๆหน่อยไม่ได้เหรอ? ที่นี่ไม่ได้หนาวน้อยไปกว่าเมืองชลธีนะ ถ้าเกิดเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง?”
บุริศร์ค่อนข้างเป็นห่วง
นรมนกลับพูดออกมาอย่างไม่สนใจว่า “ไม่เป็นไรน่า พี่ชายฉันเป็นหมอ ถ้าป่วยพี่ชายฉันก็รักษาได้”
สีหน้าของุบริศร์มืดครึ้มลงทันที
“พูดอย่างกับคนที่ต้องฉีดยากินยาไม่ใช่คุณอย่างนั้นแหละ”
คำพูดประชดประชันของบุริศร์ทำให้นรมนเงียบปากในทันที
โอเค เธอกลัวการฉีดยาแล้วก็กินยาจริงๆนั่นแหละ เธอจึงยอมหยิบเสื้อตัวนอกมาใส่แต่โดยดี จากนั้นก็จูงมือบุริศร์เดินออกไปข้างนอก แต่กลับพบว่าบรรยากาศของตระกูลแหลมวิไลไม่ค่อยปกติ