แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1477 คนอย่างเจตต์ไม่แคร์
บุริศร์รู้สึกว่าเรื่องนี้ท่าไม่ดีแล้ว
“ฉันจะไปสืบหน่อย ช่วงนี้ลูกไม่มีธุระอะไรใช่มั้ย”
“ไม่มีครับ ทำไมเหรอ”
กานต์ยังรู้สึกเสียใจ
เขากับกมลอยู่ในท้องแม่ตั้งเก้าเดือน ทำไมตอนนี้ถึงได้เทียบกับคนนอกไม่ได้ล่ะ
บุริศร์ไม่สนตอนนี้กานต์คิดยังไง พูดทันที “คุณอานภดลไปประเทศF ฉันติดระบบติดตามที่ตัวเขาแล้ว ลูกช่วยดูหน่อยละกัน ฉันจะไปจัดการเรื่องกมลหน่อย”
“ได้เลย คุณบุริศร์ รับกมลกลับมาจะดีที่สุด พวกเราเมืองชลธีใช่ว่าไม่มีชั้นเรียนดนตรี”
กานต์ออกความเห็น
“อึม จริงสิ ลูกสาวอยู่ข้างตัวจะปลอดภัยหน่อย”
บุริศร์รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว จึงออกไปทันที
กานต์ค่อยวางใจได้หน่อย
มีคุณบุริศร์ออกโรงเอง ธนธีนั่นคงจะสู้ไม่ไหวแล้ว เขาจำได้คนที่กมลรักที่สุดก็คือแด๊ดดี้
กมลยังไม่รู้แด๊ดดี้ของตัวเองกับพี่ชายร่วมมือกัน คิดจะถอนรากต้นอ่อนของเธอ ตอนนี้ยังเต็มอกเต็มใจตามธนธีไปดูคอนเสิร์ต
นรมนนอนหลับไม่สนิทนัก ถูกปลุกขึ้นมาอย่างประหลาด ตื่นแล้วก็นึกไม่ออกตัวเองฝันร้ายอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าทั้งตัวเหนอะหนะ หน้าผากมีแต่เหงื่อผุด
เธอเรียกมิลินหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า จากนั้นถึงสังเกตเห็นกานต์ไม่อยู่แล้ว
“กานต์ล่ะ”
“เขาอยู่ที่ห้องหนังสือ อาจจะมีธุระมั้งคะ ไม่ให้พวกเรารบกวนเขาค่ะ”
นรมนวางใจพฤติกรรมลูกชายของเธอ
“คอยดูให้หน่อยละกัน คอยเอาของกินให้เขา”
“ค่ะ”
มิลินตรวจให้นรมน พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ออกไป
กานต์รีบเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เห็นจุดแดงเล็กๆ บนหน้าจอกำลังเคลื่อนที่ ก็เริ่มตรวจสอบเส้นทางของจุดสีแดงนั้น
เขาจู่ๆ ก็พบว่าจุดแดงนี้เหมือนไม่ได้ออกจากเมืองชลธีไปประเทศF บินออกไปช่วงเวลาหนึ่งก็ย้อนกลับมา หยุดที่ตำแหน่งหนึ่งราวสิบนาทีถึงค่อยบินกลับมา
กานต์รู้สึกว่าเวลาสิบนาทีอาจจะเป็นจุดสำคัญ
เขารีบเคาะแป้นพิมพ์ ตรวจสอบตำแหน่งที่เมื่อครู่หยุดสิบนาที ก็พบว่าที่นั่นคือสถานพักฟื้นแห่งหนึ่ง อีกอย่างสถานพักฟื้นแห่งนี้ดูเหมือนจะคุ้นตา
กานต์ขยายภาพสถานพักฟื้นและตำแหน่งให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายตอนที่เห็นตัวหนังสือก็ตกตะลึง
เหลือเชื่อสถานพักฟื้นแห่งนี้คือที่แม่ของเจตต์เคยรักษาตัว
หรือพูดได้ว่าคือสถานที่เทย่าแกล้งเป็นบ้าสิบกว่าปี
ถ้าหากเทย่าเป็นแค่แม่ของเจตต์เท่านั้นก็ไม่มีอะไร แต่กานต์พอจะรู้มาบ้างเบื้องหลังของเทย่าคืออะไร
เขารู้สึกว่าเครื่องบินที่พานภดลไปสถานพักฟื้นอาจจะซ่อนเรื่องอะไรบางอย่าง
กานต์รีบวิ่งออกจากห้อง ตรงไปหานรมน
“หม่ามี้ ผมมีเรื่องจะบอกครับ”
“มีอะไรจ๊ะ ค่อยๆ พูด ดูสิเหงื่อเต็มเลย”
นรมนเห็นกานต์เหงื่อออกเต็มหน้า ก็รีบกระดาษเช็ดหน้าให้เขา
กานต์ไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ ใช้มือถือที่แคปภาพที่ตัวเองสังเกตเห็นเมื่อกี้ส่งให้นรมน
“หม่ามี้ คุณอานภดลถูกดร.ฐานทัตพาไปแล้วออกจากเขตเมืองชลธี แต่เขาย้อนกลับมาอีก อาจจะเพื่อหลอกล่อก็ได้ อีกอย่างพวกเขาหยุดที่สถานพักฟื้นนี้ตั้งสิบนาที ผมไม่รู้ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่คุณอานภดลจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า ไม่ได้ถูกพาออกนอกประเทศ”
กานต์เล่าการคาดเดาของตัวเองให้นรมนฟัง
นรมนตะลึง
สถานที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ปลอดภัยที่สุด หรือว่าอีกฝ่ายวางแผนอย่างนี้หรือเปล่า
เธอขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“แด๊ดดี้ล่ะ”
กานต์ตะลึง นึกถึงบุริศร์ไปจัดการเรื่องกมล แต่เขาไม่อยากเล่าเรื่องกมลให้หม่ามี้ฟัง จึงพูดขึ้น “บริษัทแด๊ดดี้มีธุระนิดหน่อย ไปจัดการก่อน ให้ผมดูแลที่นี่ครับ”
นรมนรู้ฝีมือของลูกชายดีจึงเชื่อเขา ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่กระซิบถาม “ลูกเป็นเด็กควรจะทำเรื่องของเด็ก เรื่องนี้…”
“หม่ามี้ ผมอยากช่วยครับ อีกอย่างผมไม่ออกไปข้างนอก ก็แค่เคาะแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ไม่ลำบาก ไม่อย่างนั้นผมก็เล่นคอมพิวเตอร์อยู่ดี”
กานต์รู้ว่านรมนหวังว่าตัวเองจะมีวัยเด็กธรรมดาๆ แต่เขาลองแล้ว มันน่าเบื่อมาก สู้ทำเรื่องที่ตัวเองชอบดีกว่า
ได้ยินลูกชายพูดอย่างนี้ นรมนก็ไม่ห้ามอีก เธอหวังว่ากานต์จะใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แต่จะบังคับไม่ได้ ถ้าลูกชายชอบ เขาอยากใช้ชีวิตแบบไหน นรมนก็เคารพการตัดสินใจของเขา
“เรื่องนี้ลูกมีความเห็นยังไงบ้าง”
คำถามของนรมนทำให้กานต์ชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “ผมไม่รู้ครับ ผมแค่รู้สึกว่าที่นี่มีเบาะแสบางอย่าง บางทีเราอาจจะส่งคนไปดูหน่อย”
“ถ้าเราส่งคนไปดูจะแหวกหญ้าให้งูตื่น”
นรมนรู้ดีส่งคนไปตรวจสอบเป็นวิธีการดีที่สุด แต่อย่างนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ไม่แน่อาจเดาได้ว่านภดลมีระบบระบุตำแหน่ง ถึงตอนนั้นนภดลอาจจะเป็นอันตราย
กานต์ได้ยินหม่ามี้พูดอย่างนี้ ก็อดกังวลไม่ได้
“งั้นทำไงดีครับ ถ้าหากเป็นอย่างที่ผมคิด คนของพวกเราไม่ถูกดึงไปที่อื่นแล้วหรือ”
เรื่องนี้หม่ามี้จะจัดการเอง ลูกกลับไปจับตาดูทิศทางของจุดสีแดงก่อนได้มั้ย”
นรมนกับกานต์ต่างไม่โง่ แม้ว่าจุดแดงจะหยุดที่สถานพักฟื้นสิบนาทีแล้วค่อยไป อีกทั้งจุดแดงยังกะพริบตลอด ไม่แน่อีกฝ่ายพบว่าที่ตัวนภดลมีระบบระบุตำแหน่งและใช้ประโยชน์จากมันทำให้พวกเขาเข้าใจผิด
แต่ดูเหมือนนรมนจะมีความคิดอื่น
กานต์ไม่พูดอะไรอีก พยักหน้าแล้วกลับไปที่ห้องหนังสือ
นรมนหยิบมือถือมาโทรหาเจตต์
“พี่คะ ทำอะไรอยู่”
“ไม่ได้ทำอะไร เป็นเพื่อนพี่สะใภ้เธอช็อปปิ้ง มีอะไรเหรอ”
เจตต์แปลกใจมากที่ได้รับโทรศัพท์จากนรมน ในเมื่อตอนนี้เธอยิ่งกว่าสัตว์คุ้มครองเสียอีก ยิ่งต้องระวังดูแลครรภ์ ไม่มีเรื่องอะไรไม่มีทางโทรหาพวกเขา
นรมนครุ่นคิดนิดหนึ่ง พูดขึ้น “พี่คะ หลังจากแม่ของพี่เสียเคยไปที่สถานพักฟื้นอีกมั้ยคะ”
เจตต์ตะลึงทันที
แม่คำนี้สำหรับเขาแล้วคือการทำร้าย เขาเพิกเฉยคนคนนี้โดยอัตโนมัติ และไม่คิดจะพูดถึง แต่ตอนนี้จู่ๆ นรมนก็พูดถึง ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ
แต่เขาก็รู้ดี นรมนไม่มีทางพูดถึงเทย่าโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เขาจึงสะกดความเจ็บปวดไว้ ถามเสียงเบา “ทำไมพูดถึงเธอล่ะ”
“วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย อาจจะเกี่ยวกับเธอ”
นรมนเล่าเรื่องของนภดล
เจตต์หรี่ตานิดๆ
“เธอสงสัยอะไร”
“ตอนที่เธอตายพ่อที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ปรากฏตัว และสถานพักฟื้นก็เป็นฐานลับของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าคนในสถานพักฟื้นใช่คนของเธอหรือไม่ บางทีอาจจะเป็นคนของตาของนาย”
“ตาฉันมีแค่คุณท่านตนุวรคนเดียว”
เจตต์ขัดคำพูดของนรมนทันที
ไม่ว่าพ่อแท้ๆ ของเทย่าคือใคร เจตต์ยอมรับคุณท่านตนุวรเป็นคุณตาคนเดียว
ตาที่ไม่สนใจลูกสาวตัวเองเป็นตาย ไม่สนใจความเป็นความตายของหลายชายสมควรเป็นตาหรือ
คนอย่างเจตต์ไม่แคร์!
นรมนถูกตัดบทอย่างนี้ ก็เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไร รีบขอโทษเขา
“ขอโทษค่ะ พี่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ฉันเข้าใจ เธออยากจะถามว่าสถานพักฟื้นอาจจะเป็นฐานลับของผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า แต่ครั้งนี้บางทีดร.ฐานทัตอาจจะไม่ได้ร่วมมือกับพวกสมชัยจากประเทศF โยนระเบิดควันใส่พวกเรา ที่จริงเขาอาจจะร่วมมือกับพ่อของแม่ฉันใช่มั้ย”
เจตต์หัวไวมาก
นรมนพูดตรงๆ “ใช่แล้ว ฉันสงสัยอย่างนี้แหละ แต่ตอนนี้ไม่มีหลักฐาน อีกอย่างจุดแดงยังเคลื่อนไหว ทิศทางกลับไปประเทศF”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ใช้เครื่องบินส่วนตัวขัดขวางเครื่องบินที่มีจุดสีแดงโดยตรง อีกด้านฉันจะไปสถานพักฟื้นหน่อย สถานการณ์เป็นยังไงก็จะรู้ชัดเอง”
คำพูดของเจตต์ทำให้นรมนค่อนข้างกังวล
“พี่คะ ฉันไม่อยากให้พี่กลับไป ฉันแค่อยากจะถามว่าพี่มีคนรู้จักในสถานพักฟื้นหรือเปล่า ลองเลียบเคียงถามดู ตอนนี้พี่กลับไปจะอันตรายมากเกินไป คนนั้นไม่รู้สึกเป็นญาติมิตรอะไรกับคุณน้าเทย่า กับพี่ยิ่งไม่ใช่ ถ้าเกิดฉันเดาถูกขึ้นมาจริงๆ ละก็ ครั้งนี้พี่ไปจะไม่เท่ากับติดกับดักหรือ”
นรมนไม่อยากให้เจตต์เสี่ยงอันตราย
แต่สถานพักฟื้นแห่งนั้นไม่มีใครรู้จักดีเท่ากับเจตต์แล้ว คนข้างในนั้นน่าจะมีหูตาของเจตต์
เจตต์ได้ยินนรมนเป็นห่วงตัวเอง ก็ยิ้มที่มุมปาก
“ความรู้สึกที่เธอเป็นห่วงไม่เลวเลย”
นรมนมุมปากกระตุก
“เจตต์ สมองกลวงหรือไง ตอนนี้ถ้าพี่เกิดเรื่องเมียพี่จะทำยังไง ทำไมสมองพี่ถึงไม่เหมือนคนอื่นเนี่ย”
เสียงของนรมนดังมาก ทำให้เจตต์ตกใจจนต้องรีบดึงมือถือออก จากนั้นก็มองเห็นใบหน้าของขวัญตามองเขาสงสัย เจตต์รู้สึกร้อนตัวและสำนึกผิด
“เธอเป็นผู้หญิงท้องพูดเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไง โวยวายอย่างนี้ เกิดมีผลต่อหลานฉันจะทำยังไง บุริศร์ไม่รู้จักดูแลเธอหรือไง”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย ฉันเตือนก่อนนะ เจตต์ ตอนนี้พี่มีครอบครัวแล้ว ห้ามหัวร้อนทำเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด พี่อย่าลืมตอนนี้พี่เป็นสามี เป็นหลักให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะทำเรื่องอะไรต้องคิดถึงเมียด้วย บางทีวันนี้ฉันไม่ควรโทรมา”
นรมนชักจะโมโห
แต่งงานแล้ว ทำไมไม่โตเป็นผู้ใหญ่สักทีนะ
ถ้าเธอคือขวัญตา ยืนในจุดยืนของขวัญตา เธอจะเสียใจมากแค่ไหน
นรมนจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองผิดต่อขวัญตา
เจตต์ฟังออกว่านรมนโกรธแล้ว ก็รีบพูด “ฉันแค่ล้อเธอเล่น ทำไมเธอท้องแล้วล้อเล่นไม่ได้ ก็ได้ๆๆ ฉันรับปาก รับรองว่าจะไม่ทำเรื่องมุทะลุบ้าบิ่นพอใจยัง”
ได้ยินเจตต์พูดอย่างนี้ นรมนยังคงไม่ค่อยวางใจ “พี่สาบานมาก่อน ห้ามไปสถานพักฟื้นคนเดียว และห้ามเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่คำนึงความปลอดภัยของพี่สะใภ้ ฉันโทรมาหาพี่ก็เพราะหวังว่าพี่จะมีสายข้างในที่จะให้ข้อมูลได้ ไม่ใช่ต้องการให้พี่บุกตะลุยโจมตีศัตรู เข้าใจมั้ยคะ”