แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1529 แน่นอนว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
“ทุกคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง คิดว่าต่อไปจะทำยังไงต่อเถอะ เรื่องนี้มันแค่เริ่มต้น ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ต่อไปอาจจะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นอีกในครั้งต่อไป”
บุณพจน์ใจเย็นกว่าบุริศร์มากนัก
เหมือนว่าสิ่งนี้เขาจะเดินตามฉัตรพลมากไป เขาเย็นชาเล็กน้อย จะบอกว่าเขาเลือดเย็นก็ได้ หรือเย็นชาก็ช่าง สิ่งที่เขาห่วงใยตอนนี้ก็คือครอบครัวของเขาเท่านั้น ส่วนคนอื่น ถ้าอยู่รอดบนโลกนี้ไม่ได้ก็โทษตัวเองที่ไร้ความสามารถ ใครก็ไม่ใช่พระมหาไถ่ ไม่มีเวลาเหลือและจิตใจที่คิดจะดูแลผู้อื่น
ดวงตาของบุริศร์ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะพบเจอพิษกู่ที่เมืองชลธี”
“นายไม่เคยคิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริง นายลองคิดดูตั้งแต่20กว่าปีก่อนตระกูลโตเล็กก็ถูกคนวางแผนทำร้าย เห็นได้ว่าเมืองชลธีไม่ใช่เมืองแห่งความฝันตั้งนานแล้ว ฉันแค่สงสัยนิดหน่อย ใครกันที่จะสามารถเล่นพิษกู่ได้อย่างนี้ หรือว่าคนอื่นในหมู่บ้านดารายนยังมีชีวิตอยู่”
คำพูดของบุณพจน์ทำให้บุริศร์ส่ายหน้า
“ไม่มีทาง ถ้าหากคนอื่นยังมีชีวิตอยู่ เวลานานขนาดนี้แล้วก็คงกลับมาหาผม”
“ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่อยากให้นายรู้ละ?”
บุณพจน์มองไปทางบุริศร์ ก่อนพูดเสียงต่ำว่า “บางครั้งไม่ควรละเลยการระมัดระวังตัวไปเพราะชีวิตสบายแล้วหรอกนะ หากเรื่องของวันนี้พิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของเจตต์ นายจะออกไปจากเมืองชลธีไหม?”
“ใช่สิ เจตต์เป็นพี่น้องกับผม เป็นพี่ชายของนรมน ถึงแม้จะทะเลาะกับเขามาหลายปี แต่เขาก็เสี่ยงตายไปช่วยผมออกมาจากคุก และเกือบจะสูญเสียขาของเขา บุญคุณนี้ผมไม่ตอบแทนไม่ได้หรอก”
บุริศร์ไม่มีความลังเล
บุณพจน์หรี่ตา ก่อนจะพูดเสียงขรึม “ต้องการใช้ที่ของฉันก็รีบบอกแล้วกัน”
ที่จริงแล้วบุริศร์รู้ว่านำบุณพจน์ไปด้วยจะดีที่สุด เพราะการกำจัดพิษกู่ของมิลินไม่ดีเท่าบุณพจน์ แต่ตอนนี้พรวลัยก็ตั้งครรภ์ได้5เดือนแล้ว เธอก็ต้องการการดูแลจากบุณพจน์เช่นกัน ถ้าตอนนี้บุณพจน์ไม่อยู่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรบุริศร์คงไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้
“ท้องของพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว ไปตรวจมาหรือยัง?”
บุริศร์รีบเปลี่ยนหัวข้อ
บุณพจน์เข้าใจในทันใด ดวงตาเขาสั่นเล็กน้อย แต่กลับมีร่องรอยของความปีติยินดี
“ไปตรวจมาแล้ว เขาว่าเป็นท้องแฝด เมื่อก่อนเด็กสองคนแบกเด็กอีกคนไว้บนหลัง เลยมองไม่ชัด ตอนนี้มองเห็นชัดแล้ว แต่มีคนหนึ่งตัวเล็กเกินไป ไม่รู้ว่าจะรอดไหม”
เมื่อพูดถึงเรื่องลูกตัวเอง บุณพจน์กลับรู้สึกเศร้าและกังวล
บุริศร์เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดโน้มน้าวเขาอย่างไรเช่นกัน ไม่ง่ายเลยสำหรับบุณพจน์ที่จะทอดทิ้งลูกของตัวเอง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ตระกูลโตเล็กก็เป็นความมั่นใจของบุณพจน์
“ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก ทุกสิ่งอย่างมีตระกูลโตเล็กคอยสนับสนุน”
คำพูดของบุริศร์ทำให้บุณพจน์นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นมา
“นายเชื่อใจฉันขนาดนี้ นายไม่กลัวว่าฉันจะฮุบตระกูลโตเล็กทั้งหมดเหรอ?”
“ถ้าอยากได้ ก็ไม่เป็นไรที่จะให้พี่”
บุริศร์ไม่สนใจ
เงิน เขามี เขาไม่สนใจความมั่งคั่งของตระกูลโตเล็ก ถึงแม้เขาจะไม่มีเงินติดตัวสักแดง เขาก็มั่นใจในความสามารถของตัวเอง ว่าจะสามารถทำให้เมียและลูกๆของเขาอยู่อย่างสุขสบายได้
เขามั่นใจ!
บุณพจน์ยิ้มอ่อน “ฉันไม่ต้องการหรอก นายรีบไปจัดการเรื่องของตระกูลโตเล็กให้ดี ถ้าเมียฉันคลอด ฉันต้องเป็นพ่อที่ดี”
“อืม”
บุริศร์ยิ้มขึ้นมาในทันใด
ไฟลุกโหมเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ไฟจะดับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยคลุ้งไปทั่วทุกที่ บุณพจน์โรยผงแป้ง ก่อนจะออกมาจากตระกูลปวนะฤทธิ์พร้อมกับบุริศร์
ธเนศพลกับวิสุทธิ์รออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นพวกเขาออกมาแล้วต่างก็พากันถอนหายใจ
“เป็นอะไรไป? พวกนายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของธเนศพล บุริศร์ก็ส่ายศีรษะ บุณพจน์ไม่ได้พูดอะไร เขาตบฝุ่นบนตัวของบุริศร์ ก่อนจะพูดว่า “ฉันกลับก่อนนะ งานที่บริษัทเยอะมาก ถ้านายเสร็จแล้วก็รีบกลับมาจัดการละ ฉันไม่ได้วางแผนที่จะทำงานให้นายตลอดเวลา”
บุณพจน์พูดจบก็เดินจากไป
ธเนศพลชอบเขาเล็กน้อย
“นิสัยของพี่ชายนายไม่เลวเลย คราวหลังช่วยถามให้ฉันหน่อยสิว่าอยากมากับฉันไหม?”
“ลืมเรื่องนี้ไปซะ หลังจากเสร็จเรื่องของตระกูลปวนะฤทธิ์แล้วนายก็วางแผนออกไปได้แล้ว”
บุริศร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อพูดออกมาอีกครั้งธเนศพลก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใหญ่มากนัก
“คิดดีแล้ว?”
“อืม เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าผลประโยชน์ของประเทศยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ตอนนี้ฉันแค่อยากให้ลูกหลานในครอบครัวของฉันมีความสุข”
ทุกคนต่างก็มีความฝันของตัวเอง ไฉนเลยธเนศพลจะไม่อยากมีชีวิตธรรมดาเหมือนคนทั่วไปกัน? ทำอย่างไรได้ฐานะของเขาไม่ได้เหมือนบุริศร์ที่คิดจะวางก็วางได้ อย่างไรก็เกิดมาไม่เหมือนกัน
“ฝากชีวิตฉันไว้ที่นายด้วย”
คำพูดของธเนศพลเศร้าโศกมาก
บุริศร์ไม่ได้พูดอะไร วิสุทธิ์ก็เงียบไป
ทั้งสามมองไปทางตระกูลปวนะฤทธิ์ ท้ายสุดธเนศพลก็พูดขึ้นมาว่า
“ฉันอาจจะต้องกลับไป เดี๋ยวก็ไปแล้ว นายจำไว้นะว่าถ้าที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นให้โทรหาฉัน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร อย่ารบกวนจณัตว์ ในเมื่อเขาต้องการที่จะตาย ก็ให้เขาตายอย่างสงบหน่อย อย่าให้กังวล”
บุริศร์พยักหน้า
เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมาถึงยอดศีรษะของเขาแล้ว ธเนศพลมองไปยุงบุริศร์ ก่อนพูดเสียงต่ำ “ฉันหวังว่านายจะคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย ให้ฉันพากานต์กลับไปสักสองสามวัน”
“คิดแบบไม่ต้องคิดเลยนะ รีบไสหัวไป”
เมื่อตะกี้บุริศร์เพิ่งไม่อยากจะจากกัน ตอนนี้เขาแทบอยากจะเตะธเนศพลให้บินไป
วิสุทธิ์เม้มปากยิ้ม และตามธเนศพลไป
บุริศร์กลับไปยังบ้านตระกูลโตเล็กคนเดียว
นรมนรีบออกมาต้อนรับ
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
“จัดการหมดแล้วละ ไม่เจอคุณท่านขันธ์ชัย พี่ชายผมส่งข่าวให้เขาแล้ว คุณท่านขันธ์ชัยอยู่บนทะเล ดังนั้นเลยไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้ก็ต้องพยายามหาว่าเจตต์อยู่ที่ไหน ขวัญตาเป็นยังไงบ้าง”
บุริศร์นำเรื่องมาพูดอย่างเร็ว
นรมนขมวดคิ้ว ก่อนถาม “พี่ใหญ่กับคุณท่านขันธ์ชัยคุยกันผ่านโทรศัพท์?”
“เปล่านะ ติดต่อทางข้อความ มีอะไรเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นคุณมั่นใจได้ยังไงคะว่าคนที่ตอบกลับมาคือคุณท่านขันธ์ชัย?”
เมื่อนรมนพูดเช่นนี้ บุริศร์ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งไป
จริงสิ
เพียงแค่มีคนรู้รหัสโทรศัพท์ของคุณท่านขันธ์ชัย ตอบข้อความก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคุณท่านขันธ์ชัยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ชัดเจน
ตอนนี้จะทำยังไง?
“ผมจะไปค้นหาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเจตต์อีกครั้ง”
ตอนนี้บุริศร์ทำได้เพียงหาจุดทะลวงได้ตั้งแต่ข้างบนเท่านั้น
“ผมจะช่วยครับ”
กานต์ก็ลุกขึ้น
ครั้งนี้บุริศร์ไม่ปฏิเสธ ร่างเล็กและร่างใหญ่พากันไปห้องทำงาน
กมลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเธอได้รู้ว่าพี่ดนัยออกไปจากเมืองชลธี จิตใจของเธอก็รู้สึกตกต่ำนิดหน่อย ตอนนี้เมือเห็นในบ้านเกิดเรื่อง สิ่งที่เธอทำได้ก็คือดูแลน้องชายสองคน
“หม่ามี้ ช่วงนี้ภาคินนอนหลับดีมากค่ะ ส่วนใหญ่นอกจากกินนมก็นอน จะทำให้สุขภาพไม่ดีไหมคะ?”
กมลดูแลน้องชายทั้งสองตลอด เธอได้พบว่าน้องชายคนโตนั้นนอนทั้งวัน กินแล้วก็นอน ส่วนน้องชายคนเล็กกลับมีชีวิตชีวา มีครู่หนึ่งที่เธอรู้สึกกังวลและกลัวเล็กน้อย
นรมนลูบหัวเด็กหญิง เธอยิ้มขำพลางพูด “เด็กน้อยก็แบบนี้ รอพวกเขาโตอีกหน่อยก็โอเคแล้ว”
“แต่น้องชายคนเล็กกลับซนมาก เล่นกับหนูตลอด”
เมื่อพูดถึงภาณ ระหว่างคิ้วของกมลก็มีรอยยิ้ม
ดูก็รู้ว่าเธอชอบน้องสองคนนี้มากแค่ไหน
“นิสัยของฝาแฝดไม่อาจเหมือนกันได้ ดังนั้นเพียงแค่เขาไม่ร้องไม่โวยวายก็ไม่มีอะไร ดูแลน้องชายคนเล็กเหนื่อยมาก ลูกไปพักผ่อนสักนิดจะดีไหม?”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูคือพี่สาว ดูแลน้องชายเป็นสิ่งที่ควรทำ”
ความคิดของกมลถูกถ่ายโอนไปยังน้องชายทั้งสองของเธออย่างสมบูรณ์ กระทั่งคลาสเรียนไวโอลินของตัวเองก็ไม่เข้า
กิจจาเห็นกมลเป็นอย่างนี้ จึงอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ในอนาคตกมลจะเป็นแม่ศรีเรือนแน่นอน”
คำพูดนี้ทำให้นรมนอยากจะหัวเราะ
เด็กน้อยพวกนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน? คิดไม่ถึงว่าจะรู้จักการเป็นแม่ศรีเรือน
นรมนไปยังห้องทารกพร้อมกับพวกเขาด้วยกัน พี่เลี้ยงที่กำลังทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เมื่อเห็นนรมนมาก็ส่งเสียงทำความเคารพเธออย่างมีมารยาทว่าคุณนายบุริศร์ มีอะไรทำก็ไปทำ
บุริศร์และกานต์อยู่ในห้องทำงานจนถึงเย็นแล้วค่อยออกมา แต่เมื่อเห็นท่าทางซึมเซาของพวกเขาแล้ว นรมนก็รู้ได้ว่ามันไม่ราบรื่น
“เอาละ มีบางเรื่องที่ไม่ใช่ว่าเราอยากจะตรวจสอบแล้วจะตรวจสอบได้เลย ตอนนี้ไปล้างมือแล้วกินข้าวกันเถอะ จากนั้นก็พักสักหน่อย แม้ฟ้าจะถล่มก็ต้องพักผ่อนใช่ไหมละ?”
นรมนรู้สึกเสียใจอย่างมากต่อกานต์และบุริศร์
ทั้งสองพ่ายแพ้เล็กน้อย ทำได้เพียงไปล้างมือและทานข้าว
กานต์รู้สึกว่าข้าวมื้อนี้ไม่ค่อยถูกปากนัก ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน แล้ว
การเรียนรู้นี่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
เขาคิดมาตลอดว่าทักษะการแฮ็กของเขาดีมาก จนกระทั่งวันนี้ถึงได้รู้ตัว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจแล้วว่าเขาจะไปทางไหนต่อ
มื้ออาหารวันนี้ช่างน่าอึดอัดใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จ นรมนกับบุริศร์ก็ออกไปเดินเล่น
“ยังแก้ไขไม่ได้เหรอคะ?”
“อีกฝ่ายแกร่งมาก”
เป็นครั้งแรกที่บุริศร์ยกย่อง แต่นรมนกลับอึดอัดใจ
กระทั่งบุริศร์ยังพูดอย่างนี้ แล้วพวกเจตต์ละพวกเขาได้พบเจออะไรกันแล้วบ้าง?
“ไม่รู้ว่าคุณชายธเนศพลกลับไปจะสามารถออกคำสั่งอะไรได้บ้าง”
“รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ให้เราสอดมือเข้าไปยุ่ง”
บุริศร์รู้ว่านรมนอยากตรวจสอบเรื่องของเจตต์ แต่ว่าเมื่อกี้นี้พวกเขาเพิ่งถูกติดต่อ ต้องกักตัวตรวจสอบ และยังเรื่องตาสีฟ้าของภาณที่ยังไขไม่กระจ่าง ในตรงนี้เบื้องบนคงไม่อาจให้พวกเขาแทรกแซงเรื่องตระกูลปวนะฤทธิ์และตระกูลรัตติกรวรกุล
ข้อตกลงที่เข้าใจง่ายก็คือ หากพวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อจับตระกูลปวนะฤทธิ์และตระกูลรัตติกรวรกุลไว้ในมือ เบื้องบนจะต้องทำอย่างแน่นอน อย่างไรตระกูลโตเล็กก็เกี่ยวข้องกับสามตระกูลใหญ่มากเกินไป คงทำให้เบื้องบนหวาดกลัวไปแล้ว
นรมนไม่ได้โง่ เธอเข้าใจคำพูดของบุริศร์โดยธรรมชาติ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของบุริศร์ เธอก็เงียบลง
บุริศร์พูด “คุณชายธเนศพลบอกว่าในเมื่อจณัตว์ต้องการตาย ก็ต้องตายอย่างสะอาดหน่อย อย่าให้เขากังวล”
นรมนรู้ ว่านี่เป็นการเตือนพวกเขาว่าคนของเบื้องบนที่เฝ้าดูจณัตว์ยังไม่ถอนตัว พวกเขาอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น
แต่เจตต์เป็นพี่ชายของเธอ และเขาต้องรู้อะไรบางอย่าง
บุริศร์กุมมือของนรมน ก่อนพูดกระซิบ “วางใจเถอะ ถ้ามีข่าวคราวอะไร คุณชายธเนศพลต้องบอกเราแน่”
นรมนพยักหน้า
ทั้งสองเดินเล่นกันต่ออีกสักพัก ก่อนจะเดินกลับ เมื่อใกล้จะถึงบ้าน จู่ๆบุริศร์ก็ได้รับโทรศัพท์จากธเนศพล