แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1546 ใครจะไปอยากเป็นลูกเขยของเขา
น้ำทำตามคำพูดของนรมน แล้วมาดูแลชมพูที่ห้องนอน ส่วนนรมนก็เองก็แค่บอกกับคนรับใช้ว่าให้เพิ่มอาหารสองสามอย่าง เพราะว่าวิสุทธิ์เคยมาพักที่บ้านตระกูลโตเล็ก แล้วชอบกินรสชาติอะไรไม่ชอบกินอะไร นรมนก็ยังพอรู้อยู่บ้าง
ผู้หญิงกำลังยุ่งอยู่ทางด้านนี้ บุริศร์และวิสุทธิ์เองก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ เฉย ๆ
ทั้งสองคนตรงไปที่ห้องหนังสือกันเลย
“ลูกชายของผมเป็นยังไงบ้าง?”
พอบุริศร์นึกถึงกานต์ ก็รู้สึกเคืองใจเล็กน้อย ลูกชายดี ๆ ของตัวเอง ทำไมจะต้องคิดสั้นตามธเนศพลไปทนทุกข์ลำบากด้วยนะ?
แต่ว่าพอผ่านเรื่องของตระกูลพรรณโรจน์บุริศร์เองก็เข้าใจแล้ว ยิ่งเป็นตระกูลยิ่งใหญ่ก็ยิ่งต้องเอาลูกหลานหลายคนแยกกันไปเลี้ยง ยังไงก็ต้องเหลือทางรอดไว้ให้ตระกูลทางหนึ่ง แต่เขาหวังว่าตระกูลโตเล็กจะไม่เดินไปถึงขั้นนั้น
วิสุทธิ์กลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “วางใจเถอะ ตอนนี้ลูกชายของคุณก็คือฟองน้ำ ยังมีโอกาสซึมซับได้อีกเยอะ”
“ผมสงสารลูกชายของผมนะ”
“ผมรู้ แต่ว่าแล้วจะยังไงล่ะ? เด็กผู้ชายยังไงก็ต้องแบกรับเยอะกว่าหน่อย ที่สำคัญยังเป็นเด็กผู้ชายของตระกูลใหญ่ บนตัวกานต์นั้นมีของที่ต้องแบกรับเยอะมาก คุณไม่ใช่ไม่รู้สักหน่อย ไม่งั้นคุณก็ให้กิจจาไปลองดูไหมล่ะ?”
คำพูดของวิสุทธิ์เพิ่งพูดจบก็โดนบุริศร์ปฏิเสธไปทันทีเลย
“เขาเป็นลูกชายคนเดียวของตรินท์ จะไปทรมานอย่างนั้นไม่ได้ กิจจาอยากจะทำอะไรก็ให้ทำ ผมสนับสนุนทุกอย่าง”
“ลำเอียง”
ถึงแม้วิสุทธิ์จะพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยข้อเสนออะไรอีก แต่พิงอยู่บนพนักเก้าอี้ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “เรื่องของธเนศพลนี้ ผมควรจะพูดยังไงดีนะ?”
“ควรจะพูดยังไงก็พูดอย่างงั้นซิ”
บุริศร์กลับยังไงก็ได้
วิสุทธิ์ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งอย่างหมดคำพูด แล้วพูดขึ้นว่า “คุณนี่มันเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งนี่เอง เรียกผมมา แล้วก็เอาเรื่องทั้งหมดผลักมาให้ผมเลยใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผมกับภรรยาผมนั้นออกมาท่องเที่ยว สามารถรวดช่วยลูกสาวและผู้หญิงของธเนศพลได้ ก็ถือว่าผมมีผลงานชิ้นเอกแล้ว สำหรับเรื่องที่เหลือ ยังจะหวังให้ผมทำอะไรอีก? อย่าลืมซะละว่า ป้องเป็นพี่น้องของผม จะให้ผมไปพังบ้านของตระกูลพรรณโรจน์เองกับมือ ผมไม่กล้าทำเรื่องนี้หรอก ที่สำคัญตอนนี้ผมก็ไม่มียศอะไรแล้ว มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมใช่ไหม?”
บุริศร์ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกโชคดีเท่าวินาทีนี้มาก่อนที่ตัวเองปลดประจำการแล้ว
วิสุทธิ์กลับยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณจะมีสถานะอะไรก็เป็นเรื่องที่คุณชายธเนศพลพูดคำเดียวไม่ใช่เหรอ? คิดว่าหนังสือขอปลดประจำการของคุณจะได้รับการเซ็นอนุมัติง่ายขนาดนั้นโดยที่ไม่มีช่องโหว่อะไรเลยเหรอ?”
พอคำพูดนี้พูดออกมา สีหน้าของบุริศร์ก็เปลี่ยนไปทันที
“ผมจะบอกคุณนะ คุณกลับไปบอกกับธเนศพล ถ้าเขาอยากจะเล่นเล่ห์เพทุบายอะไรละก็ ผมไม่รังเกียจที่จะพาลูกเมียเปลี่ยนสัญชาติมาอยู่ประเทศYหรอกนะ คุณคงจะรู้ อรรณพอยากจะให้ผมมาเป็นคนประเทศYจะแย่อยู่แล้ว”
พอคำพูดนี้พูดออกมา วิสุทธิ์ก็เคร่งขรึมขึ้นมาเลย
สถานะของอรรณพนั้นมีคนรู้เรื่องน้อยมาก แต่ว่าธเนศพลที่เป็นชนชั้นสูงนั้นไม่มีทางที่จะไม่รู้แน่ และแม้แต่วิสุทธิ์เองก็รู้ดีอยู่
แล้วบุริศร์กับอรรณพเป็นพี่น้องที่ดีกันมาหลายปีแบบนี้ เรื่องที่อรรณพเป็นองค์ชายใหญ่ของประเทศYเขาก็รู้ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าบีบคั้นเขามากจริง ๆ บุริศร์จะพาลูกเมียย้ายมาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
“นี่คุณกะว่าจะทำให้ธเนศพลโมโหจนตายใช่ไหม?”
“งั้นก็ต้องดูก่อนว่าเขาจะทำให้ผมโมโหจนตายหรือเปล่า”
บุริศร์ยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นไปอีก
“ข้างกายเขาไม่ใช่ว่าไม่มีคนอื่นซะหน่อย อย่าเอาแต่จดจ้องผมอยู่เลย ผมก็บริจาคศูนย์วิจัยไปตั้งสองสามแห่งแล้ว แถมยังให้เงินไปตั้งเยอะขนาดนั้น ยังจะให้ผมทำยังไงอีก? ตระกูลโตเล็กรับรองว่าการพัฒนาในอนาคตจะไม่คล่องเกี่ยวกับอำนาจการปกครองอะไรเลยยังไม่พออีกเหรอ? ผมเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ และอยากจะใช้ชีวิตไปกับภรรยาดี ๆ สักหน่อย”
คำพูดนี้ของบุริศร์พูดได้อย่างจริงใจมาก
ถึงแม้ว่าดูภายนอกวิสุทธิ์จะเป็นแพทย์ประจำบ้านของธเนศพล แต่ว่าก็เป็นนักยุทธศาสตร์และทีมที่ปรึกษาของธเนศพลด้วย ซึ่งทางด้านช่วยธเนศพลรวบรวมคนมีความสามารถมาก็มีวิสุทธิ์ทำมาตลอด
พอได้ยินบุริศร์พูดมาแบบนี้ ในที่สุดวิสุทธิ์ก็ยอมแพ้ไป
“คนอย่างคุณนี่หันไปทำธุรกิจมันน่าเสียดายมากเลยนะ”
“คนเราต่างมีความสามารถไม่เหมือนกัน”
อยู่ ๆ วิสุทธิ์ก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “จิ้งจอกเฒ่าอย่างคุณสามารถหลบหนีไปได้แล้ว แต่ทำไงได้ลูกชายของคุณกลับถลำเข้าไปทั้งตัวแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน คนที่ไม่ยอมให้ควบคุมอย่างคุณจากไปแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นโชคของธเนศพลแล้ว เมื่อเทียบกับการอบรมสั่งสอนคนที่เชื่อฟังคนใหม่แล้ว กานต์ก็เหมาะสมกว่าคุณมากเลย”
อยู่ ๆ บุริศร์ก็รู้สึกว่าวิสุทธิ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ช่วงน่าต่อยมากเลย
“นั่นมันลูกชายของฉันนะ!”
“แต่ไม่แน่อาจจะเป็นลูกเขยของธเนศพลก็ได้นะ ถ้าหากว่าชมพูเป็นลูกสาวของธเนศพลจริง ๆ ก็น่าจะอายุพอ ๆ กับลูกชายของคุณ ในเวลาแบบนี้หมั้นกันสักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ว่ากันว่าลูกเขยก็เป็นลูกชายครึ่งตัวแล้ว แล้วธเนศพลก็ชอบกานต์สักขนาดนั้น วางใจเถอะ ชีวิตต่อไปของเขาจะต้องไม่แย่นักหรอก”
วิสุทธิ์ยิ้มตาหยีอย่างสนุกสนาน
แต่บุริศร์กลับค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“ใครจะไปอยากเป็นลูกเขยของเขา”
“นั่นมันแล้วแต่คุณไม่ได้หรอก”
บุริศร์ยิ้มเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าเอาความสุขของเด็กมาพูดเล่น ผมจะบอกคุณให้นะ ในอนาคตถ้าลูกชายผมชอบเกิดชมพูเข้า ถึงธเนศพลจะไม่เห็นด้วยผมก็จะแย่งมาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้ แต่ถ้าลูกชายของผมไม่ชอบชมพู แล้วพวกคุณอยากจะพยายามเอาเธอมายัดให้ลูกชายผม ผมบุริศร์ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ อยู่ในตระกูลโตเล็กเรา ไม่เห็นแก่ตำแหน่งและอำนาจ เห็นแต่ความรู้สึกของเด็ก ๆ เท่านั้น”
คำพูดนี้มีน้ำหนักเป็นอย่างมาก
วิสุทธิ์รู้ดีว่า บุริศร์พูดได้ก็ต้องทำได้
“เอาล่ะ แค่ล้อเล่นหน่อยเท่านั้น จะจริงจังขนาดนั้นทำไม? เจ้าเด็กเลี้ยงแกะสองคนจะมาพูดเรื่องแต่งงานยังเร็วเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่ตัดประเด็นที่ธเนศพลอบรมสั่งสอนกานต์เพื่อให้เป็นลูกเขยจริง ๆ ออกไปหรอกนะ”
บุริศร์ไม่พูดอะไรอีก
สามารถมีคนมาอบรมสั่งสอนลูกชายตัวเองดี ๆ ยังไงบุริศร์ก็ยังรู้สึกพึงพอใจอยู่ แต่ว่าเรื่องใหญ่อย่างแต่งกับปัญหาด้านความรู้สึก บุริศร์ไม่อนุญาตให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแน่
ตระกูลโตเล็กของพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้หญิงสูงศักดิ์มาช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าในอนาคตกานต์จะชอบผู้หญิงที่อยู่ในสลัม ขอแค่เขาชอบบุริศร์ก็จะยอมรับ
ทั้งสองคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของน้ำไปครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นานชมพูก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
วิสุทธิ์ไม่รู้ว่าน้ำพูดยังไงกับชมพู เพียงแต่แค่ชั่ววินาทีแรกที่เห็นหน้าชมพูนั้น วิสุทธิ์ก็มั่นใจแล้วว่านี่จะต้องเป็นลูกของธเนศพลแน่นอน
ดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับของธเนศพลเหลือเกิน
แต่ว่ายังไงก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนอยู่ดี
วิสุทธิ์เจาะเลือดให้กับชมพู แล้วก็เริ่มไปทำการตรวจดีเอ็นเอเลย
ชมพูเงียบขรึมอยู่ตลอด คนทุกคนที่นี่สำหรับเธอแล้วล้วนเป็นคนที่แปลกหน้าอยู่บ้าง แต่ว่าเธอชอบอยู่ด้วยกันกับนรมน
เป็นเพราะนรมนชีวิตของเธอถึงได้มีจุดเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญนรมนก็อ่อนโยนมากจริง ๆ
น้ำมองออกว่าชมพูรู้สึกดีกับนรมน ก็เลยจูงมือลูกมานั่งลงข้างกายนรมน
“ลูกสาวของฉันอยู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก โลกทัศน์อะไรก็ไม่ค่อยได้เปิดกว้าง ถ้าเกิดว่ามีโอกาส ต่อไปก็หวังว่าคุณนายบุริศร์จะช่วยดูแลด้วยนะคะ”
นรมนกลับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันดูแลไม่ได้หรอกค่ะ ในเมื่อตระกูลโตเล็กเราเป็นแค่ตระกูลนักธุรกิจเท่านั้น แต่ว่าคุณสามารถไปหาป้องได้ ไม่ว่ายังไงป้องก็เป็นน้าของยัยหนูนี่ จะต้องดีกับเธอแน่ ที่สำคัญโพนี่ก็เป็นคนดีมากเหมือนกัน ครอบครัวของพวกเขายังมีปวีราอีกคน โตกว่าชมพูไม่กี่ปี เป็นคนที่นิสัยดีมากเลยนะ”
ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน นรมนชอบชมพู แล้วจะให้เธอมาเที่ยวเล่นที่บ้านตัวเองบ้างคงจะไม่เป็นไร แต่พอได้รับรู้ว่าตระกูลพรรณโรจน์ใกล้จะจบสิ้นแล้ว นรมนก็ถือได้ว่าเข้าใจแล้ว ในตอนที่การปกครองเปลี่ยนแปลงนั้น ตระกูลมหาอำนาจตระกูลต่าง ๆ ยังไงก็ระมัดระวังตัวหน่อยถึงจะดี และอีกอย่างตอนนี้ตระกูลโตเล็กก็เปลี่ยนมาทำธุรกิจแล้ว ต่อไปเรื่องของการปกครองนั้นก็จะไม่ไปยุ่งแล้ว
กว่าจะดึงตระกูลโตเล็กออกมาจากวังวนนั่นได้อย่างยากลำบาก นรมนรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตระกูลโตเล็กเข้าไปยุ่งอีกเพียงเพราะชมพูคนเดียวเท่านั้น
น้ำเองก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าฟังความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของนรมนได้ แต่ว่าก็ยังรู้สึกซาบซึ้งเธอมากจริง ๆ
“ขอบใจคุณมาก ฉันจะจดจำไว้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ชมพูไม่รู้ว่าตกลงระหว่างมารดาและนรมนนั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ก็รู้ว่านรมนไม่ยินดีที่ตัวเองจะไปหาเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอารมณ์ไม่ดีลงไปหลายส่วน
พอเห็นยัยหนูมีท่าทีแบบนี้ นรมนก็คิดถึงลูกสาวตัวเองขึ้นมา ในที่สุดแล้วก็ทำใจไม่ได้แล้วพูดขึ้นว่า “บ้านฉันมีลูกชายอยู่คนหนึ่งอายุเท่าหนูเลย และก็ถือได้ว่าเป็นแฮกเกอร์คนหนึ่งเหมือนกัน วันหลังพวกหนูสามารถเจอกันสักหน่อยได้ ไม่แน่หนูอาจจะชอบเล่นกับลูกชายฉันก็ได้ และที่สำคัญฉันก็มีลูกสาวด้วยอีกคน อายุเท่าหนู แต่ว่าไม่มีความสามารถพิเศษอะไร นอกจากกิน ก็ทำอะไรไม่เป็น และหนูก็สามารถไปเล่นกับเธอได้ เธอจะต้องพาหนูไปกินของอร่อยทั้งโลกแน่”
อยู่ ๆ ชมพูก็อึ้งไปครู่หนึ่งเลย แล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างส่วน
ถึงแม้ว่านรมนจะปฏิเสธเธอไป แต่กลับผลักดันลูกชายและลูกสาวของตัวเองออกมา นี่เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วนรมนก็ไม่ได้รังเกียจเธอเท่าไหร่ใช่ไหม?
ชมพูยังเด็ก เพราะฉะนั้นเรื่องที่คำนึงถึงจึงมีแค่นี้ แต่ว่าน้ำกลับเข้าใจความหมายของนรมนดี
ตอนนี้ตระกูลโตเล็กตกเป็นเป้าเยอะ เธอจึงไม่อยากสนิทสนมกับน้ำ แต่ว่าพวกเด็ก ๆ นั้นใสซื่อบริสุทธิ์ จะเล่นกันยังไงก็ได้
น้ำรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที
“ฉันรู้ว่าควรจะทำยังไงแล้วค่ะ”
“ในเมื่อฉันกับบุริศร์นั้นออกมาท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นรอให้วิสุทธิ์ได้ผลตรวจดีเอ็นเอแล้วก็คงจะพาพวกคุณกลับเมืองหลวงเลยสำหรับทางเดินต่อไปจะเดินยังไงนั้น ฉันก็ไปมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ และก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร แต่ว่าในฐานะที่เป็นผู้หญิงฉันอยากจะบอกว่า ทุกอย่างปล่อยให้เดินไปตามใจเถอะ ธเนศพลจะเลือกยังไงนั้นก็เป็นเรื่องของเขา ขอแค่คุณสามารถไม่มีความรู้สึกผิดในใจก็พอแล้ว”
นรมนตบบ่าน้ำอย่างมีความหมายลึกซึ้งเล็กน้อย
น้ำรู้สึกสะอื้นขึ้นมาทันทีเลย
เวลาผ่านมาแปดปี ความรู้สึกที่ธเนศพลมีต่อเธอนั้นเธอไม่ชัดเจน แต่ก็รู้ดีว่าระหว่างทั้งสองคนนั้นมีความยากลำบากอยู่มากมาย แล้วธเนศพลกว่าจะมีตำแหน่งอย่างในตอนนี้ได้อย่างยากลำบาก แล้วการปรากฏตัวออกมาของเธอกับลูกจะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่านะ?
น้ำไม่รู้
และแน่นอนนรมนเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่านี่ไม่ใช่ขอบเขตที่เธอจะสามารถคำนวณได้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เธอสามารถทำได้ก็มีแค่ปกป้องลูกของตัวเองและครอบครัว เรื่องอย่างอื่นก็ไม่มีใจอะไรจะไปยุ่งแล้ว
วิสุทธิ์อยู่ที่นี่สองวัน แล้วผลตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาแล้ว ชมพูเป็นลูกของธเนศพลกับน้ำจริง ๆ
พอมีหลักฐานยืนยันแล้ว วิสุทธิ์ก็เอาเรื่องนี้บอกกับธเนศพลเป็นอันดับแรกเลย แล้วก็สอบถามด้วยว่าจะให้พาตัวน้ำกับลูกกลับไปเมืองหลวงทันทีเลยหรือเปล่า
ธเนศพลมึนงงไปทั้งตัวเลย
นี่เขามีลูกสาวที่อายุเจ็ดขวบคนหนึ่งแล้วเหรอ?
และอีกอย่างวิสุทธิ์พูดว่าอะไรอีกนะ?
แปดปีมานี้น้ำต้องมีชีวิตอยู่ยังไงบ้างนะ?
ผู้หญิงที่ตัวเองเก็บไว้ในใจ กลับโดนตระกูลพรรณโรจน์และตระกูลธีรกุลภักดีทรมานเช่นนี้ ลูกสาวของเขาที่ตอนแรกควรจะเป็นคุณหนูที่สูงศักดิ์ แต่ตอนนี้กลับโดนเจ้าชั่วเบิร์ดนั่นขายไปให้คณะกายกรรม
ยิ่งฟังมากขึ้น ธเนศพลก็ยิ่งโมโห อารมณ์ที่โกรธเกลียดนั่นแทบจะพุ่งทะลุออกมาจากอกเขา แต่ว่าธเนศพลไม่ได้เป็นธเนศพลเมื่อแปดปีก่อนแล้ว เรื่องบางอย่างเขาก็ยังพอมีสติอยู่
“ตอนนี้อย่าเพิ่งกลับมา บอกบุริศร์ว่าให้รอฉันสักสองวันก่อน เดี๋ยวฉันจะไปรับคนเอง”
คำพูดของธเนศพลทำให้วิสุทธิ์พอฟังเข้าใจบ้างแล้ว
ตอนนี้ถ้าน้ำกับลูกจะกลับเมืองหลวงก็ไม่ใช่เวลาที่ดีมากเท่าไหร่จริง ๆ ในเมื่อพระราชาได้เริ่มหมั้นให้กับธเนศพลแล้ว แล้วนี่อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงกับลูกโผล่ออกมามีแต่จะนำพาแรงต่อต้านมาให้ธเนศพล และก็จะทำให้คุณท่านขวัญชัยไม่ปลื้มใจด้วย
พอคิดถึงสถานการณ์ที่จะเกิดต่อจากนี้ วิสุทธิ์ก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย แถมยังมองไปบุริศร์ทีหนึ่ง
ช่วงรอยต่อแบบนี้ เจ้าพ่อทูนหัวบุริศร์คนนี้กลับช่วยน้ำและชมพูมา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเรื่องดีอะไร แต่ว่าก็ไม่สามารถพูดว่าเป็นเรื่องร้าย ช่างกลุ้มใจจริง ๆ