แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1615 ผมทำผิดไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม
พอบุริศร์เห็นนรมนเป็นแบบนี้ ก็รู้เลยว่าในใจของเธอนั้นเป็นทุกข์อย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ช่วงนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนกานต์ไปก่อนเถอะ อีกไม่กี่วันธเนศพลก็จะมารับเขากลับประเทศแล้ว พอถึงตอนนั้นคุณกะว่าจะทำยังไง?”
“ไม่รู้ซิ คุณล่ะ? ธุรกิจของคุณย้ายมาหมดหรือยัง?”
นรมนรู้ว่าช่วงนี้บุริศร์นั้นยุ่งมาก มาตอนนี้ได้ยินเขาพูดขึ้นแบบนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
บุริศร์หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องของผมจำเป็นที่จะต้องค่อยเป็นค่อยไป คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่ว่าผมจะต้องไปต่างประเทศสักเที่ยว มีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการสักหน่อย”
นรมนพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“ตัวคุณเองต้องระวังตัวให้มาก ๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องติดต่อฉันทันทีนะ”
“ได้”
“งั้นฉันไปเก็บกระเป๋าให้คุณเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอก อีกสองวันก็กลับมาแล้ว ไม่ได้ไปเพราะเรื่องงานแต่ เป็นเรื่องส่วนตัว”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนอึ้งไปครู่หนึ่ง
“เรื่องส่วนตัวเหรอคะ?”
“อืม มีสหายร่วมรบคนหนึ่งได้สละชีพไป เมื่อก่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ผมอยากจะไปส่งเขาสักหน่อย”
บุริศร์เองก็ไม่ได้ปิดบังนรมน
คนที่เป็นทหาร การเสียสละชีพนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพียงแต่แค่จุดจบทำให้คนเจ็บปวดมากก็เท่านั้น
เอาทุกอย่างของตัวเองมาทุ่มเทให้กับประเทศชาติและประชาชน แต่ว่าสำหรับครอบครัวแล้ว จริง ๆ แล้วมันไม่กตัญญูเลย มาวันนี้บุริศร์ก็หวังแค่ว่าจะได้ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
นรมนนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้ แต่ว่าเธอรู้ว่าบุริศร์มีเหตุผลที่จะต้องไปให้ได้
เธอหมุนตัวมาช่วยบุริศร์จัดปกคอเสื้อให้เรียบร้อยทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้ปลอบใจคุณไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าคุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะรู้ไหม? คุณยังมีเมียกับลูกอยู่อีกนะคะ”
“ผมรู้ ตัวคุณเองก็อยู่ทางนี้ดูแลตัวเองดี ๆ เรื่องของคมทิพย์ไม่ต้องยุ่งน่ะถูกแล้ว ถ้าหากว่าเบื่อมากละก็ ไปพูดคุยกับพ่อแม่บ้าง หรือว่าไปหาปัญญ์ให้เขาไปเกลี้ยกล่อมคมทิพย์บ้าง”
“คุณเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่พวกเขาจะหย่าเหรอคะ?”
นรมนจ้องมองบุริศร์ แล้วในใจก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมาเล็กน้อย
บุริศร์ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “จะหย่าหรือไม่หย่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะตัดสินใจได้ พวกเราทำได้แค่ให้คำแนะนำ สุดท้ายแล้วสิทธิ์ในการตัดสินใจก็อยู่ในมือพวกเขาเอง”
“ฉันรู้แล้วค่ะ”
นรมนพยักเล็กน้อย แต่ว่าอารมณ์ก็ไม่ได้ดีมากนัก
บุริศร์รู้ว่าถ้าเธอจะฟื้นตัวกลับมาจากอารมณ์แบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยังดีที่กานต์ยังอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังพอวางใจได้อยู่บ้าง
สุดท้ายนรมนก็ได้เตรียมเสื้อผ้าไปหลายตัวและของกินของใช้ในระหว่างการเดินทางให้กับบุริศร์ จากนั้นก็ขับรถไปส่งเขาถึงสนามบินด้วยตัวเอง
บุริศร์จ้องมองท่าทางที่เสียดายไม่อยากจากกันแบบนั้นของนรมน ในใจก็รู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารู้เรื่องนี้มากะทันหัน เขาเองก็ไม่อยากจากนรมนไป
พอเครื่องบินขึ้นบินถึงกลางอาการ เงาร่างของนรมนก็ได้กลายเป็นจุดเล็กมากแล้ว บุริศร์เก็บสายตากลับมาด้วยใจยากลำบาก ในใจยังไงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจบ้าง
ใช้เวลาบินไปหลายชั่วโมง แล้วเครื่องบินก็ลงจอดในเมืองที่ห่างไกลเมืองหนึ่ง
บุริศร์โบกรถมาถึงหน้าบ้านสหายร่วมรบ แต่กลับได้เจอพฤกษ์เข้าที่นี่
ตอนที่พฤกษ์เห็นบุริศร์นั้นก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทำความเคารพอย่างทหารขึ้นมาทีหนึ่ง
“ประธานบุริศร์”
“หลายวันมานี้ไม่ได้พักผ่อนให้ดีเหรอ?”
บุริศร์เห็นท่าทางที่ทรุดโทรมของพฤกษ์ ทั้งดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด จึงอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดขึ้นมา
พฤกษ์พยักหน้าเล็กน้อย
อยู่ ๆ คมทิพย์ก็มาหายตัวไป และไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน งานอีเว้นท์ของเธอล้วนโดนระงับไว้ชั่วคราว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
อยู่ ๆ พฤกษ์ก็จิตใจลนลานขึ้นมา
เขาหาหมดทุกหนทุกแห่งแล้วก็หาตัวคมทิพย์ไม่เจอ แต่กลับได้รับข่าวสหายร่วมรบสละชีพไป ในฐานะที่เป็นสหายร่วมรบกันมา เขาจึงต้องวางทุกอย่างลงแล้วมาส่งสหายร่วมรบเป็นครั้งสุดท้าย
บุริศร์เหมือนกับจะรู้สาเหตุที่เขาทรุดโทรมขนาดนี้ แล้วก็พูดเรียบ ๆ ขึ้นว่า “คมทิพย์อยู่ที่ประเทศF นั่งเครื่องบินส่วนตัวบินกลับไปกับนรมนในชั่วข้ามคืน นายไม่มีทางสืบเจอหรอก”
พฤกษ์อึ้งไปครู่หนึ่งทั้งตัว เหมือนกับว่าจะคิดไม่ถึงว่าบุริศร์จะบอกข่าวของคมทิพย์ให้กับเขา จึงอดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“ประธานบุริศร์ ผมนึกว่าคุณจะไม่สนใจผมแล้วซะอีก”
“ใช่ ไม่อยากจะสนใจนาย ในเมื่อตอนนี้นายทำให้ฉันอยากจะอัดนายมากจริง ๆ แต่ว่าอย่างน้อยนายก็เป็นคนที่ฉันอุ้มชูขึ้นมาเองกับมือ พอเห็นท่าทางที่ไม่เอาไหนของนายนี่ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก”
บุริศร์พูดจบก็ยกเท้าก้าวเดินเข้าไปข้างในเลย
พฤกษ์ไม่พูดอะไร แล้วก็เดินตามเข้าไปด้วย
ข้างในนั้นมีคนที่ยังรับราชการอยู่และคนที่ปลดประจำการแล้วมากมาย แต่ว่าความรู้สึกของทุกคนต่างก็หนักอึ้งกันทั้งนั้น
พ่อแม่ของครอบครัวเพื่อนร่วมรบคนนี่ได้ตายจากไปนานแล้ว เหลือแต่เพียงภรรยาและลูกที่อายุแค่สามสี่ขวบคนหนึ่ง
เด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพียงแต่เห็นว่าแม่ร้องไห้จึงปลอบใจอยู่ตลอด ส่วนภรรยาทหารคนนั้นดวงตาบวมแดง อารมณ์ไม่มั่นคง ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเพราะว่าเสียใจมากเกินไป จนทำให้คนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลตามไปด้วย
บุริศร์และพฤกษ์เดินเข้าไปคุกเข่าคำนับให้ทีหนึ่ง แล้วก็จุดธูปให้ จากนั้นก็พูดปลอบใจสองสามประโยค จากนั้นถึงได้เริ่มช่วยเหลืองานขึ้นมา
เพื่อนร่วมรบที่สละชีพไปอายุยังน้อยมาก บนรูปถ่ายนั้นเขายิ้มได้อย่างสดใส แต่ตัวกลับไม่มีวันที่จะกลับมาได้อีกแล้ว
บุริศร์มองเห็นภาพนี้ แล้วก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “พฤกษ์ นายดูภรรยาทหารคนนั้นซิ น่าสงสารไหม?”
“ครับ”
พฤกษ์พยักหน้าให้
แล้วบุริศร์ก็พูดขึ้นอีกว่า “แล้วนายว่าเด็กคนนั้นล่ะ?”
พฤกษ์มองไปทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “เด็กยังเด็กเกินไป บางทีอาจจะยังไม่รู้ความหมายของการตายจากลา บางทีรอเขาโตขึ้นมาหน่อยอาจจะรู้ก็ได้ครับ”
“พอโตขึ้นมาแล้วถึงจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่มีทางที่จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอย่างตอนนี้หรอก คนคนเดียวที่เจ็บปวดที่สุด จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็มีแต่ภรรยาของตัวเองเท่านั้น”
คำพูดของบุริศร์ทำให้พฤกษ์อึ้งไปเล็กน้อย เขาเหมือนกับว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของบุริศร์แล้ว แต่ว่าก็แค่กะพริบผ่านไป ไม่เหลือร่องรอยอะไรทิ้งเอาไว้
“ประธานบุริศร์ครับ คุณอยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”
“ตัวเองลองวิเคราะห์เองเถอะ ถึงแม้ว่าลูกจะสำคัญ แต่ว่าคนที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นคู่ชีวิตต่างหาก ลูกพอโตขึ้นไปแล้วก็จะมีชีวิตของตัวเอง ถึงแม้ว่าพ่อมาขาดหายไปกลางคัน แต่ว่าเขาก็ยังคงจะต้องเติบโตขึ้นได้ เพราะว่ามีแม่คอยเคียงข้าง แต่ว่าภรรยาล่ะ? ภรรยาทหารคนหนึ่งที่สามารถอดทนกับความเหงาเดียวดายได้ ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าความรักที่มีต่อสามีนั้นมากมายแค่ไหน เมื่อคนคนหนึ่งมาตายจากไปก่อน ชีวิตของคนที่เหลืออยู่ก็จะไม่มีทางสมบูรณ์แบบได้อีกแล้ว รอลูกโตแล้ว พอมีครอบครัวของตัวเองแล้วก็ย้ายออกไป ภรรยาทหารจะทำยังไงล่ะ? อยู่ตัวคนเดียวในบ้าน จ้องมองรูปถ่ายหน้างานศพใบนี้ แล้วจะมีความหวังและความกล้าหาญที่จะอยู่ต่อไปได้อีกไหม?”
บุริศร์พูดจบก็หมุนตัวจากไปเลย
พฤกษ์จ้องมองแววตาที่ไร้ปฏิกิริยาของภรรยาทหาร แล้วจ้องมองเด็กที่ในใบหน้ามึนงงจ้องมองผู้คนไป ๆ มา ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมีสติขึ้นมา
นี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาสองคน แต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น พอลูกโตขึ้นมาแล้วก็ยังจะไปมีชีวิตของตัวเองอยู่ดี ตอนนี้ยังไงมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่เข้าใจว่าพ่อได้ตายจากไปแล้ว หนึ่งเดียวที่รู้ซึ้งถึงรสชาติของการตายจากก็มีเพียงแต่คู่ชีวิตเท่านั้น
คู่ชีวิต……
อยู่ ๆ ใจของพฤกษ์ก็เจ็บปวดขึ้นมา
สมองที่เหมือนโดนครอบงำจากสิ่งชั่วร้ายรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
นี่เขาทำผิดไปจริง ๆ ใช่ไหม?
พฤกษ์รีบตามออกไป พอเห็นบุริศร์ก็คว้าตัวเขาไว้ทันทีเลย แล้วก็ถามขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ประธานบุริศร์ คุณบอกผมมา ผมทำผิดไปแล้วใช่หรือเปล่าครับ?”
“ผิดหรือไม่ผิดตัวนายเองไม่ชัดเจนเหรอ? และที่สำคัญก่อนที่ฉันจะมายังพบอีกเรื่องหนึ่งเข้า ฉันคิดว่านายจำเป็นต้องรู้ไว้นะ”
บุริศร์จ้องมองพฤกษ์ แววตาแววตามีความดุร้ายเล็กน้อย จนทำให้พฤกษ์เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา