แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1665 ผมจะรอพี่มาหา
นี่มันหมายถึงอะไร?
ยอมรับ?
หัวคิ้วของธเนศพลเริ่มขมวดมุ่น
เขาไม่ชอบตรงที่คุณท่านคบค้าสมาคมกับคนอย่างลุงยศพงศ์ ทั้งๆที่บางเรื่องสามารถพูดมันออกมาให้ชัดเจนก็ได้ แต่กลับทำให้มันมีลับลมคมนัย ให้เขาต้องคอยมาคาดเดาอยู่เรื่อย
เขากับชินทรคิดเหมือนกัน ไม่มีใครเร็วกว่าชินทร แต่ชินทรกลับตามคนคนนั้นไปไม่ทัน นั่นแปลว่าคนคนนั้นอยู่ในนี้นี่แหละ ซึ่งที่นี่ไม่ได้มีแค่อีกฝ่ายอยู่แค่คนเดียว
ดังนั้นธเนศพลจึงคิดถึงคุณท่านขวัญชัยขึ้นมาได้
เขาเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป ก็พบว่าคุณท่านขวัญชัยกำลังหลับตาอยู่ พร้อมเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่งว่า “อยากถามอะไรก็กลับไปหาคำตอบเอง ฉันเหนื่อยแล้ว”
“ผมยังไม่ได้พูดเลย”
“ไม่อยากฟัง ถึงพูดมาฉันก็ไม่บอกแกหรอก อยากทำอะไรก็ไปทำ ยังหนุ่มยังแน่นให้มันกล้าๆหน่อย”
คำพูดของคุณท่านขวัญชัยแฝงไปด้วยความหมาย ซึ่งธเนศพลฟังออก
“ต่อให้ผมพลิกทั้งเมืองหลวงก็จะไม่สนใจ?”
“แกเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถรับผิดชอบการกระทำของตัวเองได้แล้ว”
คุณท่านขวัญชัยยังคงพูดออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้ธเนศพลปวดหัวตุบๆ
“ได้ ไหนๆคุณปู่ก็แก่แล้ว ก็พักผ่อนเยอะๆ ไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น แล้วก็ฝากไปบอกลุงยศพงศ์ด้วย บางเรื่องผมจำเป็นต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเขา”
“เขาเป็นหทารมาทั้งชีวิต ความคิดความอ่านสูงกว่าแกเยอะ ออกไปได้แล้ว อย่ามารบกวนเวลาพักผ่อนฉัน”
คุณท่านขวัญชัยเอ่ยไล่
ธเนศพลเดินออกมาอย่างฟึดฟัด จึงเห็นชมพูยืนอยู่ตรงนั้นพอดี ราวกับกำลังรอเขาอยู่
“ชมพู? มาทำอะไรที่นี่?”
“พี่กานต์บอกว่าแด๊ดดี้อยู่ที่นี่”
ชมพูชื่นชอบแด๊ดดี้คนนี้เป็นอย่างมาก
ขอแค่เธออยากได้ ต่อให้ไม่เอ่ยปากขอ แด๊ดดี้ก็จะซื้อให้ทุกอย่าง บางครั้งเธอแค่มองบ่อยๆเท่านั้น วันต่อมาก็จะมีของชิ้นนั้นมาวางอยู่ในห้อง อีกอย่างธเนศพลยังเล่นเป็นเพื่อนเธอได้ด้วย ต่อให้เขาจะยุ่งหรือเหนื่อยแค่ไหนก็จะหาเวลามาอยู่กับเธอและหม่ามี๊ได้ตลอด
นี่คือความใฝ่ฝันของชมพูเลย
เมื่อเห็นธเนศพลเธอจึงรีบเดินเข้าไปหา
“แด๊ดดี้ หม่ามี๊ถามว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านไหม?”
“แด๊ดดี้มีงานต้องทำ ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ หนูกับหม่ามี๊กินก่อนเลย ไม่ต้องรอ แต่แด๊ดดี้จะรีบกลับไปหานะ”
ธเนศพลอุ้มชมพูขึ้นมา
เด็กคนนี้มีเนื้อมีหนังกว่าตอนที่กลับมา ดูน่ารักน่าชังเป็นไหนๆ
ชมพูกอดคอของธเนศพลเอาไว้ กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “งั้นหนูเรียกพี่กานต์มาทานข้าวกับพวกเราได้ไหม?”
“น่าจะไม่ได้ พี่กานต์ของหนูติดธุระส่วนตัว”
ธเนศพลรู้ว่าพอตามตัวภานกลับมาได้ สิ่งแรกที่กานต์จะทำคือบอกนรมนแน่ๆ ถึงตอนนั้นนรมนก็คงรีบนั่งเครื่องบินกลับมา
ช้าสุดก็คงมาถึงตอนเที่ยงคืน ช่วงเวลานี้คงไม่มีใครสามารถพาตัวกานต์ออกจากข้างกายของภาณได้
ชมพูรู้สึกหงอย
ธเนศพลไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ จึงรีบพูดว่า “เอาอย่างนี้ไหม สุดสัปดาห์นี้หนูค่อยเชิญพี่กานต์มากินข้าวที่บ้านเราอีกทีดีไหม?”
“ดีค่ะ!”
ชมพูร่าเริงขึ้นมาในทันที
ธเนศพลอุ้มเธอ พาเดินกลับบ้านด้วยตัวเอง จากนั้นก็เอ่ยพูดอะไรเงียบๆกับน้ำสองสามประโยค
เมื่อเห็นแด๊ดดี้กับหม่ามี๊ใกล้ชิดสนิทกัน ชมพูก็ดีใจเป็นอย่างมาก
นี่สิถึงจะเรียกว่าครอบครัว
เมื่อเทียบกับอีกด้าน กานต์กลับกำลังรู้สึกปวดใจ
ภาณยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา เขาลองเอามืออังจมูกของภาณอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่ายังมีลมหายใจออกมาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัว กานต์รีบหยิบมือถือออกมา เพื่อบอกข่าวดีแก่นรมนว่าเจอตัวภาณแล้ว และยังคุยกับเธอสิ่งที่พบเจอ รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของปาณี
หลังจากที่นรมนฟังจบก็ช็อกเป็นอย่างมาก
ตัวตนของปาณีว่าทำเอาเธอช็อกแล้ว เรื่องของชินทรทำเอาเธอรู้สึกคัดจมูกยิ่งกว่า
พวกเธอเป็นคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับชินทรที่สุดแล้ว แต่เขากลับปิดบังเรื่องนี้กับพวกเธอ ไม่รู้ว่าชินทรต้องแบกรับความกดดันคนเดียวมากแค่ไหน
“แม่จะรีบกลับไป กานต์ แม่ฝากดูแลน้องด้วยนะ เดี๋ยวแม่กลับไป”
“ครับ หม่ามี๊ หม่ามี๊ไม่ต้องกังวล ที่นี่มีคุณอาธเนศพลอยู่ด้วย ไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ”
ถึงกานต์จะพูดมาอย่างนี้ แต่นรมนก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้
จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง?
ถ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ภาณก็คงไม่ถูกคนจับตัวไปหรอก
แต่เธอกลัวว่าลูกจะเป็นกังวล จึงพยักหน้ารับคำ วางสายโทรศัพท์ไปเตรียมตัว
หลังจากที่วางสายกานต์ก็ยังไม่วางใจ จึงต่อสายหากิจจา
ตั้งแต่ที่กานต์มาอยู่ที่ฐานทัพ ก็ไม่ค่อยได้โทรหาใครเท่าไหร่ เหตุผลอย่างหนึ่งเป็นเพราะความรัดกุมของฐานทัพ อีกอย่างเป็นเพราะเวลาว่างของกิจจาและกานต์ไม่ตรงกัน พอกานต์หยุดพัก กิจจาก็ต้องเก็บตัวเข้าเรียน เมื่อจู่ๆได้รับสายโทรศัพท์จากกานต์ จึงทำให้กิจจาชะงักไปเล็กน้อย
“กานต์?”
“พี่ ทำอะไรอยู่?”
เมื่อกานต์ได้ยินเสียงของกิจจา มุมปากก็คลายลงอย่างผ่อนคลาย
กิจจาพูดยิ้มๆว่า “เพิ่งเลิกเรียน ว่าจะทบทวนบทเรียนที่เพิ่งเรียนมาวันนี้ ทำไมคิดถึงฉันเหรอ?”
“อืม!”
กานต์ตอบอย่างไม่เฉไฉ แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “พี่รู้เรื่องที่น้องเล็กถูกลักพาตัวไปหรือยัง?”
“อะไรนะ?”
เนื่องจากกิจจามีเซนส์ทางการแพทย์ที่แข็งแรงมาก จึงถูกมิลินแนะนำให้มาเป็นลูกศิษย์อาจารย์หมอ ปกตินอกเหนือจากเวลาเรียนเขาก็มักจะไปขลุกอยู่ที่บ้านของอาจารย์ ช่วงสุดสัปดาห์จึงกลับบ้านแค่วันเดียว ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้เรื่องของภาณ
“เกิดอะไรขึ้น? ใครลักพาตัวน้อง? หม่ามี๊กับแด๊ดดี้รู้หรือยัง? ฉันจะจองตั๋วไปเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!”
กิจจากำลังจะวางสาย กานต์จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “พี่ อย่าเพิ่งใจร้อน เจอตัวน้องแล้ว ตอนนี้อยู่กับผมนี่แหละ อีกอย่างผมบอกหม่ามี๊แล้ว แต่ว่าตอนนี้หม่ามี๊อยู่ที่ประเทศF กว่าจะมาถึงต้องใช้เวลา ผมอยู่ดูแลน้องคนเดียวไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ ก็เลยว่าอยากให้พี่มาอยู่ด้วยได้ไหม? แล้วก็เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกกมลนะ”
ด้านกมลเพราะชื่นชอบเปียโน จึงถูกนรมนส่งไปเรียนที่โรงเรียนและพักอยู่ที่นั่น เพื่อปลูกฝังให้เธอสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ และก็มักจะกลับมาช่วงสุดสัปดาห์แค่วันเดียวเช่นกัน พอคำนวณเวลาแล้วก็น่าจะเป็นช่วงที่กลับมาเจอกิจจาพอดี
กิจจาเข้าใจความหมายที่กานต์จะสื่อ
“ฉันรู้แล้ว งั้นฉันจะบอกว่าฉันไปเข้าร่วมสัมมนาที่เมืองหลวงแล้วกัน เธอจะได้ไม่ต้องสงสัยมาก”
“ได้ ผมจะรอพี่มาหา”
“อืม”
หลังจากกิจจาวางสายยังไม่ทันขาดคำก็เห็นกมลเดินเข้ามา
“พี่กิจ กลับมาเร็วกว่าฉันอีกนะเนี่ย”
สองปีมานี้กมลสูงขึ้นมาก แถมยังหน้าตาดี ดูๆแล้วสวยอย่างกับเจ้าหญิง
กิจจาพูดยิ้มๆ “อืม แต่อีกเดี๋ยวฉันก็ต้องไปแล้วล่ะ”
“ไปไหน? ฉันยังอยากให้พี่อยู่ด้วยกันนะ”
กมลฮึดฮัดขึ้นมาในทันที
พี่ชายอีกคนวันๆก็อยู่แต่ฐานทัพไม่ยอมกลับมา กว่าพี่กิจจะกลับมาอยู่ด้วยกันก็ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว?
กิจจารีบเอ่ยปลอบว่า “มีงานสัมมนาน่ะ ฉันอยากไปฟังสักหน่อย แกก็รู้ว่าฉันสนใจเรื่องพวกนี้”
“งั้นก็ได้”
กมลพยักหน้า กิจจาจึงตบไหล่ของเธอ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก ตอนนี้เองโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้นมากะทันหัน