แค้นรักสามีตัวร้าย - บทที่ 1697 นี่พี่ไร้เหตุผลมาก
ชัยยศรู้สึกทั่วทั้งตัวมีพละกำลังขึ้นมาในทันที
“ผมรอคุณ คุณจะมามั่วๆแล้วทิ้งผมไปไม่ได้นะ เป็นคนต้องซื่อสัตย์จริงใจ เรื่องที่รับปากคนอื่นไว้ก็ต้องทำได้รู้ไหม? ตอนนี้ผมจะเริ่มเตรียมของที่ตอนแต่งงานต้องใช้ คุณชอบชุดแต่งงานแบบไหน? ผมจัดการให้”
ชัยยศรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองในวันนี้อย่างกับนั่งเกมส์รถแข่งยังไงอย่างงั้น เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกไม่ค่อยเป็นความจริง
สมจิตกลับเอ่ยขึ้นอย่างอะไรก็ได้ “ฉันไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ ที่จริงพวกเราจดทะเบียนกันก็พอแล้ว”
“นั่นได้ยังไงกัน? ผู้หญิงชีวิตนี้ตอนที่สวยที่สุดก็คือตอนที่สวมชุดแต่งงาน ผมไม่มีทางให้คุณได้รับความไม่เป็นธรรมโดยเด็ดขาด ตอนนี้ประธานบุริศร์ให้ผมดูแลสาขาย่อยที่ต่างประเทศ จะยังไงผมก็ถือว่าเป็นคนที่มีสถานะ สามารถคู่ควรกับคุณได้แล้ว คุณก็รอเป็นคุณนายสงคานนท์ก็แล้วกัน”
ได้ยินชัยยศพูดเช่นนี้ สมจิตอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคืนมา
“คุณนามสกุลสงคานนท์?”
“สมจิต คุณอย่าบอกผมว่าคุณไม่รู้ว่าผมนามสกุลอะไร?”
ชัยยศกลัดกลุ้มขึ้นมาในทันที
สมจิตกลับเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ฉันไม่รู้ไง คนอื่นเรียกคุณว่าชัยยศมาโดยตลอด ”
“สมจิต!”
ชัยยศโมโหจริงๆแล้วนะ
สมจิตกลับหัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มที่ จากนั้นเอ่ยว่า “รอฉันกลับไปก็จะเป็นคุณนายสงคานนท์ของคุณ ชัยยศ สงคานนท์ฉันมอบชีวิตที่เหลือให้กับคุณแล้ว คุณต้องรับไว้ดีๆนะ”
“อื้ม ผมรอรับคุณ”
ในขณะที่ชัยยศตอบกลับอย่างจริงจัง ก็เห็นวิดีโอดำสนิท สมจิตได้วางสายไปแล้ว
แม้ว่ามองไม่เห็นเงาของชัยยศแล้ว แต่มุมริมฝีปากของสมจิตก็ยกขึ้นอยู่ตลอด
กลับบ้านตระกูลนนท์สัจทัศน์มานานขนาดนี้ วันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุด
จะยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะชอบชัยยศเข้า
เด็กผู้ชายที่ดูแล้วบื้อๆ ทั้งยังดูโง่ๆคนนั้น ดูเหมือนยังจะอายุน้อยกว่าเธอหน่อย?
ช่างเถอะ น้อยก็น้อยไป เธอไม่รังเกียจ
สมจิตรู้สึกว่าตนเองตอนนี้ราวกับดื่มด่ำอยู่ในฟองแห่งความสุข ดูมายาและหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นสายตาสอดแนมสายตาหนึ่งก็ทำให้เธอได้สติกลับคืนมาอย่างกะทันหัน หยิบของที่ใกล้มือเขวี้ยงไปในทันที
“สมจิต ฉันเอง”
ฟองน้ำเกือบถูกลอบทำร้าย รีบเดินออกมา กระถางดอกไม้ที่ลอยมานั้นแตกลงที่ข้างกายของเธอภายในพริบตา
หากเธอถูกกระแทกเข้าจะต้องไม่ได้สบายแน่
ฟองน้ำแอบสูดหายใจเข้า
สายตาของสมจิตหนักอึ้งลงเล็กน้อยในทันที
“คุณหนูใหญ่ตระกูลนนท์สัจทัศน์ยังมีนิสัยแอบสอดแนมชาวบ้าน?”
ฟองน้ำถูกสมจิตเสียดสีจนรู้สึกขายหน้า แต่กลับยังคงเดินเข้าไป
“เมื่อกี้เธอคุยโทรศัพท์กับแฟนหรอ? แฟนของเธอทำงานอะไร?”
“ทำไม?มาซักประวัติไวขนาดนี้เลย? ตอนนี้หนูโทรศัพท์ยังต้องถูกดักฟังแล้ว?”
สมจิตเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา อุณหภูมิของสายตาเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
ฟองน้ำขมวดคิ้วเล็กน้อยต่อท่าทีของเธอ เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “สมจิต เธอจะต้องมีหนามทั้งตัวขนาดนี้กับฉันให้ได้เลยหรอ?”
“งั้นหนูควรจะทำยังไงกับคุณ?“
สมจิตโยนมือถือทิ้งลงบนเตียง จะบังเอิญก็ไม่บังเอิญระยะห่างใกล้กับฟองน้ำเป็นอย่างมาก แต่มือถือหน้าจอดำไปแล้ว มองไม่เห็นอะไร
ฟองน้ำค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น กลับก็รู้ว่าสมจิตค่อนข้างต่อต้านตนเอง เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเอ่ย “ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเราตระกูลนนท์สัจทัศน์ค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดอย่าติดต่อกับคนภายนอกง่ายๆ ไม่ได้เป็นการดักฟังโทรศัพท์ของเธอ แต่เป็นการไตร่ตรองเพื่อตระกูล ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคุณหนูใหญ่ คนข้างล่างหากเห็นว่าแม้แต่เธอยังไม่ปฏิบัติตาม ฉันทางนี้จะดูแลลำบากอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้”
“เธอดูแลลำบากไม่ลำบากเกี่ยวข้องอะไรกับลูกสาวของฉัน? ลูกสาวของฉันตอนนี้สิทธิ์ในการโทรศัพท์ก็ไม่มีแล้ว? หรือว่าเธอจะหาผู้ชายยังไงต้องให้เธอฟองน้ำมาเห็นด้วยและตัดสินใจ?”
พายุไม่รู้ว่าเข็นรถวีลแชร์ออกมาตั้งแต่เมื่อไร คำพูดที่พูดออกมาทำให้ฟองน้ำประหลาดใจเป็นที่สุด
“พี่ ทำไมพี่ว่าฉันแบบนี้ล่ะคะ? พี่ก็น่าจะรู้ ฉันก็หวังดีกับสมจิตเช่นเดียวกัน”
“ไม่จำเป็น เธอแค่อย่ามาเพิ่มความกลัดกลุ้มให้กับเธอก็คือหวังดีกับเธอแล้ว”
ท่าทีของพายุเยือกเย็นมาก นี่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน
ฟองน้ำไม่สามารถยอมรับความแตกต่างแบบนี้ได้ กลับก็รู้ว่าพายุคงจะรู้ความจริงที่สมจิตหายตัวไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม
“พี่ พี่ก็กำลังโทษฉันใช่ไหมคะ? พี่ก็คิดว่าในปีนั้นฉันตั้งใจทำสมจิตหายหรอ? เธอคือหลานสาวของฉัน ฉันคือน้าแท้ๆของเธอ ฉันจะตั้งใจทำเธอหายได้ยังไงกัน? หลายปีมานี้ฉันเดินทางไปทั่วอย่างยากลำบากอยู่ข้างนอก ยังไม่ใช่เพื่อตามหาสมจิตให้เจอหรอกหรอคะ?”
พายุกลับไม่อยากได้ยินเธอพูดอะไรแล้ว
“น้าแท้ๆ? ในเมื่อเป็นน้าแท้ๆ ยังมาแอบฟังเธอคุยโทรศัพท์อยู่ที่นี่?”
“ฉันเปล่า!”
“งั้นเธอมาทำอะไรที่นี่? เป็นห่วงเธอ? เป็นห่วงยังไง? ซักถามว่าเธอโทรศัพท์หาใคร? ตักเตือนเธอว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลนนท์สัจทัศน์? แต่ว่าหลายปีมานี้สมจิตกินข้าวสักเม็ดของตระกูลนนท์สัจทัศน์ หรือว่ากินน้ำสักหยดของตระกูลนนท์สัจทัศน์? เธอน่ะกินอากาศโตมา!ที่กินก็ยังไม่ใช่อากาศของตระกูลนนท์สัจทัศน์!เธอมีสิทธิ์อะไรใช้กฎระเบียบของตระกูลนนท์สัจทัศน์มาผูกมัดเธอ?”
คำพูดของพายุทำให้ฟองน้ำติดคอไปเลย
“พี่ใหญ่ นี่พี่ไร้เหตุผลมาก”
“ฉันไร้เหตุผลแล้วจะทำไม? ลูกสาวของฉันหายไปยี่สิบกว่าปี ไม่ง่ายที่จะกลับมาแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎบ้าๆของตระกูล ห้ามอันนี้ ไม่ให้อันนั้น ถึงขั้นแม้แต่หาแฟนยังต้องรายงานเธอ ฉันรู้สึกไม่สบาย!”
พายุไม่เคยพูดจาแบบนี้กับฟองน้ำมาก่อน
ตั้งแต่หลังจากที่ฟองน้ำสูญเสียครอบครัวของตนเองเพื่อตระกูลนนท์สัจทัศน์ พายุก็รักและเอ็นดูน้องสาวเพียงคนเดียวคนนี้เป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ทำใจพูดจาแรงๆกับเธอไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว แต่ว่าวันนี้กลับมีปากมีเสียงกับฟองน้ำเพื่อสมจิต
สมจิตมองดูการปกป้องของพายุ หากจะบอกว่าไม่ซาบซึ้งนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ว่าก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่เป็นแรงกระตุ้นขนาดนั้น
สำหรับตระกูลนนท์สัจทัศน์ เธอเลือดเย็นจนเข้าไปในกระดูกแล้วจริงๆ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นพ่อแท้ๆกับน้าแท้ๆของตนเองก็ตาม
“เอาล่ะ พวกคุณสองคนจะทะเลาะกันออกไปทะเลาะข้างนอก หนูปวดหัว!”
หนึ่งประโยคที่เบาหวิวของสมจิตทำให้พายุเงียบลงในทันที
“ลูกปวดหัว? ให้พ่อไปเชิญคุณหมอกลับมาไหม? สมจิต ลูกเป็นหวัดแล้วหรือเปล่า?”
“คุณออกไปได้ไหมคะ? ขอเพียงแค่พวกคุณไม่อยู่ที่นี่ หนูก็จะไม่ปวดหัว”
คำพูดของสมจิตทำให้สีหน้าของพายุซีดเผือด เขามองดูสมจิตครู่หนึ่ง มองเห็นความหงุดหงิดและรำคาญจริงๆภายในสายตาของเธอ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ
ลูกสาวของเขาสุดท้ายก็ไม่ให้โอกาสเขาได้ชดใช้ความผิด
ตอนที่พายุตอกกลับฟองน้ำเมื่อครู่นี้มีเรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ตอนนี้อยู่ๆกลับเหี่ยวแห้งเหมือนมะเขือที่ถูกน้ำค้างแข็งเกาะกิน
ฟองน้ำเคยเห็นพี่ชายเป็นแบบนี้ที่ไหนกัน?
ต่อให้เป็นตอนที่พายุสูญเสียขาก็ไม่เคยเห็นพายุมีท่าทางที่หดหู่และทุกข์ใจเช่นนี้ ตอนนี้กลับกลายเป็นสภาพนี้เพราะว่าประโยคเดียวของสมจิต พูดตามตรง ในใจของฟองน้ำรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
“สมจิต เธอพูดจากับพ่อของเธอแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
สมจิตเลิกคิ้วเล็กน้อย ความเย็นชาภายในดวงตาทำให้ฟองน้ำมองดูแล้วไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
พายุกลับดึงฟองน้ำเอาไว้ เอ่ยว่า “ไม่โทษเด็ก ฉันถลันเข้ามาเอง เธอกับฉันออกไป ให้สมจิตพักผ่อนดีๆ”
พูดจบเขาก็ดึงมือของฟองน้ำเดินออกไปอย่างไม่ให้โอกาสได้พูดอะไรต่อ ดวงตาของสมจิตกลับหรี่ขึ้นมาเล็กน้อย