แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 141 หลินเจี้ยนเฟิง
บทที่ 141 หลินเจี้ยนเฟิง
พวกผู้มีอิทธิพลหนักใจเล็กน้อย แต่พวกเขารู้ดีแก่ใจ ในเมื่ออยากได้การปกป้องจากเฉินโม่ แน่นอนว่ามีราคาที่ต้องจ่าย มีได้ย่อมมีเสีย
“พวกเราไม่กล้า!” พวกผู้มีอิทธิพลพูดออกมาพร้อมกัน
นักพรตเต๋อหลงยืนอยู่มุมหนึ่งในห้อง มองเฉินโม่เงียบๆ ด้วยสีหน้าเลื่อมใส “นี่สิคือไต้ซือที่แท้จริง พูดจริง ทำจริง โกรธขึ้นมาก็ฆ่าคน ไม่เห็นกฎของโลกอยู่ในสายตา แม้อยู่ในโลกโลกีย์ กลับไม่ใช่คนธรรมดา!”
เฉินโม่พยักหน้า มองเฉินซงจื่อแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ!”
เมื่อพวกเฉินโม่ออกไป พวกผู้มีอิทธิพล จึงลุกขึ้นยืน ในแววตาของทุกคน เต็มไปด้วยความจนปัญญา
“หลังจากวันนี้ไป กลัวว่าส่วนหนึ่งในฮ่านหยาง จะนับถือเฉินไต้ซือเป็นเทพเจ้า!”
……
เฉินโม่กลับมายังลานชุมชนเล็กๆในเมือง เอาหินหยกปากว้าที่ได้ออกมาวางไว้บนโต๊ะ ที่ซื้อมาใหม่
“หินหยกธาตุน้ำ ตอนนี้ธาตุทั้งห้ารวมตัวกัน สามารถวางค่ายกลรวมพลังทิพย์ธาตุทั้งห้าได้แล้ว”
“แต่รอให้ประสิทธิภาพของค่ายกลรวมพลังทิพย์ธรรมดาหมดพลังก่อนดีกว่า หินหยกบนดาวไอกา หายากมาก จะใช้สิ้นเปลืองไม่ได้”
ครั้งแรกในชีวิตที่เฉินโม่ต้องประหยัดหินหยก ในการวางค่ายกลรวมพลังทิพย์ธรรมดา
เฉินโม่ฝึกฝนต่อในห้อง หวังว่าจะยกระดับผลการฝึกตน ถึงชั้นสามแดนรวมพลังก่อนเปิดเทอมได้
หลังผ่านไปหนึ่งวัน ที่โรงแรมนานาชาติเฮาอี ชายแดนอู่โจวและหลินโจว
ในห้องเพรสซิเดนสูทสุดหรู ชั้น 33
ฉู่เหวินสงผู้มีอิทธิพลแห่งอู่โจว ฉินเยว่ซานผู้มีอิทธิพลแห่งอานหลิน ฟางปู้ถงมหาเศรษฐีแห่งชิ่งหยาง เซวียเชียนเหอแห่งหนานหลิง รวมไปถึงผู้มีอิทธิพลจากที่อื่น รวมตัวกันอยู่ในโถง พากันปรึกษาหารือ
หลังผ่านไปหนึ่งวัน ที่โรงแรมนานาชาติเฮาอี ชายแดนอู่โจวและหลินโจว
ฉินเยว่ซานมองฉู่เหวินสง ที่กำลังหลับตาครุ่นคิด แล้วถามอย่างสงสัย “เถ้าแก่ฉู่ ครั้งนี้ตระกูลหลินเรียกเรามารวมตัวกันที่นี่ เพราะเรื่องอะไรกัน”
ฉู่เหวินสงลืมตาขึ้น มีความกังวลอย่างมาก ฉายขึ้นมาในแววตา จากนั้นจึงส่ายหน้า “โดยรวมฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!”
ฉินเยว่ซานมองไปยังเซวียเชียนเหออีก “คุณเซวีย ชายแดนหนานหลิงของคุณเชื่อมต่อกับหลินโจว น่าจะค่อนข้างสนิทกับตระกูลหลิน คุณรู้หรือเปล่าว่าตระกูลหลิน เรียกเรามารวมตัวกันครั้งนี้ เพราะจะทำอะไรกันแน่”
เซวียเชียนเหอส่ายหน้าเหมือนกัน “ตระกูลหลินทำอะไรลึกลับมาตลอด สองสามปีนี้ แทบจะไม่มาหลินโจว ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตระกูลหลินถึงเชิญอย่างกะทันหัน”
ฟางปู้ถงพูดเบาๆ ว่า “แต่ช่วงนี้ฉันได้ยินเรื่องบางอย่าง เกี่ยวกับตระกูลหลิน ได้ยินว่าหลินเทียนหยา คุณชายใหญ่ตระกูลหลิน โดนคนหักขาทั้งสองข้าง ตระกูลหลินโกรธมาก ได้ยินว่าหลายวันก่อน ตระกูลหลินพาคนไปโจมตีอำนาจใต้ดินของอู่โจว เรื่องนี้ลูกพี่ฉู่ น่าจะรู้ดีนะ!”
ได้ยินดังนั้น พวกผู้มีอิทธิพล ต่างพากันมองไปยังฉู่เหวินสงพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย
ฉู่เหวินสงก่นด่าฟางปู้ถงในใจ เรื่องนี้เขาพยายามปกปิดไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะโดนคนอื่นรู้
ฉู่เหวินสงนั่งตัวตรง พูดเสียงก้องว่า “เรื่องของฉันกับตระกูลหลิน ได้รับการแก้ไขแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิด”
ทุกคนมองฉู่เหวินสง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าฉู่เหวินสง มีอะไรปิดบังไว้
ครู่หนึ่ง ผู้ชายวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม รูปร่างสูงตระหง่าน พาลูกน้องสองคน เดินเข้ามา
ทันใดนั้น พวกผู้มีอิทธิพลหันไปมองทันที
หลินเจี้ยนเฟิงประสานมือคำนับทุกคน ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “สวัสดีเถ้าแก่ทุกท่าน! ฉันหลินเจี้ยนเฟิง แห่งตระกูลหลิน ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการประชุมครั้งนี้ แทนผู้นำตระกูล”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าพวกผู้มีอิทธิพล ฉายแววไม่พอใจ
“หึ ตระกูลหลินวางมาดใหญ่โต นัดพวกเรามาที่นี่ แต่กลับส่งลูกน้องมาแทน!” ฉินเยว่ซานแผดเสียงอย่างเย็นชา
“ใช่ ในที่นี้เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งนั้น ผู้นำตระกูลนายล่ะ ให้เขาออกมา นายมาจัดการแทน ยังไม่มีคุณสมบัติพอ!” ผู้มีอิทธิพลอีกคนพูดออกมาอย่างโมโห
“ใช่ ให้หลินสุ่นออกมา! ไม่งั้นเราจะกลับเดี๋ยวนี้!” ลูกน้องส่วนหนึ่งที่ผู้มีอิทธิพลพามา เริ่มโห่ร้องขึ้น