แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 1462
ตู๋กูเยว่ถึงขั้นำคำพูดของพ่อได้ขึ้นใจว่า “โลกนี้ไม่ว่าแกไปมีเรื่องกับใครพ่อก็คุ้มหัวแกได้ มีเพียงเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยางเท่านั้น ถ้าไปมีเรื่องด้วยเมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่เขาตาย ก็ตระกูลตู๋กูของเรานี่แหละที่จะถูกทำลาย!”
ตอนแรกที่ตู๋กูเยว่ได้ฟังผู้เป็นพ่อพูดแบบนั้น ก็รู้สึกตกใจมาก จากคำพูดนี้ก็รู้ได้ว่า พ่อของเขาไม่ได้กลัวเฉินไต้ซือ แค่ไม่อยากมีเรื่องกับเฉินไต้ซือเท่านั้น
ความจริงที่บอกว่าตระกูลตู๋กูไม่อยากมีเรื่องกับเฉินโม่นั้นเป็นเพราะ ความแค้นของทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้รุนแรงถึงขันนั้น ถ้าวันนี้เฉินโม่เกิดฆ่าคนในครอบครัวของตระกูลตู๋กูเข้า หรือเหยียบหยามตระกูลตู๋กูเหมือนที่ทำกับตระกูลหยู ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตู๋กูเยว่ล่วงเกินเฉินโม่เข้าก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่กืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้
แต่ว่า ถ้าแค่ทำเพื่อตระกูลหยูอย่างเดียวแล้วไปมีปัญหากับเฉินไต้ซือเข้า แบบนี้มันก็ไม่คุ้มอยู่แล้ว ตระกูลหยูไม่มีค่าพอให้ตระกูลตู๋กูของเขาทำแบบนี้
สำหรับชื่อเสียงของเฉินไต้ซือคนของตระกูลหยูก็เคยได้ยิน แต่คนของตระกูลหยูไม่ได้รู้ลึกเท่าคนของตระกูลตระกูลตู๋กูพวกเขารู้แค่ว่าเฉินไต้ซือแห่งโลกบู๊โบราณไม่ธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเฉินโม่คนเดียวเคยฆ่าผู้แข็งแกร่งแดนเทพไปนับสิบแล้ว
ถ้ารู้ละก็ ต่อให้หยูเปียวมีหัวใจอีกสิบดวงก็คงไม่กล้า เขาก็คงไม่กล้าไปหาเรื่องเฉินโม่อีกแล้ว
แต่ว่า ตอนนี้มีตระกูลตู๋กูหนุนหลัง หยูเปียวคิดว่าต่อให้เป็นเฉินไต้ซือก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
หยูเปียวเห็นตู๋กูเยว่ยืนนิ่งไม่ขยับ ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ แอบเดาว่าตู๋กูเยว่คงตกใจกับฐานะของเฉินไต้ซือเข้าแล้ว
หยูเปียวไม่อยากเห็นตู๋กูเยว่มาถอยเอาตอนนี้ จึงถามหยั่งเชิงไปว่า “หลานชาย เฉินไต้ซือนี่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าตระกูลตู๋กูกลัวรึเปล่า?”
ตู๋กูเยว่รู้จุดประสงค์ของหยูเปียวดี แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เขาคงไม่มีทางยอมรับว่าตระกูลตู๋กูกลัวเฉินไต้ซือหรอกมั้ง
แต่ถ้าตระกูลตู๋กูไม่กลัวเฉินไต้ซือ ขั้นต่อไปหยูเปียวต่อยุยงให้เขาลงมือกับเฉินไต้ซือแน่ ถึงตอนนั้นตู๋กูเยว่ควรทำยังไง?
ตู๋กูเยว่สบถในใจ ตาแก่ของตระกูลหยูนี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องกับเฉินไต้ซือแล้วผลที่ตามมาจะเป็นยังไง
ตระกูลหยู เป็นตัวละครที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
ตู๋กูเยว่โค้งตัวให้เฉินโม่แล้วพูดไปว่า “ที่แท้ก็เฉินไต้ซือนี่เอง พวกเราไม่รู้ว่าเป็นบ้านของเฉินไต้ซือ เลยเข้ามาโดยพลการ ขอเฉินไต้ซือโปรดอย่าถือสาเลยครับ!”
“พวกผมขอตัวไปก่อนนะครับ!” พูดจบ ตู๋กูเยว่ไม่ได้สนใจสายตาที่ตกตะลึงของคนตระกูลหยู พาคนของเขาหมุนตัวแล้วจากไปทันที
พอหยูจุนโม่เห็นตู๋กูเยว่กำลังจะไป เขาที่ยังไม่มองสถานการณ์ไม่ออกจึงรีบพูดไปว่า “พี่ตู๋กู คุณจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะ คุณรับปากผมแล้วนี่ว่าจะช่วยตระกูลหยูทวงความคืนความยุติธรรม!”
ตู๋กูเยว่หันมองหยูจุนโม่ด้วยสายตาที่เจ็บปวด คุณชายผู้นี้ที่เที่ยวเล่นไปพร้อมกับเขา สายตานี่ช่างแย่เหลือเกิน
แต่ก็ช่างเถอะ เจ้าโง่แบบนี้ ต่อไปคบให้น้อยลงหน่อยน่าจะดีกว่า
ตู๋กูเยว่จ้องมองหยูจุนโม่ด้วยสายตาที่เคร่งขรึม แล้วพูดไปว่า “หยูจุนโม่ ช่วยเรียกผมด้วยชื่อเต็มด้วย หรือจะเรียกคุณชายตู๋กูก็ได้พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น!”
หยูจุนโม่ถึงกับอึ้ง จ้องมองตู๋กูเยว่ที่ทำหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงตอนนี้ถ้าเขายังไม่เข้าใจ ก็เป็นไอ้โง่แล้ว
“เข้าใจ ผมเข้าใจแล้ว คุณชายตู๋กูเดินทางปลอดภัยนะครับ!” หยูจุนโม่สีหน้าหม่นหมอง สายตามีแต่ความอัปยศ เสียแรงที่เขามองตู๋กูเยว่เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด ถึงแม้ในสายตาของอีกฝ่าย ตัวเขาเป็นเพียงตัวละครที่สามารถทิ้งได้ทุกเมื่อนี่เอง
หยูเปียวจ้องมองลูกชายที่ไม่เอาไหนของตน เมื่อเทียบกับตู๋กูเยว่ นอกจากเรื่องเที่ยวก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
แต่ว่า ในเมื่อตู๋กูเยว่ได้เลือกไปแล้วหยูเปียวก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้จึงจำเป็นต้องกลับไปก่อน เพราะลำพังแค่ฝีมือของตระกูลหยู คงจะถูกเฉินโม่เหยียดหยามอีกแน่
หยูเปียวถลึงตาใส่หยูจุนโม่ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ไป!”
หยูจุนโม่เดินตามหลังหยูเปียวไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
แต่ทว่า จู่ๆ เฉินโม่ก็ได้เอ่ยปากออกมา “เดี๋ยวก่อน ผมอนุญาตให้คุณไปแล้วเหรอ?”
ฝีเท้าของคนจากตระกูลหยูหยุดชะงักทันที แม้แต่ ตู๋กูเยว่กับคนจากตระกูลตู๋กูที่เดินไปถึงหน้าประตูยังอดที่จะหยุดเดินไม่ได้
หันมองกลับไปที่เฉินโม่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่