แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 1604
หงเวยเดินอย่างรวดเร็วจนเคราสีขาวปลิวไสวกลางอากาศ เขายกดาบขนาดใหญ่ในมือขึ้นสูง ดาบยังไม่ทันร่วงหล่น ทุกคนในที่นั้นก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากคมดาบ ราวกับว่าอีกเสี้ยววินาทีข้างหน้าหัวของตัวเองจะต้องตกลงสู่พื้น
สู้กันจริงด้วย! แต่ไม่นึกเลยว่าอดีตจอมพลหงเวยจะมาร่วมวงเอง!
มือขวาของเฉินโม่ยกขึ้นทันที
“อะไรน่ะ!” แขกเหรื่อพากันตกใจจนหน้าถอดสีและพูดอย่างงงงัน: “หรือว่า…หรือว่าเขาจะรับดาบของอดีตจอมพลหงโดยตรง!”
“เฉินไต้ซือเหมือนที่ร่ำลือกันเลยจริงๆ!”
“สมกับที่เป็นอันดับหนึ่งในรายชื่อเทพ!”
ไม่คิดเลยว่าดาบที่ตนสะสมพลังไว้เป็นเวลานานจะอยู่ในมือของไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้ แถมตัวเองก็แย่งกลับคืนมาไม่ได้
ทั้งสองคนเริ่มปะทะแรงกันผ่านดาบขนาดใหญ่ หงเวยหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เฉินโม่ยังพูดไปยิ้มเยาะไปเหมือนเก่า
“กล่าวกันว่าอดีตจอมพลหงซื่อสัตย์ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างหาตัวจับได้ยาก เฉินโม่อย่างฉันในฐานะพลเอกมาที่นี่วันนี้เพื่อเยี่ยมเยียน ไม่รู้ว่าทำไมอดีตจอมพลถึงต้อนรับแขกแบบนี้?”
“ดีมาก เฉินโม่! ฉันรู้อยู่แล้วว่าวันนี้นายไม่ได้มาเพื่อไว้อาลัยให้กับซิ่งกั๋ว แต่ถ้านายอยากทำให้ตระกูลหงของฉันขายขี้หน้าก็เลิกคิดได้เลย ไม่งั้นได้ตายกันทั้งคู่แน่!”
ตอนที่เจียงเหอซานนำคำพูดของเฉินโม่กลับมาบอก หงเวยก็รู้ว่าไอ้เจ้าเฉินโม่คนนี้ไม่ได้เห็นด้วยกับคำขอของเขา
แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะมาที่นี่เพื่อทำให้ตระกูลหงขายหน้า!
ตระกูลหงไม่ยอมขายหน้าง่ายๆหรอก!
“อดีตจอมพล!” เฉินโม่คลายมือ และถึงได้พูดอีกครั้ง “ฉันแค่อยากถามหนึ่งคำถาม กรุณาคิดให้ดีก่อนที่จะตอบฉันนะ”
“เหอะ!” หงเวยร้องเฮอะอย่างเย็นชาหนึ่งที วางดาบลงข้างตัว เอียงคออย่างท้าทายและรอให้เฉินโม่พูดต่อ
“ฉันแค่อยากถามว่าถ้าลูกชายของผู้นำหลี่อยากทำให้ภรรยาอดีตจอมพลด่างพร้อย อดีตจอมพลจะทำยังไงครับ?”
หงเวยโกรธจนถลึงตา เคราปลิวไสว เขายกดาบขนาดใหญ่ขึ้นมาและเอ่ย: “จะทุบให้แตกเป็นเสี่ยงๆเลย!!!”
“เฉินโม่ นายอย่าเพิ่งมาไส่ป้ายสีซะ!” ตระกูลหลี่ที่อยู่ในกลุ่มแขกเหรื่อรีบร้อนพูดอธิบาย : “อดีตจอมพลหง! เฉินโม่พยายามสร้างความบาดหมางนะครับ!”
แต่ในตอนนี้หงเวยกลับเงียบไปอย่างกะทันหัน เหมือนกับว่าเขาเข้าใจความหมายของเฉินโม่แล้ว
เฉินโม่ยังคงพูดต่อ “ในกองทัพ บารมีของอดีตจอมพลหงก็เหมือนเทพพระเจ้า ในตอนนี้กลับไม่ได้รับความยุติธรรม หรือว่านี่คือตัวอย่างที่คุณสร้างไว้ให้พวกเขาได้เห็น?”
“อดีตจอมพลอยากให้ชื่อเสียงอันโด่งดังของตัวเองถูกทำลายเหรอ?”
อย่างกับว่าคำทุกคำที่เฉินโม่พูดออกมากระแทกเข้าไปที่หัวใจของหงเวย คนที่หงซิงกั๋วอยากทำให้ด่างพร้อยคือผู้หญิงของเฉินโม่ ถ้าเฉินโม่ฆ่าเขาก็…
หงเวยรู้สึกทรมานใจเล็กน้อยจนปิดตาลงและกัดฟันพูด: “แต่ทำไมนายต้องให้เขาตายอย่างทรมานขนาดนั้นด้วย? นายกระทืบเขาให้ตาย หรือตบตีเขาให้ตายก็ได้ ทำไมต้องบดขยี้วิญญาณจนทำให้เขาต้องทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด?”
“เพราะฉันกลัว!” เฉินโม่ตอบ
“เฉินโม่อย่างนายมีอะไรต้องกลัวอีก?”
“ฉันกลัวว่าตัวเองจะจะปกป้องทุกอย่างที่ฉันรักไม่ได้ ไม่ว่าฉันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็มักจะมีช่วงที่ประมาทอยู่เสมอ ครั้งนี้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันก็กลัวว่าจะมีคนอย่างหงซิงกั๋วคนต่อไป ฉันกลัวว่าครั้งหน้าฉันอาจไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ก็เลยจัดการเขาด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุด ให้พวกที่อยากท้าทายฉันอยู่เงียบๆได้รู้ว่าถ้าคิดจะจัดการเฉินโม่อย่างฉันก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมาน! ถึงเขาจะเป็นหงซิงกั๋ว หลานชายคนเดียวของท่าน! ก็ไม่ได้เหรอ!”
ที่แห่งนี้เงียบสงบลง เพลงโศกหยุดบรรเลงนานแล้ว เหล่าแขกเหรื่อก็กลับกันหมดแล้ว ผู้นำตระกูลหงก็ถูกหามตัวไปรับการรักษาแล้ว
ดาบใหญ่ของหงเวยถูกวางลงข้างตัว เขานั่งลงบนพื้นเหล่ตามองเฉินโม่ที่ยืนตัวตรงและเอ่ย: “เฉินโม่ นายฆ่าหลายชายของฉัน อยากให้ฉันปล่อยนายไปแบบนี้ ฉันไม่ได้เต็มใจนะ”
“แล้วท่านอดีตจอมพลคิดยังไง?”
“ฉันกับนายไปบุกเผ่าบู๊โบราณด้วยกัน! แบบนี้ดีมั้ยล่ะ! เฉินโม่อย่างนายกล้าลองอีกสักครั้งรึเปล่า?” หงเวยจ้องเฉินโม่ด้วยแววตาที่เป็นประกายและเอ่ย
เฉินโม่ยิ้มและพูดว่า: “ได้ครับ!”