แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 433
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 433
เมื่อมองไปที่ชายชราในชุดสีเทาที่เหยียบความว่างเปล่าเดินเข้ามาจากหน้าต่าง ยกเว้นหนานกงหลงและคนอื่นๆในโลกฝึกบู๊ ล้วนเต็มไปด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนกกันทั้งสิ้น!
ซุนเฟยเยว่กำลังคุยโทรศัพท์สั่งการลูกน้องอยู่ ก็ชะงักลงกะทันหัน ใบหน้าเผยความรู้สึกยินดีออกมา เขารู้มานานแล้วว่าหนานกงหลงและมู่เจิ้งเฟิงสองคนไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าการเดาของเขาถูกต้อง
ซุนเฟยเยว่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจเองว่า “นี่คงจะเป็นนักบู๊ในตำนานสินะ! หากเขาสามารถฆ่าพวกของถังมู่หวาและหลี่ซู่เฟินได้ งั้นก็คงจะดีอย่างยิ่ง ต่อหน้าของความแค้นที่ฆ่าพ่อ แบบนี้คุณถังเจิ้นก็จะไม่มีเวลาสนใจจัดการฉันแล้ว”
ท่านถังตระหนกในใจ แล้วพูดพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อว่า “นี่คือ นักบู๊ในตำนาน!”
ด้วยฐานะของท่านถังก็เคยได้ยินมาว่านักบู๊มีอยู่จริงอยู่แล้ว แต่ว่าได้เห็นนักบู๊ที่เหยียบอากาศด้วยตาเอง สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เกินกว่าที่จะตกตะลึง!
หลี่ซู่เฟิน เวินฉิงและว่านฉางหรูคืนสติคืนกลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามพวกเธออยู่ในงานชั้นสูงฮ่านหยาง เห็นเฉินซงจื่อจู่โจมฆ่าปรมาจารย์ของตระกูลหลี่ด้วยหมัดเดียวกับตา
หนานกงหลงพูดด้วยรอยยิ้มที่ได้ใจว่า “เจ้าหนูเฉินโม่ คิดไม่ถึงสินะ กูให้คุณกู่ซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เดิมทีอยากจะรอให้พวกแกจากไปหลังจากนั้นก็ฆ่าพวกแกเงียบๆ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆจะมีคนแซ่ถังแก่ๆคนนี้โผล่ออกมา ทำให้กูไม่เชิญคุณกู่ออกหน้าก่อนไม่ได้”
“วันนี้ พวกแกทุกคนจะต้องตายกันหมดที่นี่! เพื่อแสดงความเคารพต่อเทียนเอ๋อร์ที่ตายไปของกู!”
แม้ว่าหลี่ซู่เฟินกับเวินฉิงจะไม่รู้จักหนานกงหลง แต่ในเวลานี้ก็รู้จักฐานะของเขา จึงอดที่จะมองเฉินโม่อย่างกังวลไม่ได้ ตอนนี้เฉินซงจื่อไม่อยู่ เฉินโม่คนเดียวจะสามารถจัดการได้หรือ?
กู่ฉางเฟิง ชายชราสวมชุดสีเทาเหลือบมองเฉินโม่ สีหน้าเย็นชา หันศีรษะกลับเหลือบมองหนานกงหลงด้วยความไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “คุณให้ฉันมา ก็เพื่อให้ฉันจัดการกับไอ้เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งแบบนี้? ทายาทตระกูลหนานกง แต่ละรุ่นไม่เอาไหนไปเรื่อยจริงๆ!”
หนานกงหลงหน้าแดงและรีบแก้ต่างว่า “คุณกู่ คุณอย่าได้ประมาทเขา เทียนเอ๋อร์ก็ถูกเขาฆ่า ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีใดในการซ่อนลมหายใจในกาย ที่จริงแล้วพลังบำเพ็ญของเขาอย่างน้อยก็อยู่แดนแปรภาพชั้นสูงสุด!”
“ใช่แล้ว เขายังมีอาจารย์คนหนึ่ง เป็นปรมาจารย์แดนแปรภาพคนหนึ่งด้วย! ยังเคยฆ่าปรมาจารย์ที่บูชาเลี้ยงไว้คนหนึ่งของตระกูลหลี่แห่งยานจิง หลี่หลงจี่”
กู่ฉางเฟิงชะงักเล็กน้อย แล้วถึงได้มองเฉินโม่อย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง และพูดด้วยความประหลาดใจว่า “หลี่หลงจีไอ้หนูนั่นฉันพอจะรู้จัก ก่อนที่ฉันจะละทางโลกตามนายท่าน เขาเป็นเพียงแดนในชั้นสูงสุด คิดไม่ถึงว่าก็เข้าสู่แดนแปรภาพ ก็นับว่ามีพรสวรรค์อยู่บ้าง”
“ไอ้หนู ในเมื่อแกสามารถฆ่าหนานกงหลินเทียนได้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ทำไมต้องปิดๆซ่อนๆ เก็บเคล็ดลับเอาไว้ให้ฉันได้ดูสิว่าพลังบำเพ็ญของแกคืออะไร?”
เฉินโม่ยิ้มราบเรียบแล้วพูดว่า “อยู่ต่อหน้าพวกมดเล็กๆอย่างแก ฉันยังต้องใช้เคล็ดลับเหรอ? พลังบำเพ็ญของฉันก็มีให้เห็นอยู่ตรงนี้ เป็นแกที่ไม่มีความสามารถมองเห็นชัดเจนได้”
สีหน้ากู่ฉางเฟิงเปลี่ยนไป ดวงตาโมโหเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไอ้หนู แกบ้าไปแล้ว! ถ้าแกรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันรับประกันว่าแกจะไม่พูดแบบนี้”
หนานกงหลงตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าหนูเฉินโม่อย่าได้บ้าบิ่น! นี่คือผู้ดูแลกระบี่ของหนานกงหยู่พ่อกู คุณกู่กู่ฉางเฟิง เขาได้เป็นยอดฝีมือสูงสุดอันดับที่สิบในการจัดอันดับปรมาจารย์ตั้งแต่สามสิบปีที่แล้ว แม้ว่าจะเป็นอาจารย์คนนั้นของแกเห็นเขา ก็ต้องเรียกว่าผู้อาวุโส!”
เฉินโม่ตกตะลึงเล็กน้อยและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “อันดับที่สิบของการจัดอันดับปรมาจารย์เมื่อสามสิบปีที่แล้ว? งั้นตอนนี้แกก็กลายเป็นแดนเทพแล้วสินะ!”
กู่ฉางเฟิงลูบเคราพร้อมดวงตาของล้ำลึก “เจ้าเด็กโง่เง่า แดนเทพจะทะลวงได้ง่ายดายขนาดนั้นเลย! ไม่ต้องพูดถึงสามสิบปี หากว่าไม่มีโอกาสที่ดี ก็จะไม่สามารถทะลวงได้เลยตลอดชีวิต!”
เฉินโม่พยักหน้าและพูดด้วยหน้าตาจริงจังว่า “โอ้ พูดแบบนี้แกไม่ได้ทะลวงแดนเทพ ดูเหมือนว่าแกจะใช้ชีวิตไร้ค่ามาสามสิบปีแล้ว!”
กู่ฉางเฟิงเกือบจะสำลักลมหายใจหนึ่ง จ้องมองไปที่เฉินโม่และตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า “แกรนหาที่ตาย!”