แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 517
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 517
“ไม่มีบัตรเชิญ?”
สายตาของคนเฝ้าประตูทั้งสี่คนที่มองเฉินโม่กลายเป็นเย็นชาทันที
“ขออภัยด้วย วันนี้ตระกูลได้เชิญคนที่มีชื่อเสียงจากแต่ละวงการของมณฑลซีไห่มาที่นี่ ถ้าไม่มีบัตรเชิญก็เข้าไม่ได้ เชิญคุณออกไปเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มที่เฝ้าประตูกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
สีหน้าของเฉินโม่ยังคงไร้อารมณ์ และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมยังทำธุระไม่เสร็จ ผมยังกลับไม่ได้”
หนึ่งในคนที่เฝ้าประตูเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาจึงด่าทันทีว่า “เจ้าหนู ที่นี่คือตระกูลกงซุน ไม่ใช่สถานที่ที่แกจะมาทำอะไรตามใจชอบได้ รีบไสหัวออกไปซะ มิเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”
เฉินโม่ไม่อยากลงมือทำร้ายคนเฝ้าประตู แต่ถ้าเขาไม่ลงมือ ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่น ขณะที่เฉินโม่กำลังจะแสดงฝีมือเพื่อสยบคนเฝ้าประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงเคร่งขรึมของผู้ชายดังมาจากข้างหลัง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินโม่หันไปมอง เป็นชายวัยกลางสวมชุดสูทสีดำ ท่าทางน่าเกรงขาม กำลังเดินเข้ามา สายตาที่เขามองคนเฝ้าประตูทั้งสี่มีความโกรธเล็กน้อย
เมื่อคนเฝ้าประตูทั้งสี่เห็นชายคนนั้น พวกเขายิ้มด้วยความประจบทันที หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความประจบว่า “ที่แท้คือคุณอานเอง”
“ไม่รู้ว่าเจ้าหนูคนนี้เป็นลูกของใคร มาก่อกวนที่นี่ พวกเรากำลังจะไล่เขาออกไป”
เห็นได้ชัดว่าอานซื่อเฉิงไม่เชื่อคำพูดของคนเฝ้าประตูเหล่านี้ เขาเหลือบมองเฉินโม่แล้วถามว่า “น้องชาย นายมาก่อกวนหรือเปล่า?”
เฉินโม่มองอานซื่อเฉิงด้วยสีหน้าสงบ “เปล่า”
เมื่อมองท่าทางที่ไม่แยแสของเฉินโม่แล้ว อานซื่อเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาถือเป็นคนใหญ่คนโตของมณฑลซีไห่ แต่เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ได้ยินชื่อของเขาแล้ว กลับไม่แสดงความนอบน้อมแม้แต่น้อย หรือไม่เขาไม่รู้จักตนเอง หรือไม่เขาไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อานซื่อเฉิงรู้สึกสนใจเฉินโม่แล้ว เขาหันไปมองคนเฝ้าประตูแล้วกล่าวว่า “พวกคุณได้ยินหรือยัง น้องชายคนนี้บอกว่าเขาไม่ได้มาก่อกวน พวกคุณปล่อยให้เขาเข้าไปเถอะ”
คนเฝ้าประตูแสดงสีหน้าลำบากใจ หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “คุณอาน วันนี้ผู้นำตระกูลจัดประชุม พวกเราไม่กล้าปล่อยคนที่ไม่มีบัตรเชิญเข้าไปหรอก เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะรับผิดชอบไม่ไหว!”
อานซื่อเฉิงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมอานซื่อเฉิงจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เจ้าหนู นายจะเข้าไปข้างในใช่ไหม? งั้นตามฉันเข้าไปเถอะ!”
อานซื่อเฉิงจ้องพวกเขาด้วยสายตาดุดัน จากนั้นพาเฉินโม่เดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าสงบ
คนเฝ้าประตูทั้งสี่ต่างมองหน้ากัน แต่ไม่กล้าขัดขวาง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงมองเฉินโม่เดินตามอานซื่อเฉิงเข้าไปในวิลล่า
เมื่อเดินพ้นสายตาของคนเฝ้าประตูแล้ว อานซื่อเฉิงหยุดฝีเท้า มองเฉินโม่และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านายเข้ามาทำอะไรที่นี่ แต่ฉันอยากจะเตือนว่าตระกูลกงซุนไม่ใช่ตระกูลที่สามารถยั่วยุได้ง่าย ๆ ถ้าเจอปัญญาแล้วอย่าหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด”
เฉินโม่มองคนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ประวัติของอานซื่อเฉิง แต่เฉินโม่เห็นความเมตตาอย่างจริงใจอยู่ในสายตาของเขา
“บุคคลนี้มีจิตใจเมตตา แต่หน้าผากของเขาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นหายนะเลือดตกยางออก ช่างมันเถอะ เขาบังเอิญช่วยผมไว้ แล้วผมจะตอบแทนเขา”
ถึงแม้ว่าเฉินโม่จะไม่ชำนาญในการดูโหงวเฮ้ง แต่เขาเป็นผู้บำเพ็ญ เขามีความชำนาญวิชาดูชี่ หายนะเลือดตกยางออกของอานซื่อเฉิงเป็นสัญญาณอันตรายถึงชีวิต และเป็นความหายนะใหญ่ที่สุดสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งเฉินโม่สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
“น้องชาย จำคำเตือนของฉันไว้ให้ดี พวกเราจากลากันตรงนี้น่ะ!” อานซื่อเฉิงประสานมือทั้งสองเป็นการคำนับ แล้วยิ้มให้เฉินโม่ อานซื่อเฉิงไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามเฉินโม่เพราะว่าเขาอายุน้อย
เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมตามคุณไปดีกว่า เพราะผมไม่รู้จักใครสักคน ถ้าหากคุณพบเจอปัญหาอะไร ผมยังสามารถช่วยคุณได้”
ชายชราแขนเดียวที่เดินตามอานซื่อเฉิงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าหนู แกพูดจาบ้าบิ่นเกินไปแล้ว แกรู้ไหมว่าตนเองกำลังพูดกับใครอยู่? ถ้าเรื่องที่แม้แต่คุณอานก็ไม่สามารถแก้ได้ แล้วนักเรียนมัธยมปลายที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแก จะสามารถช่วยได้อย่างไร? แกคุยโวโอ้อวดโดยไม่รู้สึกกระดากอายมากเกินไปแล้ว!”
อานซื่อเฉิงรีบห้ามปรามว่า “เฮ้อ พี่หลิ่ว อย่าพูดอย่างนั้น น้องชายคนนี้พูดด้วยความหวังดี”