แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 867
ชายชราสวมชุดกีฬาสีเทากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในบรรดาพวกเรา มีใครที่สามารถจัดการกระบี่บินของเขาได้?”
ชายชราพวกนั้นต่างเงียบ ความแข็งแกร่งของพวกเขายังสู้เซี่ยงชงไม่ได้ แม้แต่เซี่ยงชงก็ตายด้วยกระบี่บินเล่มนั้น แล้วพวกเขาจะกล้าพูดว่าตนเองสามารถจัดการกระบี่บินเล่มนั้นได้อย่างไร?
สีหน้าของชายชราทรุดลง “ดูเหมือนว่ากำลังคนของพวกเรายังไม่เพียงพอ ทุกคนไปหาคนมาช่วยอีกคนละสองคน พวกเราจะต้องชนะด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!”
“อืม” ชายชราพวกนั้นพยักหน้าพร้อมกัน
เฉินโม่ยืนอยู่กลางอากาศ โดยมีพระจันทร์เต็มดวงเป็นฉากหลัง ราวกับเทพที่ลงมาจากสวรรค์
เมื่ออยู่ภายใต้กระบี่สับสวรรค์แล้ว เซี่ยงชงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เฉินโม่เหลือบมองเบา ๆ หันหลังแล้วเดินจากไป
กลุ่มนักบู๊ที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ด้านล่าง พวกเขามองเฉินโม่ที่กำลังจากไป หลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหลทันที
“แสงสีทองคืออะไรกันแน่? ความแข็งแกร่งของเฉินไต้ซือถึงระดับไหนแล้ว? แดนเทพเหรอ?”
“ผมรู้สึกว่าดูเหมือนเฉินไต้ซือยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด!”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เกรงว่าคงต้องจัดอันดับปรมาจารย์ใหม่อีกครั้งแล้ว”
ทุกคนกำลังคุยกันอย่างลับ ๆ เพราะแดนเทพไม่ปรากฏมาเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว และพวกเขาไม่รู้มาตรฐานเฉพาะของแดนเทพ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเฉินโม่แข็งแกร่งกว่านักบู๊ทั้งหมดที่พวกเขาเคยเห็น
การต่อสู้ใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว แต่เหล่านักบู๊ยังคงไม่จากไป พวกเขารวมตัวและวิพากษ์วิจารณ์กันเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
เฉินโม่กลับมาที่กลุ่มคฤหาสน์ทะเลสาบกลับคืนรัง เอียนชิงเฉิงและซังซังได้ช่วยหลี่ซู่เฟินที่ถูกมัดออกมาแล้ว
เมื่อเห็นเฉินโม่ หลี่ซู่เฟินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เสี่ยวโม่ ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม? บุคคลนั้นล่ะ?” หลี่ซู่เฟินถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าแม่ของตนเองตกใจกลัวเช่นนี้ ทำให้เฉินโม่รู้สึกผิด และกล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า “ผมไม่เป็นไร บุคคลนั้นถูกผมฆ่าตายแล้ว ขอโทษครับคุณแม่ ที่ทำให้คุณแม่ตกใจกลัว!”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” หลี่ซู่เฟินถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
เฉินโม่มองเวินฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลังหลี่ซู่เฟินอย่างเงียบ ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “พี่เวินฉิง ไม่ได้ทำให้พี่ตกใจใช่ไหม?”
เวินฉิงส่ายศีรษะ และยิ้มด้วยความโล่งอกว่า “ฉันไม่กลัว เพราะฉันรู้ว่าคุณจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้อย่างแน่นอน”
เฉินโม่มองเห็นร่องรอยความรักปรากฏอยู่ในดวงตาของเวินฉิง เขารู้สึกอึ้งเล็กน้อย และกล่าวอยู่ในใจว่า “นึกไม่ถึงว่าแม้แต่พี่เวินฉิงก็ได้รับผลกระทบ ผมจำได้ว่าชาติก่อน พี่เวินฉิงเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก และเธอถือคุณแม่เป็นแบบอย่างเสมอมา แต่ตอนนี้ผมเห็นร่องรอยการพึ่งพาอยู่ในสายตาของเธอ”
เฉินโม่ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มันดีหรือไม่ แต่ในวัยของเวินฉิง เป็นช่วงเวลาสวยงามที่สุดของผู้หญิง และผู้หญิงในวัยนี้ควรเป็นวัยที่ร่าเริงและทำตามใจตนเอง และมักจะออดอ้อนแฟนหนุ่มใช่ไหม?
เฉินโม่รู้สึกว่าชาติก่อนเธออาจจะมีความกดดันมากเกินไป ทำให้ลบล้างนิสัยที่แท้จริงของเวินฉิงไป และเธอจำเป็นต้องเติบโตก่อนเวลาอันควร
ชาตินี้ ไม่มีแรงกดดันจากภายนอก เชื่อว่าเวินฉิงจะสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวตนที่แท้จริงได้
เฉินโม่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการเห็นมากที่สุด
เฉินโม่มองเฉินซงจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
เฉินซงจื่อส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรแล้ว”
เฉินโม่พยักหน้า แล้วหันไปมองหลี่ซู่เฟิน “คุณแม่ครับ คืนนี้พักอยู่ที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้คุณแม่ค่อยกลับฮ่านหยาง!”
เพราะว่าตอนนี้ใกล้เช้าแล้ว ถึงแม้ที่ฮ่านหยางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องรีบร้อนขนาดนั้น
หลี่ซู่เฟินพยักหน้า “โอเค”
เฉินซงจื่อและซังซังทำความสะอาดคฤหาสน์ที่รกรุงรัง ที่นี่มีห้องมากมาย ซึ่งมีห้องเพียงพอสำหรับทุกคน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า บริเวณเชิงเขา ในที่สุดความกระตือรือร้นของนักบู๊ก็ลดลง และพวกเขาก็ค่อย ๆ ทยอยจากไป