แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 895
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 895
สำนักยาเซียนสืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งมีความลับบางอย่างที่แม้แต่คนของสำนักยาเซียนก็ไม่รู้ เพราะตอนที่ผู้นำคนแรกของตระกูลมู่มาที่สำนักยาเซียน สำนักยาเซียนก็มีทุกอย่างอยู่แล้ว
หมายความว่าตระกูลมู่ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งสำนักยาเซียนอย่างแท้จริง แต่เป็นผู้ที่บุกรุกยึดครองสถานที่ของผู้อื่นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นค่ายกลที่คนโบราณใช้ปกป้องสำนักยาเซียน ความจริงแล้วคนของสำนักยาเซียนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
หลังจากเฉินโม่อ่านเนื้อหาบนกระดาษโบราณแล้ว เฉินโม่ก็ยิ้มทันที
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง! สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่บำเพ็ญของนักพรตตานติ่ง เมื่อ 800 ปีก่อน”
เฉินโม่มองกระดาษโบราณที่อยู่ในมืออีกครั้ง และถอนหายใจเล็กน้อย “และนี่เป็นจดหมายสั่งเสียก่อนตายเมื่อ 800 ปีก่อน นักพรตตานติ่งคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญที่มีน้ำใจจริง ๆ!”
เฉินโม่หันไปมองมู่จือเสว๋ด้วยสีหน้าราบเรียบ และกล่าวว่า “สำนักยาเซียนครอบครองสถานที่บำเพ็ญของคนอื่นเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และวันนี้มันก็ถึงเวลาที่จะคืนแล้ว”
สีหน้าของมู่จือเสว๋ขาวซีด เขาในฐานะผู้นำตระกูลมู่คนปัจจุบัน เขารู้เรื่องบางอย่างเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นประวัติความเป็นมาอย่างแท้จริงของตระกูลมู่
เพียงแต่ เขาไม่ยอมรับ ถ้าเขายอมรับว่าสำนักยาเซียนไม่ใช่ของตระกูลมู่ ถ้าเช่นนั้นเฉินโม่ก็สามารถเอาทุกอย่างของสำนักยาเซียนไปอย่างชอบด้วยเหตุผล
“นายกำลังพูดเรื่องอะไร? ผมไม่เข้าใจ! สำนักยาเซียนของพวกเราสืบทอดเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และทุกคนต่างก็รู้ แล้วจะกลายเป็นการยึดครองสถานที่บำเพ็ญของผู้อื่นได้อย่างไร” มู่จือเสว๋เถียงข้าง ๆ คู ๆ และไม่กล้าสบตาเฉินโม่
เฉินโม่พ่นลมออกมาอย่างเย็นชา แล้วโยนกระดาษโบราณที่อยู่ในมือให้มู่จือเสว๋ “นายดูเอาเอง หลักฐานชัดเจน เถียงข้าง ๆ คู ๆ จะมีประโยชน์อะไร?”
มู่จือเสว๋รับกระดาษโบราณแผ่นนั้นมาอ่านทันที
ยิ่งอ่านสีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายมือทั้งคู่ของเขาสั่น และตะโกนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ เป็นไปไม่ได้! สำนักยาเซียนเป็นของตระกูลมู่ นักพรตตานติ่งคนนี้พูดจาเหลวไหล!”
“และต่อให้ที่นี่คือสถานที่เขาบำเพ็ญ ในเมื่อเขาไม่ต้องการมันแล้ว ตระกูลมู่ก็มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ก็ต้องกลายเป็นของตระกูลมู่! บรรพบุรุษตระกูลมู่ไม่ได้แย่งชิงมาจากมือของเขา แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตระกูลมู่ของพวกเราบุกรุกยึดครองสถานที่ของผู้อื่น!”
เฉินโม่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ผมบอกว่าใช่มันก็คือใช่ และไม่จำเป็นต้องอธิบายให้นายฟัง”
“ให้เวลาตระกูลมู่สามวัน ออกจากสำนักยาเซียน เพราะจดหมายสั่งเสียก่อนตายของนักพรตตานติ่งเขียนไว้อย่างชัดเจน ใครเป็นคนที่พบจดหมายฉบับนี้เป็นคนแรก ก็คือเจ้าของสำนักยาเซียน!”
หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่หันหลังแล้วเดินจากไป
“เฉินไต้ซือ ถ้านายยึดครองสำนักยาเซียนของพวกเรา ไม่กลัวว่าโลกฝึกบู๊จะร่วมมือกันโจมตีนายเหรอ?” มู่จือเสว๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด และเกือบจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
“แม้แต่ผู้มีอำนาจระดับสูงในโลกมนุษย์ก็ไม่ยอมให้นายทำเช่นนั้นหรอก ความดีความชอบที่ตระกูลมู่สร้างไว้ตอนที่ก่อตั้งประเทศ เป็นสิ่งที่นายไม่สามารถจินตนาการได้!”
เฉินโม่ไม่ได้หันกลับไปมอง และไม่หยุดฝีเท้า แต่กล่าวประโยคหนึ่งว่า “เรื่องของตระกูลมู่ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ตอนนี้ที่นี่คืออาณาเขตของผม ผมจะคอยดูว่าใครจะกล้าขัดขวางผม!”
สีหน้าของมู่จือเสว๋แดงก่ำ แต่เมื่อเผชิญกับการวางอำนาจบาตรใหญ่ของเฉินโม่แล้ว เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำได้เพียงเดินตามเฉินโม่อยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าเฉินโม่จะทำอะไร
เฉินโม่พาโจวลี่เต๋อกลับมาที่ห้องโถงของสำนักยาเซียน ตอนนี้สมาชิกของตระกูลมู่ที่ถูกเฉินโม่ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ยังคงนั่งปรับลมปราณอยู่บนเก้าอี้
เมื่อเห็นเฉินโม่กลับมา สีหน้าสมาชิกทุกคนของตระกูลมู่เปลี่ยนไปทันที
“ผู้นำตระกูลล่ะ?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลมู่ถาม
“อยู่ข้างหลัง” เฉินโมกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ
หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่ค่อย ๆ เดินไปตรงตำแหน่งที่นั่งของผู้นำตระกูลมู่ และนั่งลงภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของทุกคน
สมาชิกทุกคนของตระกูลมู่ขมวดคิ้วทันที บางคนดุด่าว่า “บังอาจ นั่นเป็นตำแหน่งที่นั่งของผู้นำตระกูลมู่ ไม่ใช่ที่นั่งที่คนนอกจะนั่งได้ รีบลุกขึ้น!”
เฉินโม่ยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ลุกขึ้น “ผมบอกข่าวดีแก่พวกคุณ ตระกูลมู่สามารถย้ายไปบ้านใหม่ได้แล้ว”
นี่ถือว่าข่าวดีเหรอ?