แดนนิรมิตเทพ - บทที่1429
ฟังคำพูดของเจียงเหอซานแล้ว เฉินโม่ยิ้มๆ “โส่วจ่าง คุณดูถูกผมเกินไปแล้ว หากแพ้ให้กับคนพวกนั้นจริงๆ ชาตินี้ผมก็เสียชาติเกิดแล้ว!”
แน่นอนสิ่งที่เฉินโม่พูดหมายถึงการเกิดใหม่ของเขา แต่สำหรับเจียงเหอซาน ดูเหมือนว่าเฉินโม่นั้นโอหังเกินไปแล้ว
เจียงเหอซานที่มีนิสัยตรงไปตรงมา โดยธรรมชาติก็ไม่มีทางที่จะพูดยออยู่แล้ว ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความแดกดัน “ไอ้หนุ่ม อย่าโอหังให้มันมากนัก โลกบู๊โบราณไม่เหมือนโลกฝึกบู๊ ในพวกเขานั้นมียอดฝีมือจริงๆ ฉันขอเตือนนายเอาไว้ อย่าไปฝืน ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมยังมีความหวัง”
เฉินโม่หัวเราะเบาๆ “ขอบคุณความหวังดีของเจียงโส่วจ่าง ผมจะจำไว้”
“งั้นก็ดี ไม่มีอะไรแล้ว รักษาตัวด้วย!” เจียงเหอซานพูดจบ ก็วางสายไปเลย
เฉินโม่เก็บโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมองทะเลเมฆที่คาดเดาไม่ได้บนท้องฟ้า และในแววตากะพริบผ่านไปด้วยแสงดาว
ใบหน้าของศิษย์น้องหญิงปรากฏขึ้นตรงหน้าของเฉินโม่
“แดนยาทอง ตำหนักเทพหิมะ!”
เฉินโม่อ่านคำเหล่านี้อย่างเงียบๆ และหันหลังกลับและลงไปจากดาดฟ้า
ในกลุ่มคฤหาสน์ทะเลสาบกลับคืนรัง เฉินโม่หยิบยาบรรลุแดนเม็ดนั้นออกมา มองดูมันอย่างเงียบๆ
ถ้าหากเขาใช้ยาบรรลุแดนในตอนนี้ พลังของเฉินโม่สามารถไปถึงระดับชั้นเก้าแดนรวมพลัง ห่างจากแดนยาทองเพียงก้าวเดียว
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากจะใช้ยาบรรลุแดน อย่างน้อยต้องใช้เวลาเตรียมตัวสิบวันหรือมากกว่านั้นในการทะลวงแดน มิเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้จะสูญเปล่าและร่างกายจะได้รับความเสียหาย
ตอนนี้การรุกรานของโลกบู๊โบราณใกล้เข้ามาแล้ว เฉินโม่ไม่กล้าที่จะทะลวงแดนในเวลานี้ สิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้คือ รอให้จัดการการโจมตีของโลกบู๊โบราณก่อน ตีคนโลกบู๊โบราณให้ได้รับบาดเจ็บ ถึงจะเหมาะแก่การทะลวงแดน
เฉินโม่แค่สะบัดมือก็ได้เก็บยาบรรลุแดนนั้นเข้าไปในขวดหยก หันหลังเดินออกไป
เฉินโม่คิดถึงความปลอดภัยของคนในครอบครัวของเขา ขอเพียงเขายังไม่ล้มลง เขาเชื่อว่าคนในโลกบู๊โบราณคงไม่โง่ที่จะไปแตะต้องครอบครัวของเขา เว้นแต่คนในโลกบู๊โบราณจะไม่มีสมาชิกในครอบครัว
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือวิธีที่จะเอาชนะการโจมตีระลอกนี้จากโลกบู๊โบราณ อีกทั้งต้องตีกลับให้พวกเขาหลาบจำ เพื่อว่าต่อไปพวกเขาจะไม่กล้ามาดูถูกโลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยได้อีก
โลกบู๊โบราณเคลื่อนไหวได้เร็วมาก เวลาสั้นๆแค่สามวัน นักบู๊หลายร้อยคนของโลกบู๊โบราณก็ได้มารวมตัวกันอยู่รอบๆกลุ่มคฤหาสน์ทะเลสาบกลับคืนรัง
คนที่นำทีมก็คือผู้อาวุโสของสำนักคุนชาง หลินว่านเหนียนหนึ่งในหัวหน้าของหกสำนักใหญ่
หลินว่านเหนียนคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพที่เก่งกาจมาก ในสามระดับของแดนเทพ เขาอยู่ระดับแดนมองขวัญชั้นสูงสุด หรือแค่ก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่แดนเทพแปรร่าง。
นักบู๊เมื่อเข้าสู้แดนเทพตอนท้าย หรือเรียกอีกอย่างว่านักบู๊พรสวรรค์ แดนเทพเหมือนกับแดนปรมาจารย์ มีสามแดนเล็กๆ หรือเรียกว่าแดนเทพทะลวงสามแดน และเรียกว่าพรสวรรค์สามแดน
แดนแรกก็คือแดนเทพแปรพลัง นักบู๊จะเอาชี่แท้เปลี่ยนเป็นพลังทิพย์จิตแท้ สิ่งนี้เทียบเท่ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากปริมาณถึงคุณภาพ
แดนที่สองก็คือแดนเทพแปรร่าง ก็คือการใช้พลังทิพย์จิตแท้ในการบ่มร่างกาย เพื่อให้พลังของร่างกายสามารถไปถึงระดับใหม่ เพื่อให้สามารถเก็บพลังทิพย์ได้มากขึ้น
แดนที่สามคือแดนแปรมหาเทพ ก็คือการใช้จิตวิญญาณของนักบู๊ เพื่อให้ได้ผู้บำเพ็ญที่มีจิตเทพ
ก้าวผ่านสามแดนนี้ไปได้ นักบู๊ก็จะมีโอกาสกลายเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง
ขอเพียงนักบู๊ที่สำเร็จจิตเทพ หรือเรียกอีกอย่างว่าเซียน ซึ่งเทียบเท่าได้กับช่วงการเปลี่ยนแปลงจากชั้นเก้าแดนรวมพลังไปยังแดนยาทอง
หลังจากที่นักบู๊ถึงแดนยาทองแล้ว ถึงจะนับเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง
ไอ้หลินว่านเหนียนคนนี้คือแดนเทพแปรพลังชั้นสูงสุด และได้เริ่มแปรร่างแล้ว ความสามารถนั้นเก่งกว่าแดนเทพทั้งสามคนที่เฉินโม่ฆ่าในจวนน้ำแข็งเสียอีก
อีกอย่าง คนที่มาในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่หลินว่านเหนียน ที่เหลืออีกห้าสำนักก็ได้ส่งผู้อาวุโสแดนเทพมาสำนักละหนึ่งคน
บวกกับแปดตระกูลใหญ่ หนึ่งในนั้นก็มีแดนเทพออกนั่งบัญชาการด้วยตันเอง ครั้งนี้ในคนที่มาล้อมโจมตีกลุ่มคฤหาสน์ทะเลสาบกลับคืนรัง ได้รวมผู้แข็งแกร่งแดนเทพไว้สิบกว่าคน
การรวมตัวนี้ เพียงพอที่จะกวาดล้างหัวเซี่ยแล้ว หากไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ก็ไม่มีใครสู้ได้เลย