แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 473 ผมเป็นคนของพี่แล้ว / บทที่ 474 นี่คือบททดสอบ!
- Home
- แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี
- บทที่ 473 ผมเป็นคนของพี่แล้ว / บทที่ 474 นี่คือบททดสอบ!
บทที่ 473 ผมเป็นคนของพี่แล้ว
ปกติโจวเหวินปินชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ในบริษัท ความคับแค้นใจได้ร่ำลือไปทั่วตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะพนักงานระดับล่าง ทุกคนต่างเกลียดชังเข้ากระดูกดำกับพฤติกรรมของเขา เพียงแต่ติดที่มีพื้นหลังของกงซวี่อยู่ ทุกคนถึงได้เก็บความเกลียดชังไม่กล้าแสดงออกมา
วันนี้ได้เห็นเขาถูกกงซวี่เขี่ยทิ้งแล้ว ผู้คนรู้สึกเพียงแต่สมน้ำหน้าเขา ได้เห็นท่าทางจอมปลอมไม่จริงใจของเขา ทุกคนต่างแสดงสีหน้าดูถูก พากันกระซิบกระซาบ…
“แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมกงซวี่กำลังทำอะไรกันแน่ แต่โจวเหวินปินก็น่ารังเกียจเหลือเกิน ทำงานหนักไม่มีเครดิตเหรอ? ทุ่มเทกายใจ? เขาพูดออกมาได้ยังไง?”
“ใช่ๆ! ตั้งแต่เซ็นสัญญากับกงซวี่ เขาก็อาศัยขาใหญ่ทองคำนี้มาวางอำนาจบาตรใหญ่ในบริษัท ข่มเหงรังแกพนักงาน บังคับเรียกเก็บผลตอบแทนสูง เอาประโยชน์เข้าตัวไปเท่าไหร่ โกงศิลปินไปก็ไม่น้อย?”
“ทำกรรมไว้ต้องชดใช้กรรม ก็มาถึงวันที่เขาถูกกงซวี่เขี่ยทิ้ง! เป็นเสือที่ไร้เขี้ยว ดูซิว่าเขาจะโอหังยังไงได้!”
……
กงซวี่ปรายหางตาเย็นชามองหน้าจงรักภักดีทำงานอยากหนักไร้เครดิตของโจวเหวินปิน นัยน์ตาสุกใสดั่งแสงอาทิตย์พลันฉาบไว้ด้วยความเย็นชา เอ่ยเสียงดูแคลน “โจวเหวินปิน เลิกเสแสร้งเป็นคนดีดูน่าสังเวชสักที นายได้ผลประโยชน์ไปจากฉันเท่าไหร่แล้ว ในใจตัวเองไม่ได้นับไว้บ้างหรือไง? อีกอย่าง…นายเห็นฉันเป็นไอ้โง่เงินหนาตามคนอื่นไม่ทันจริงๆ เหรอ?”
ได้ยินประโยคนี้ โจวเหวินปินมีเหงื่อเย็นผุดออกมาที่หน้าผาก เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า คุณชายลูกท่านหลานเธอตรงหน้าคนนี้แม้จะยโสโอหัง ไม่เป็นโล้เป็นพาย กลับไม่ใช่พวกปัญญาอ่อนที่จะหลอกได้ง่ายๆ
ตอนนี้โจวเหวินปินถึงได้เริ่มลนลานแล้ว “กงซวี่…กงซวี่นายทำกับฉันอย่างนี้…ไม่ได้…”
หลายปีมานี้เพราะเขาใช้ชีวิตอย่างราบรื่น ไม่ได้ยับยั้งชั่งใจ ทำคนขุ่นเคืองมาก็ไม่น้อย ฉู่หงกวงยิ่งจับตาเขาคิดจะไล่เขาออกจากบริษัท เมื่อสูญเสียภูเขาพักพิงอย่างกงซวี่ไปแล้ว เขาไม่อยากจะคิดถึงจุดจบของเขาเลย…
กงซวี่เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทน เปลืองเวลามามากขนาดนี้ก็มาถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้น จึงต่อสายตรงถึงแผนกบุคคล
เรื่องทางนี้ใหญ่โตมาก แผนกบุคคลทราบความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นของกงซวี่นานแล้ว ทราบข่าวว่าโจวเหวินปินไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป จึงสอบถามความคิดเห็นจากฉู่หงกวงเป็นอย่างแรก
ท่าทางของฝ่ายฉู่หงกวง ไม่ต้องคิดก็รู้
ดังนั้น กงซวี่เพิ่งจะต่อสายไป แผนกบุคคลก็ได้จัดการกระบวนการทั้งหมดและทำการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวให้กงซวี่ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่สูงมาก
ผู้อำนวยการแผนกบุคคลวิ่งแจ้นนำสัญญาผู้จัดการส่วนตัวฉบับใหม่มาให้ด้วยตัวเอง
ได้เห็นแผนกบุคคลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณชายกงจึงมีสีหน้าผ่อนคลายลงหลายส่วน ดึงสัญญาจากมือผู้อำนวยการแผนกบุคคลมาแล้ว พลิกเปิดไปยังหน้าสุดท้ายโดยที่ไม่อ่านเลยสักนิดตวัดปากกาเซ็นชื่อเต็มของตัวเอง จากนั้นเดินไปอยู่ตรงหน้าของเยี่ยหวันหวั่นด้วยความดีใจอย่างที่สุด “พี่เยี่ย พี่รีบอ่านเถอะ หากไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็เซ็นชื่อเถอะ!”
ดวงตาลูกท้อของกงซวี่เร่งเร้าวูบไหว แววตาเปี่ยมไปด้วยจินตนาการสีชมพูอันงดงาม
เย้! ผลไม้อบแห้งน้อยของฉัน! อีกเดี๋ยวก็จะมีโอกาสใช้เรื่องงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว อาศัยโอกาสสอบถามข่าวคราวของผลไม้แช่อิ่มน้อย เช่นถามเบอร์มือถืออะไรทำนองนี้…
เยี่ยหวันหวั่นถูกสายตาเร่าร้อนนั่นจดจ้องจนไร้คำจะพูด รับสัญญามา แล้วเซ็นชื่อของตัวเอง
โจวเหวินปินที่อยู่ด้านข้างตาเบิกโตมองเยี่ยหวันหวั่นเซ็นชื่อถึงตัวสุดท้าย ทั้งเนื้อตัวคล้ายกับสูญเสียจิตวิญญาณ หน้าซีดเทายืนเหม่อค้างอยู่ตรงนั้น
กงซวี่ประคองสัญญาฉบับใหม่ไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า ดูจากท่าทางแล้วคล้ายกับอยากจะกลายร่างเป็นผีเสื้อโบยบินอยู่ในห้องหลายๆ รอบ “พี่เยี่ย นับจากวันนี้ไป ผมเป็นคนของพี่แล้วนะ”
………………………………………………………..
บทที่ 474 นี่คือบททดสอบ!
ในห้องแต่งหน้า หลังจากผู้คนที่มามุงดูพากันสลายตัวจนสิ้นแล้ว
กงซวี่แอบพูดกับเยี่ยหวันหวั่นว่า “พี่เยี่ย พี่ว่าตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์สนิทสนมขนาดนี้แล้ว จะสามารถ…”
เยี่ยหวันหวั่นปรายตามองกงซวี่อย่างขอไปที แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้กล่าวว่า “ดูพฤติกรรมนายก่อน”
แม้กงซวี่จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ปลุกกำลังใจขึ้นมาได้อีกครั้ง พี่เขยต้องการทดสอบเขา นี่คือบททดสอบ!
คิดมาถึงตรงนี้ กงซวี่พลันฟื้นคืนชีพเลือดเต็มกำลัง “พี่เยี่ยวางใจได้ ผมจะทำตัวดีแน่นอน!”
ได้เห็นคุณชายลูกผู้ดีมีเงินคนนี้มีแรงจูงใจเหมือนเด็กหนุ่มไฟแรง เยี่ยหวันหวั่นอดขำไม่ได้ “จะรอดูผลงานของนาย”
ชายหนุ่มหยักยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบนริมฝีปากเคลื่อนไหวดั่งระลอกคลื่น กระเพื่อมตรงเข้าสู่ใจคน…
รอยยิ้มนี้ในสายตาของกงซวี่แล้ว เหมือนเป็นภาพซ้อนกับรอยยิ้มของหญิงสาวที่มอบผลไม้แช่อิ่มให้เขาในวันนั้น…
กงซวี่ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ใบหน้าฉายแววสับสนงุนงง ใบหูร้อนผ่าวขึ้นมา
เพราะเป็นพี่น้องกันเหรอ?
เสี้ยววินาทีเมื่อครู่ คนทั้งสองเหมือนกันมากเลยจริงๆ…
……
โจวเหวินปินไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงออฟฟิศได้อย่างไร
เพิ่งกลับมาถึงออฟฟิศหมากรุกหรูหราห้องนั้นได้ไม่นาน ยังไม่ทันตั้งสติได้ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เห็นสายที่โทรเข้ามาคือฉู่หงกวง ในใจของโจวเหวินปินพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมา
“ฮัลโหล ประธานฉู่…”
เสียงในสาย ฉู่หงกวงถอนหายใจพลันเอ่ย “เหวินปินเอ๋ย นายก็เป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัทแล้ว ทำไมถึงเก็บใครไว้ข้างกายไม่ได้สักคน?”
โจวเหวินปินรีบเอ่ย “ประธานฉู่ ระหว่างผมกับกงซวี่เราไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกันเลย จะต้องเป็นเพราะเยี่ยไป๋ ไอ้หมอนั่นต้องเล่นอุบายลับลมคมนัยอะไรอยู่แน่…”
“พอแล้วๆ กงซวี่เปลี่ยนเป็นคนในสังกัดเยี่ยไป๋แล้ว เรื่องนี้ก็ได้ข้อสรุปแล้ว เรื่องที่ฉันจะคุยกับนายตอนนี้คือเรื่องอื่นต่างหาก!” พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของฉู่หงกวงพลันเย็นเยียบขึ้นมา
“เรื่องอื่น?” โจวเหวินปินถามอย่างสงสัย
ฉู่หงกวงกล่าวเสียงจริงจัง “ฉันเพิ่งส่งบางอย่างทางเมลให้นาย นายไปดูเองเถอะ!”
โจวเหวินปินรีบเปิดคอมพิวเตอร์ คลิกเปิดเข้าไปในอีเมลของฉู่หงกวงที่ส่งมาฉบับล่าสุด
พอได้เห็นสิ่งเหล่านั้นในอีเมลอย่างชัดเจนแล้ว เลือดฝาดสุดท้ายบนใบหน้าของโจวเหวินปินก็จางหายไป…
“ประ…ประธานฉู่ คุณฟังผมอธิบายก่อน! ผม…”
ฉู่หงกวงตวาดเสียงกร้าวกลับมาทันที “อธิบาย? ศิลปินหลายคนในสังกัดของนายร่วมกันลงชื่อแจ้งว่านายหักเปอร์เซ็นต์สูงเข้าตัวเอง ละเมิดผลประโยชน์ของบริษัท! หลักฐานชัดเจน! นายยังคิดจะอธิบายยังไง?”
“ไม่ใช่แบบนั้น ประธานฉู่คุณก็รู้ ปีนี้คิดอยากจะปั้นศิลปินสักคนต้องใช้ทรัพยากรและเงินมากเท่าไหร่ ที่ผมเรียกเก็บเปอร์เซ็นต์สูงก็เพื่อ…”
“ไม่ต้องมาเล่ห์เหลี่ยม ฉันเพียงแค่อยากรู้ ว่าที่นายหักเปอร์เซ็นต์เป็นการส่วนตัวคือเรื่องจริง เห็นแก่ที่นายเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัท ขอเพียงนายคืนส่วนที่หักเปอร์เซ็นต์ไป ทางบริษัทจะไม่สอบสวนเอาผิดความรับผิดชอบทางกฎหมายกับนาย!”
“ประธานฉู่! ประธานฉู่…”
ไม่รอให้โจวเหวินปินพูด ฉู่หงกวงก็ตัดสายทิ้งไปก่อนแล้ว
โจวเหวินปินมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้ง หน้าซีดเผือก ร่างโคลงเคลง ทิ้งก้นลงไปบนเก้าอี้ด้านหลัง
จบกัน…
ครั้งนี้ เขาหมดตัวโดยสิ้นเชิง…
ในออฟฟิศของเยี่ยหวันหวั่น
หลังจากที่เยี่ยหวันหวั่นออกไปกระทันหัน ลั่วเฉินก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนโซฟา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนตามมา ประตูห้องถูกคนเปิดเข้ามา
เสี่ยวชิงผู้ช่วยยืนอยู่หน้าประตู มองเห็นลั่วเฉินที่อยู่ในห้องพลันเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ลั่วเฉิน ทำไมนายยังอยู่ที่นี่?”
ลั่วเฉินก้มหน้าคอตก ราวกับสูญเสียแสงสว่างไปทั้งตัวแล้ว พลางเอ่ยเสียงแหบพร่า “เสี่ยวชิง…ฉันอยากกลับไปสังกัดโจวเหวินปินแล้ว…”
“ฮะ? นายว่าอะไรนะ?” เสี่ยวชิงถลึงตาโต
ข้อต่อนิ้วมือของลั่วเฉินถูกบีบจนซีดขาว ขอบตาแดงก่ำมีความแน่วแน่หลังจากตะเกียตะกายมานาน “ฉันไม่อยากเป็นภาระของพี่เยี่ยอีกแล้ว!”
เสี่ยวชิงชะงัก พลันรีบทักท้วง “ลั่วเฉิน นายยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ! นายจะไปอยู่สังกัดโจวเหวินปินทำไม! โจวเหวินปินโดนบริษัทไล่ออกไปแล้ว!”
ลั่วเฉินคล้ายกับฟังไม่เข้าใจว่าเสี่ยวชิงกำลังพูดเรื่องอะไร เอ่ยถามอย่างงุนงง “นายว่าอะไรนะ? โจวเหวินปินโดนไล่ออกแล้ว? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!”
เสี่ยวชิงเล่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในห้องแต่งหน้าบนตึกเมื่อครู่ให้ลั่วเฉินฟังแบบต้นฉบับไปรอบหนึ่ง
ลั่วเฉินฟังจบแล้ว ก็นั่งอึ้งอยู่กับที่ไปเลย นัยน์ตาเดิมทีหม่นหมองไร้แสงสว่างกลับเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อได้…
………………………………………………………..