แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1015 ใช้อาวุธเป็นหมอน
เมื่อเจอกับคำพูดท้าทายเสี่ยวเชี่ยนก็แค่ตอบกลับนิ่งๆ
“ต้นหอมติดฟันน่ะ เมื่อเช้ากินเกี๊ยวหมูมาเหรอ? มิน่าปากกลิ่นแรงเว่อร์!”
อาเพียวรีบเอาลิ้นเลียฟันโดยอัตโนมัติ เขาได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหลังถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกเสี่ยวเชี่ยนหลอก จึงพูดอย่างอายๆ
“ผมกินกุยช่ายมาต่างหาก!”
“อืม งั้นเดี๋ยวตอนทำงานอย่าตดก็แล้วกัน ฉันกลัวเป็นลมตาย”
“แค่กๆ” สามคนที่เหลือขำจนเกือบสำลัก ได้ดูสองคนนี้ต่อปากต่อคำกันแต่เช้าตรู่ เป็นเรื่องที่สนุกจริงๆ
“เมื่อวานฉันขาดงานด้วยเหตุผลส่วนตัวจริงๆ นี่เป็นแบบจำลองข้อมูลที่ฉันทำ พวกคุณเอาไปดูนะคะ มันอาจช่วยให้งานของพวกเราคืบหน้าได้”
เสี่ยวเชี่ยนยื่นเอกสารให้
อาเพียวรับมาด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าพวกมีสิทธิพิเศษจะทำอะไรออกมาดีได้ ปรากฏว่าพอเปิดดูก็ละสายตาไปไม่ได้
เขามองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัยแล้วก็มองข้อมูลที่เธอทำมา “ทำเองเหรอ?”
“ฉันเป็นพวกได้สิทธิพิเศษ จ้างคนทำ”
คนอื่นๆก็รับเอามาดู ข้อมูลเฉพาะทางแบบนี้แค่ดูก็รู้ถึงความสามารถ เป็นประโยชน์มาก หมอตี๋พูดชม “คุณใช้เวลาทำแค่คืนเดียวเหรอครับ?”
ถ้าใช่ก็สุดยอดเกินไปแล้ว ข้อมูลเยอะขนาดนี้เปลืองสมองมาก กว่าจะรวบรวมได้ต้องใช้เวลา แถมยังต้องอ้างอิงจากเคสรักษาเป็นจำนวนมาก ต่อให้เป็นพวกเขาทำก็ยังเหนื่อย เสี่ยวเชี่ยนกลับใช้เวลาแค่คืนเดียวทำ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว
“เมื่อวานซืนตอนเย็นพอกลับไปฉันก็เริ่มทำนิดหน่อย เมื่อวานวุ่นอยู่กับการกินเหล้าทั้งวันไม่มีเวลาทำ พอกลับมาก็ถูกหัวหน้าใหญ่ของพวกคุณบ่น ไม่มีอารมณ์เขียน วันนี้ฉันเลยตื่นแต่เช้าขึ้นมาทำ เนื่องจากเวลามีจำกัดฉันเลยไม่ได้เขียนละเอียดมาก”
ใช้เวลาแค่นิดเดียวก็เขียนได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ?!
สมาชิกในทีมมองหน้ากัน พวกเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงส่งเสี่ยวเชี่ยนมาเป็นผู้ช่วย เพราะเก่งแบบนี้นี่เอง
อาเพียวก็ยังคงสงสัยในตัวเสี่ยวเชี่ยน “ใครจะไปรู้ว่าคุณเขียนเองหรือจ้างคนเขียน คุณห้ามเอาความลับของพวกเราไปเผยแพร่นะ”
“วางใจได้ ฉันไม่ได้โง่แบบนั้น คุณแน่ใจนะว่าอยากจะเปลืองเวลาไปกับการเถียงกันอยู่แบบนี้ วันนี้พวกเราจะวิเคราะห์นิสัยกันไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งทีมประชุมงานกันตลอดช่วงเช้า ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวันอวี๋หลางก็ให้คนเอาข้าวมาส่ง นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษอะไร ทางศูนย์วิจัยแจ้งมาว่า เดี๋ยวทั้งทีมจะต้องไปประชุมวิชาการกับนักวิชาการของทางนั้น เนื่องจากเวลากระชั้นชิดจึงต้องเลื่อนเวลากินข้าว กินเสร็จก็รีบไปประชุม
พอกินเสร็จอาเพียวก็เอาบัตรประจำตัวให้เสี่ยวเชี่ยน
“เดี๋ยวไปที่นั่นถ้าไม่เข้าใจก็อย่าพูดซี้ซั้ว ถึงคุณจะไม่ใช่คนของพวกเรา แต่ก็เป็นคนนอกที่พวกเราเชิญมา เป็นตัวแทนของพวกเราเหมือนกัน อย่าทำขายหน้าเข้าใจไหม?”
คนๆนี้ปากดีจริงๆ เห็นๆอยู่ว่าลดอคติกับเสี่ยวเชี่ยนลงไปมากแล้วหลังจากที่ได้ดูงานของเธอ แต่ปากกลับยังทำเป็นพูดดี
เสี่ยวเชี่ยนก็แค่รับบัตรมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พรุ่งนี้ยังอยากกินอาหารสิทธิพิเศษผสมน้ำลายอีกเหรอ? ในศูนย์วิจัยมีศัตรูตัวฉกาจของคุณอยู่หรือไง พอได้ยินชื่อนี้ก็ทำตัวเหมือนแมวถูกเหยียบหาง พองขนขึ้นมาเชียว”
“คุณ!” อาเพียวโมโหจนหน้าแดง แต่ก็เถียงไม่ออก ที่นั่นมีคนที่เขาเกลียดจริงๆ เกลียดยิ่งกว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนเสียอีก
“อุ๊บ!”
มีเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังอาเพียว เขาหันขวับไปมองค้อน คู่หูคู่ฮาแสร้งทำเป็นมองฟ้าคล้ายกับว่าไม่ใช่พวกเขาที่หัวเราะ
หมอตี๋มองอาเพียวอย่างจนใจ จะรบกี่ครั้งก็แพ้ ไม่ถูกเสี่ยวเชี่ยนทรมานจนกว่าจะสงสัยในชีวิตของตัวเองก็จะไม่เลิกราใช่ไหม
ทุกคนกำลังทยอยขึ้นรถ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสัญญาณพิเศษดังขึ้น นี่เป็นสัญญาณที่ใช้เรียกรวมตัวฉุกเฉิน
อาเพียวพอได้ยินสัญญาณที่แตกต่างจากปกตินี้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาเรียกให้สมาชิกทุกคนลงมาจากรถแล้วรีบวิ่งไปที่สนาม
กฎของหน่วยเสินเจี้ยนเป็นแบบนี้ หากได้ยินสัญญาณที่ผิดไปจากปกติต้องไปรวมตัวกันที่สนามให้เร็วที่สุด
เสี่ยวเชี่ยนเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เธอวิ่งตามพวกอาเพียวไป เห็นได้ชัดว่าความเร็วของเธอสู้พวกเขาไม่ได้ พอเธอวิ่งไปถึงในสนามก็เต็มไปด้วยเหล่าทหารที่แต่งตัวเต็มยศยืนกันอย่างหนาแน่น
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เสี่ยวเชี่ยนเดินผ่านตรงนี้ยังมีคนอยู่ไม่เท่าไร นี่คือกฎของกองหน่วย หากสัญญาณเรียกรวมตัวฉุกเฉินดังขึ้น จะต้องรีบวิ่งมารวมตัวที่นี่ ยังมีทหารบางคนกำลังรีบวิ่งมา
เสี่ยวเชี่ยนรู้จักสำนวนใช้อาวุธเป็นหมอน[1]นานแล้ว แต่พอมาที่นี่ถึงได้พบว่า สำนวนนี้มีพลังแค่ไหน พอมาเห็นความมีระเบียบของเหล่าทหารกล้าด้วยตาตัวเองแล้วก็สร้างความตื่นตะลึงให้เธอเป็นอย่างมาก
อวี๋หมิงหลางยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแบบที่เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อน
หัวหน้ากลางและหัวหน้าเล็กคนอื่นๆต่างอยู่ในแถว ทุกคนมาอยู่กันครบแบบนี้แสดงว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วแน่นอน
“ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากเบื้องบน เขตภูเขาที่อยู่จากหน่วยของพวกเราไปสามร้อยกิโลเมตรเกิดไฟป่ากินพื้นที่เป็นวงกว้าง หน่วยเราจะส่งทหารไปร่วมกับหน่วยพิทักษ์ป่าเพื่อช่วยในสถานการณ์เร่งด่วนนี้!”
อวี๋หมิงหลางเริ่มมอบหมายภารกิจ ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีทีมที่ถูกเรียกก็เตรียมตัวออกเดินทาง รายละเอียดบางอย่างค่อยคุยกันระหว่างเดินทาง
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนมักจะตั้งข้อสงสัยทหารหน่วยรบพิเศษเสมอ เธอยังแอบคิดว่าทหารหน่วยรบพิเศษที่เก่งในทุกด้านไม่มีทางเคลื่อนพลได้ง่ายๆ ภัยธรรมชาติล้วนเป็นหน้าที่ของกองกำลังตำรวจติดอาวุธกับทหารทั่วไป ต่อมาอวี๋หมิงหลางบอกกับเธอว่า ตอนนี้ทหารหน่วยรบพิเศษถูกจัดอยู่ในกองที่ทำงานกันเป็นทีม ถึงจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ถ้ามีภัยธรรมชาติก็ต้องไปช่วยหมด
หลังจากที่อวี๋หมิงหลางมอบหมายหน้าที่เสร็จก็รีบเดินไปขึ้นรถ เรื่องด่วนแบบนี้พวกพี่รองก็ต้องมาร่วมด้วย นั่งรถไปเจอพี่รองที่หน่วยก่อน จากนั้นทหารอากาศก็จะส่งเฮลิคอปเตอร์ไป
“หัวหน้าใหญ่ครับ ทีมจิตวิทยาของหน่วยเราขอเข้าร่วมด้วยครับ!” อาเพียวไม่ถูกเรียกชื่อ เขาวิ่งตามอวี๋หมิงหลางมา คนอื่นๆก็ตามมาด้วย
“ไม่ได้ ถ้าครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวหรือภัยธรรมชาติอย่างอื่นผมคงให้พวกคุณไปร่วมทำงานสร้างขวัญกำลังใจแน่นอน แต่นี่เป็นไฟป่า พวกคุณไปไม่เหมาะ” อวี๋หมิงหลางปฏิเสธคำขาด
“หัวหน้าใหญ่ดูถูกพวกเราเหรอครับ? ผมเห็นทีมแพทย์ก็ไปด้วย พวกเราก็ต้องการเข้าร่วมเหมือนกัน! ถ้าไม่มีใครต้องการขวัญกำลังใจพวกเราก็ไปช่วยถือสายฉีดน้ำไม่ได้เหรอครับ? พวกเราก็เป็นทหารเหมือนกัน!”
อาเพียวยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาได้เงินเดือนและสวัสดิการเยอะกว่าทหารทั่วไปเพราะเรียนจบมาสูง หากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมภารกิจพวกเขาไม่มีทางยอม
“ไร้สาระ! ใช้คนต้องให้เหมาะกับงาน! งานของพวกคุณคือใช้สมอง อยู่เฝ้าที่นี่ไปซะ ต้องทำงานอะไรก็ไปทำ อย่ามาก่อกวน!”
ทีมจิตวิทยานี้อวี๋หมิงหลางเป็นคนเลือกมาด้วยตัวเอง มากความสามารถ เขาไม่มีทางอนุญาตให้ไปทำภารกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานของทีมนี้แน่นอน
สมาชิกในทีมยังคงไม่ยอม พยายามคิดหาทาง เสี่ยวเชี่ยนกลับแค่อยากถามอวี๋หมิงหลางว่างานนี้อันตรายหรือเปล่า ซึ่งก็มาจากความเป็นห่วงในฐานะสามีภรรยา ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากไปด้วย เห็นกับตาถึงจะวางใจ
สมาชิกในทีมจิตวิทยารู้สึกหมดหนทาง ทันใดนั้นอวี๋หมิงหลางก็รับโทรศัพท์ สักพักสีหน้าก็เปลี่ยนไป เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้เลยว่าเขากำลังเครียดมาก
“ครับ ทราบแล้วครับ”
อวี๋หมิงหลางวางสายแล้วมองเสี่ยวเชี่ยน ทำเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
[1] หมายถึงให้ระวังตัวตลอดเวลา