แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1037 สิ่งดีๆเหลือไว้เพียงความทรงจำ
“ผลทดสอบของพ่านพ่านค่อนข้างเป็นไปตามปกติ แต่เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกันเขามีหลายสิ่งที่แตกต่างออกไป ก่อนพวกเรามาที่นี่ฉันได้ไปหาครูอนุบาลของพ่านพ่านในเมืองหลินมา เด็กคนนี้ตอนอยู่โรงเรียนไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเด็กคนอื่น”
“เขาเหมือนเด็กคนอื่นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ เราจะหลับหูหลับตามองโลกในแง่ดีไม่ได้ บุคลิกประเภทนี้เก็บซ่อนตัวเองเก่ง ถ้าเขาแสดงออกมาว่าแตกต่างจากเด็กคนอื่นแบบนั้นยังรับมือง่ายกว่าหน่อย แต่เขากลับทำตัวเหมือนเด็กคนอื่น ซึ่งไม่รู้ว่ามันคือตัวตนจริงๆของเขาหรือแสร้งทำกันแน่” นี่เป็นจุดที่ยากมากในการแยกแยะคนบุคลิกต่อต้านสังคม เมื่อเจอคนฉลาดก็จะรู้จักเก็บซ่อนตัวตน แสดงออกเหมือนคนปกติทั่วไป
“ผมจำได้ในหนังสือบอกว่า ภาวะบกพร่องด้านนิสัยเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม ครอบครัวเราออกจะอบอุ่น พ่านพ่านเองก็เชื่อฟังพวกเรามาตลอด”
อวี๋หมิงหลางยังคงมีความหวังในตัวหลานคนนี้ ไม่ยอมรับว่าเด็กคนนี้จะเป็นอย่างที่เสี่ยวเชี่ยนพูด
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า
“บุคลิกไร้ความรู้สึกไม่ได้หมายความว่าเขาเย็นชา แต่เขาชินกับการแสร้งทำตัวเป็นคนในแบบที่คนอื่นชอบ จากนั้นก็ทำให้คนอื่นไว้วางใจแล้วหาทางแย่งชิงสิ่งที่เขาอยากได้”
นี่สิถึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวของคนบุคลิกไร้ความรู้สึก
ยามที่คนอื่นทำเพื่อพวกเขาทุกอย่างด้วยความจริงใจ แต่ในสายตาของพวกเขากลับมีแค่ผลประโยชน์กับสิ่งที่ตัวเองต้องการ
คบกับคนแบบนี้ คนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมากๆมีแต่จะเจ็บปวด
เนื่องจากไร้ความรู้สึก ไร้ความผูกพัน รวมทั้งการเอาอกเอาใจต่างๆที่แสดงออกมาล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ คนพวกนี้พร้อมที่จะหักหลังเพื่อผลประโยชน์ได้ตลอดเวลา
ถึงแม้คนที่มีบุคลิกแบบนี้จะมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพ่อพ่านพ่านคือผู้ต้องหาที่น่ากลัวคนนั้นจริงๆ นอกจากภาวะบกพร่องด้านนิสัยแล้ว ก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ยีนน่ากลัวอื่นๆจะตกมาถึงพ่านพ่าน อย่างเช่นการกระหายเลือด
คนที่มีบุคลิกไร้ความรู้สึก บวกกับความชอบส่วนตัวบางอย่างที่เป็นภัยอย่างสูง ต่อให้เป็นญาติที่เลี้ยงมาหลายปี ก็อาจผิดใจกันได้ด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้วทำเรื่องที่ร้ายแรงสุดโต่ง
เห็นได้ชัดว่าอวี๋หมิงหลางมีท่าทีปฏิเสธคำอธิบายของเสี่ยวเชี่ยน
“พ่านพ่านไม่ใช่เด็กแบบที่คุณพูด! คุณกำลังสงสัยว่าพวกเราทั้งครอบครัวเป็นคนโง่ถูกเด็กไม่กี่ขวบเล่นละครตบตาเหรอ?!”
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคนในครอบครัว คำพูดของเขาจึงอาจรุนแรงไปหน่อย ฟังดูเหมือนเป็นเชิงตำหนิเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจความรู้สึกของเขา ในความเป็นจริงตัวเธอเองก็ยากที่จะยอมรับผลแบบนี้
เธอเองก็มองดูเด็กคนนี้ค่อยๆเติบโตมา เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเธอในฐานะที่เป็นอาสะใภ้ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เป็นหมอเธอต้องมองปัญหานี้อย่างเป็นกลาง
“ฉันก็ไม่ได้ฟันธงว่าเขามีบุคลิกแบบนั้น ก็แค่มันมีความเป็นไปได้ ผลทดสอบค่อนข้างปกติ มันอยู่ระหว่างปกติกับไม่ปกติ อย่ามองข้ามสติปัญญาของพ่านพ่าน คำตอบในนี้มีข้อไหนที่เขาจงใจตอบผิดหรือเปล่าเราก็ไม่รู้” เสี่ยวเชี่ยนอธิบายให้ฟัง
ในใจของอวี๋หมิงหลางก็รู้ ผลทดสอบแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ถ้าพ่านพ่านเป็นลูกของผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้นจริง นั่นก็แสดงว่ายีนบางอย่างที่อยู่ในตัวก็จะค่อยๆแสดงอาการออกมาชัดขึ้นตามช่วงการเจริญเติบโต
เขาเริ่มเดินไปเดินมาในห้องด้วยความร้อนใจ
ยุคสมัยนี้ยกเลิกการลงโทษที่ลากคนในครอบครัวมาถูกลงโทษไปด้วยแล้ว ไม่มีทางเหมือนสมัยสังคมศักดินาที่คนหนึ่งทำผิดทั้งครอบครัวต้องมารับโทษไปด้วยกัน ซึ่งหากมองไปตามความจริง คนๆเดียวทำผิดไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอื่นๆในครอบครัว
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องของศีลธรรม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของสังคม
ถึงจะไม่มีผลงานวิจัยที่เด่นชัดที่ระบุยีนไม่ดีของผู้กระทำผิดจะตกทอดไปยังรุ่นต่อไป หรือถึงกับมีคำพูดที่ว่าไม่มียีนชั่วอะไรทั้งนั้น แต่จากงานวิจัยบางเล่มก็ยังมีอัตราความเป็นไปได้ที่ยีนพวกนี้จะถ่ายทอดทางพันธุกรรม สาเหตุที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันก็เป็นเรื่องของศีลธรรมล้วนๆ
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วว่าอย่าดูถูกเหยียดยามคนในครอบครัวของผู้กระทำความผิด แต่เรื่องทางวิทยาศาสตร์จะไม่ให้ความสำคัญเลยก็ไม่ได้ อย่ามองข้ามวิทยาศาสตร์เพียงเพราะเรื่องการดูถูก มันคนละเรื่องกัน
“ทำไมก่อนหน้านี้คุณกับต้าอีถึงไม่พบอะไรเลยล่ะ? เด็กตัวแค่นี้เห็นกันอยู่บ่อยๆ บ้านเรามีคนเรียนจิตวิทยาตั้งสองคน ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตเห็นเลย? เมื่อก่อนคุณก็เคยทดสอบเด็กคนนี้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
อวี๋หมิงหลางถาม
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าที่เขาถามแบบนี้ไม่ได้คิดจะตำหนิตัวเธอ แต่เขาถามเพื่อหาข้อโต้แย้งว่าการสันนิษฐานของเธอผิด อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กคนนี้ปกติดี
“ถ้าเป็นโรคจิตเวชอื่นๆที่แสดงออกมาว่าแตกต่างจากคนทั่วไป แบบนั้นพวกเรามองออกได้ทันที แต่คนบุคลิกไร้ความรู้สึกแบบนี้จุดเด่นที่สุดก็คืออำพรางตัวเองเก่ง พวกเขาทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบได้เก่งยิ่งกว่าคนปกติ ถ้าไม่ใช่แบบทดสอบที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ พวกเราก็ไม่รู้หรอก”
การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนเมื่อตอนพ่านพ่านเด็กๆไม่ได้มาทางนี้ คนละเรื่องกันเลย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าการรักษาและแบบทดสอบก่อนหน้านี้เหมือนกับการไปอัลตร้าซาวด์ไต มองเห็นไต แต่กลับไม่เห็นริดสีดวง เหมือนกัน การตรวจหาที่มีวัตถุประสงค์ต่างกันย่อมได้ผลที่ต่างกัน
ยามปกติสิ่งที่อวี๋หมิงหลางภูมิใจมากที่สุดก็คือความรู้ทางการแพทย์สุดล้ำของเสี่ยวเชี่ยน แต่ตอนนี้เขากลับหวังว่าความรู้ทางการแพทย์ของเสี่ยวเชี่ยนจะเกิดการผิดพลาด
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจว่าการยอมรับเรื่องนี้ต้องใช้เวลา เธอให้เวลาเขาได้คิดสักพักแล้วถึงพูดขึ้น
“ต่อไป พวกเราจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่รองกับต้าอีตามความจริงหรือปิดบังไว้ดี?”
บอกหรือไม่บอกก็เจ็บปวดอยู่ดี
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเฉียงที่ชอบพ่านพ่าน จากมุมมองส่วนตัวของเสี่ยวเชี่ยนเธอเองก็ชอบเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายพูดน้อยคนนี้เหมือนกัน
แต่เรื่องความผูกพันก็เรื่องหนึ่ง ความเป็นจริงก็เรื่องหนึ่ง
ถ้าพ่านพ่านมีแนวโน้มเป็นคนบุคลิกไร้ความรู้สึกจริง ถ้าอย่างนั้นปัญหาสำคัญที่อยู่ตรงหน้าก็คือ หลังจากที่ต้าอีคลอดลูกแล้วยังควรจะรับเลี้ยงพ่านพ่านต่อหรือไม่
เด็กที่มีนิสัยแบบนี้ถ้ารู้สึกได้ถึงการถูกน้องแย่งความรักไป ไม่แน่อาจใช้วิธีบางอย่างทำร้ายน้องอย่างเนียนๆ แถมพ่านพ่านยังเป็นเด็กที่ไอคิวสูง ห้ามมองว่าเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ให้คำแนะนำออกมาตรงๆ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของตระกูลอวี๋ ต้องให้อวี๋หมิงหลางเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
อวี๋หมิงหลางใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีในการตัดสินใจ
“ไป ออกไปโทรหาพี่รองกัน”
พี่รองพาต้าอีกลับบ้าน ทั้งสองคนไปตรวจครรภ์กับพี่สะใภ้ใหญ่ ขากลับผ่านร้านขายของเด็กอ่อนก็อดใจไม่ไหวช้อปปิ้งมาอีกเล็กน้อย
ไม่เพียงเท่านั้นยังไปดูคอนโดโครงการของพี่ใหญ่มาด้วย บ้านในเมืองQได้ขายทิ้งไปแล้วเมื่อตอนที่หย่ากับหวางเสี่ยวหง บ้านที่ทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลินเป็นบ้านสวัสดิการทหารอากาศ ถึงแม้กลับมาเมืองQจะมาอยู่บ้านพ่อแม่ก็ได้ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บ้านตัวเอง ทั้งสองคนจึงอยากซื้อบ้านที่นี่ ถือเป็นการลงทุนก็ได้ พอพี่รองถึงวัยที่ต้องเกษียณยังไงก็ต้องกลับมาอยู่บ้านเกิด ดังนั้นจึงควรมีบ้านของตัวเองอยู่ที่นี่
“วันนี้ดูๆแล้วมีที่ถูกใจบ้างไหม?” พี่รองถามต้าอีตอนที่รถใกล้ถึงบ้าน
“อันที่จริงก็ดีหมดนะคะ ฉันโอเคหมดที่ไหนก็ได้ แต่ต้องคิดถึงตอนพ่านพ่านโตขึ้นแต่งงานมีครอบครัวด้วย ทางที่ดีพวกเราซื้อบ้านที่อยู่ใกล้เขตเมืองดีกว่า อีกหน่อยลูกสะใภ้จะได้ไม่มีปัญหา”
พี่รองขำ “ลูกชายเพิ่งจะอายุเท่าไรคุณคิดไปถึงเรื่องเขาแต่งงานมีลูกสะใภ้แล้วเหรอ?”