แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 618
แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย – ตอนที่ 618 กลับตาลปัตรกับเหนื่อยล้า
ถ้าถูกจือหมิงกัดได้เนื้อหลุดแน่
กัดจมูก กัดหู ใช่ว่าเรื่องพวกนี้จะไม่เคยเกิดขึ้น
กว่าจะรอคนข้างนอกเข้ามาเสี่ยวเชี่ยนก็อาจกลายเป็นคนไร้จมูกไม่ก็ไร้หูไปแล้ว
คนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์อย่างประธานเชี่ยนมีเหรอจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น จังหวะที่จือหมิงกำลังจะกระโจนเข้ามา เสี่ยวเชี่ยนก็รีบล้วงสเปรย์พริกไทยออกมาแล้วฉีดเข้าไปที่หน้าเขา
“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวน!
คนที่เข้ามาในห้องรีบแยกชายคนบ้าให้ห่างจากเสี่ยวเชี่ยน จือหมิงที่ถูกปลุกอีกบุคลิก ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าจือฮู! เขาเอามือจับตาที่แสบจนลืมตาไม่ขึ้น แต่ร่างกายก็ไม่หยุดดิ้น แรงเขาเยอะมากจนไม่เหมือนกับแรงคน ตำรวจสองคนเอาเขาไม่อยู่ มีคนหนึ่งถูกกัดแล้วด้วย
“นังแพศยา! ฉันจะกรีดหน้าแก ฉันจะฆ่าแก!” จือฮูตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ตำรวจที่คุมตัวเขาพากันหวาดกลัว ตอนนี้สภาพของจือฮูไม่เหมือนมนุษย์เลยจริงๆ
สีหน้าท่าทางคล้ายกับที่คนแก่ชอบพูดว่าผีสิง หน้าตาบิดเบี้ยว แรงเยอะจนน่าตกใจ
“ฆ่าฉันตาย งั้นน้องชายนายก็ต้องตายด้วย ตอนนี้ฉันเป็นคนที่ยืนยันว่านายมีอาการป่วยได้ นายไม่แคร์น้องชายเลยหรือไง?”
ตามคาด พอได้ยินคำว่าน้องชายจือฮูก็สงบลงไปมาก
แต่ไม่นานเขาก็กลับมามองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาอาฆาต “ฉันไม่ได้ป่วย! พวกแกนั่นแหละป่วย โลกนี้มันป่วยกันไปหมด! พวกแกรังแกน้องชายฉัน เป็นพวกแก ไอ้คนหน้าตาดีทั้งหลาย แต่กลับทำเรื่องที่สัตว์เดรัจฉานมันทำ พวกแกดูถูกน้องชายฉัน เหยียดหยามน้องชายฉัน ในเมื่อพวกแกมันไร้ยางอาย ฉันก็จะกรีดหน้าพวกแกทุกคน ฮ่าๆๆๆๆ!”
เขาหัวเราะเสียงดัง
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนได้ให้ความรู้กับทุกคนไปถึงความแตกต่างระหว่างผู้ป่วยจิตเวชกับผู้ป่วยโรคประสาทอย่างแรกคือรู้ว่าตัวเองป่วยแต่กลับควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้ ส่วนอย่างหลังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองป่วย ถึงขนาดที่คิดว่าคนที่ไม่เหมือนตัวเองสิเป็นคนบ้า
ฟู่กุ้ยเข้าไปในห้องพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน ทุกคนตื่นเต้นมาก หัวหน้าใหญ่ศูนย์วิจัยยกนิ้วโป้งให้เสี่ยวเชี่ยน
“เยี่ยมมากจริงๆ!”
ปัญหาที่รบกวนทุกคนมานาน พอถึงมือเธอก็ถูกจัดการอย่างง่ายดาย!
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างเหนื่อยล้า ‘ความเยี่ยม’ แบบนี้อันที่จริงเธอไม่อยากได้หรอก
“หัวหน้าคะ พวกคุณทำการวินิจฉัยขั้นต่อไปได้เลยค่ะ บุคลิกที่สองของหวางจือหมิงชื่อหวางจือฮู เขาจินตนาการว่าตัวเองเป็นพี่ชายที่ตายไปแล้ว บุคลิกจือฮูมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง เป็นคนสุดโต่ง ส่วนเขายังมีบุคลิกอื่นๆแฝงอีกหรือไม่พวกคุณคงต้องวินิจฉัยต่อไป แต่จากการวิเคราะห์ของฉัน 80%ของเรื่องนี้เป็นฝีมือของบุคลิกจือฮูค่ะ”
ใครจะไปคิดว่าการไปเที่ยวภูเขากับความทรงจำขอแต่งงานแสนลำบากกับอวี๋หมิงหลางนั้นจะนำพาให้มาไขคดีใหญ่แบบนี้ได้ เรื่องต่างๆบนโลกใบนี้ยากจะคาดเดาจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนประสบความสำเร็จในการปลุกอีกบุคลิกของหวางจือหมิงออกมาได้ ไม่ใช่เพราะเธอเก่งกว่าคนอื่นในที่นี้ ความชำนาญของทุกคนไม่เหมือนกัน ฟู่กุ้ยกับเพื่อนร่วมงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ตัวเธอก็แค่ได้เปรียบตรงที่เคยเจอเรื่องราวบนเขามาก่อน บวกกับเธอมีความสามารถมีความมั่นใจในวิชาของตัวเอง ถึงได้ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ทุกคนทำไม่ได้
เธอถอยออกมาแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างระเบียงอย่างเงียบๆ เปิดหน้าต่างออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก ไม่ได้มีความรู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย
การใช้วิธีนี้บีบให้อีกบุคลิกในตัวหวางจือหมิงออกมา อันที่จริงเธอไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่มันเป็นเพียงวิธีเดียว
ทุกคนต่างเห็นแค่ด้านที่เธอแสดงความสามารถ แต่กลับไม่เห็นด้านที่เธอรู้สึกว่างเปล่าหลังจากจัดการคดีได้
แม่งเอ๊ย อยากกินเหล้าอีกแล้ว…
“คิดอะไรอยู่น่ะ?” เลี่ยวฟู่กุ้ยเดินมาแล้วยื่นเครื่องดื่มกระป๋องหนึ่งให้เสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนรับมาแต่ไม่ได้เปิดดื่ม
“กำลังนึกถึงความทุกข์ของแทนทาลัส”
“อะไรนะ?” เลี่ยวฟู่กุ้ยรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังพูดถึงเรื่องนี้
แทนทาลัสเป็นลูกชายของเทพซุสในปกรณัมกรีก เนื่องจากทำผิดจึงถูกส่งไปลงนรกทุกข์ทรมานตลอดไป ต่อมานักจิตวิทยาชอบใช้ความทุกข์ของแทนทาลัสมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่มองเห็นเป้าหมายแต่ไม่มีทางไปถึง
โรคจิตเวชของคนสมัยนี้หลายครั้งที่มีที่มาจากแบบนี้
“ทำไมนึกถึงเรื่องนี้ล่ะ? มีความทุกข์อะไรหรือไง?”
“เปล่า ก็แค่ไม่รู้ว่าจะไปเผชิญหน้ากับครอบครัวหวางจือหมิงยังไง ดูเหมือนฉันกับแฟนได้ทำลายความฝันที่แสนธรรมดาของครอบครัวนั้นจนแหลกสลายไปแล้ว”
ถ้าเธอกับเสี่ยวเฉียงไม่ได้ไปพักที่รีสอร์ทนั่น เสี่ยวเฉียงก็ไม่มีทางเจอหลักฐานในการทำผิดของหวางจือหมิงผ่านผ้าขนหนูผืนเดียว เธอเองก็คงไม่ต้องใช้วิธีอย่างเมื่อครู่ปลุกบุคลิกที่สองของหวางจือหมิงออกมา
เธอไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าอย่างไรในการเข้าหาครอบครัวซื่อๆครอบครัวนั้น ไม่รู้จะเข้าไปหาป้าเจ้าของที่เคยนั่งคุยกับเธอบนเตียงอย่างไรดี
ลุงกับป้าไม่เคยละทิ้งความพยายามและการวาดฝันถึงอนาคต แต่โชคชะตากลับทรมานพวกเขา หลังจากที่หวางจือฮูลูกชายคนโตตายไป ความหวังของครอบครัวก็ไปตกอยู่ที่หวางจือหมิง แต่หวางจือหมิงกลับกลายเป็นผู้ป่วยโรคประสาท นึกถึงแต่เรื่องที่ครอบครัวฝากความหวังเอาไว้จนกลายเป็นความทุกข์ของแทนทาลัส เห็นชัดๆว่าความหวังอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่มีทางสัมผัสถึง
และในฐานะที่เป็นคนเปิดโปงทุกสิ่ง ในใจของเสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้ไม่ได้รู้สึกประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
หากมองในมุมด้านอาชีพ เธอหาวิธีแก้ปัญหาได้ มีคำตอบให้กับเหยื่อ นี่เป็นเรื่องที่สมควรจะดีใจ
แต่เพราะตัวผู้ก่อเหตุในคดีนี้รู้จักกับเธอ ความรู้สึกแปลกๆนี้ทำให้ในใจเธอเกิดความรู้สึกอึดอัดแบบที่พูดไม่ออก แค่อยากหาที่ดื่มเหล้าตามลำพัง
“ไม่ต้องคิดมากหรอก พวกเราไม่ใช่แค่ทำงาน ยังต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เจอตัวผู้ก่อเหตุได้ไว พาไปรักษาอาการป่วย ก็เท่ากับได้หยุดเรื่องร้ายอีกมากมายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ว่านะเชี่ยนเอ๋อ เธอรู้วิธีเค้นบุคลิกหวางจือฮูให้ออกมาได้ยังไง?”
“ฉันกับอวี๋หมิงหลางเคยเจอเขาตอนไปพักผ่อน เห็นเขาตอนมีเรื่องกับเด็กเกเรในหมู่บ้าน ตอนนั้นสัตว์เลี้ยงของเขาถูกฆ่าตาย สภาพอารมณ์ของเขาผิดปกติ ตอนนั้นฉันก็แปลกใจว่าคนที่ชอบดูถูกตัวเองทำไมอยู่ๆก็มีความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง เลยคิดว่าจือหมิงในตอนนั้นคงมีอีกบุคลิกหนึ่งแสดงออกมาแล้ว”
“ช่วงนี้มีละครของฮ่องกงดังอยู่เรื่องหนึ่ง มีคดีที่คล้ายๆกันแบบนี้เกิดขึ้น นึกไม่ถึงว่าพวกเราก็จะได้เจอคดีแบบนี้ด้วย” ถึงแม้เลี่ยวฟู่กุ้ยจะเคยเจอผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกในโรงพยาบาลประสาท แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนบุคลิกรุนแรงขนาดนี้
“ถูกกดขี่มาเป็นเวลานาน มีพ่อที่ชอบตั้งความหวังสูง เป็นคนชอบดูถูกตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนด้วย ในบ้านยังมีประวัติเป็นกรรมพันธุ์โรคประสาทอีกต่างหาก การที่กลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหรอก อันที่จริงคนที่มีประวัติอาจเป็นกรรมพันธุ์โรคประสาทไม่ควรแต่งงานเลยด้วยซ้ำ เรื่องบางอย่างมันผิดตั้งแต่ต้น”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะกลับ ผู้บริหารระดับสูงที่ก่อนหน้านี้หาเรื่องเธอเดินยิ้มหน้าบานเข้ามาหา
ยื่นมือให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างกระตือรือร้น “โอ้โหคุณเสี่ยวเชี่ยน ไหนจะคุณเลี่ยว วันนี้พวกคุณช่วยได้มากเลยนะครับ!”
ท่าทีกลับตาลปัตร180องศาแบบนี้เล่นเอาเลี่ยวฟู่กุ้ยขนลุก