แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 813 คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่รักษา
หม่าลุ่ยมองอวี๋หมิงหลางที่ซ่อนอยู่ในป่า ในใจเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ถ้าครั้งนี้เขาต้องไปจริงๆแล้ว ก่อนไป ช่วงเวลาที่อยู่ในสนามรบแห่งนี้ ทำให้เขาได้สัมผัสกับบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ครอบครัวอวี๋หมิงหลางได้สร้างผลกระทบให้กับเขามาก โดยเฉพาะคำพูดของอวี๋หมิงหลางคงจะส่งผลต่อเขาไปอีกหลายปี ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีหม่าลุ่ยก็ยังคงจะนึกถึงตัวเองในตอนนี้
ถ้าเขาเข้าใจได้เร็วกว่านี้ คิดได้ไวกว่านี้ เขาจะมีความรักและครอบครัวที่สมบูรณ์แบบหรือเปล่า เขาจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ในใจผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า กลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่มีเกียรติ
น่าเสียดาย ก็เหมือนกับที่อวี๋หมิงหลางพูด การโกหกคำโตที่สุดของคนเราก็คือ ถ้า ไม่มีถ้าอะไรทั้งนั้น
“หัวหน้าใหญ่ ผมล่ะเหม็นขี้หน้าไอ้หมอนั่น ทำไมไม่ให้ผมอัดมันล่ะครับ?” ทหารข้างกายอวี๋หมิงหลางถามขึ้น
“ไม่มีอะไรน่าอัดหรอก เขามีทัศนคติที่ไม่เหมือนพวกเรา ไม่เหมาะกับพวกเราก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเลว เขาก็แค่ยังไม่เจอคนที่มีทัศนคติที่ทำให้เขาเลื่อมใสได้ ก่อนเข้าสู่พิธีล้างบาปของกองทัพ พวกเรามีกี่คนกันที่เป็นแบบเขา?”
ถึงอวี๋หมิงหลางจะดูถูกหม่าลุ่ย แต่ก็ไม่ได้มองว่าเขาไร้ค่า ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากก้าวหน้าให้ครอบครัวได้อยู่สุขสบายความคิดนี้ไม่มีปัญหา เพียงแต่หม่าลุ่ยเดินผิดทาง
อวี๋หมิงหลางมองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น เสียวเหม่ยของเขากำลังจะไปไหนนะ แต่เขาถามมากไม่ได้ อวี๋หมิงหลางแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน ขณะทำงานจะว่อกแว่กไม่ได้เด็ดขาด
เวลานี้เสียวเหม่ยกำลังหลอกล่อพี่ทหารอยู่
“พวกคุณท่าทางน่าสงสารมาก ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ?”
“ความลับ”
“ถ้าไม่พูดฉันก็ไม่รู้ เข้าร่วมการคัดเลือกของหน่วยเสินเจี้ยนอยู่ใช่มะ?”
“ทำไม…อุ๊บ” คนหนึ่งอยากถามว่าทำไมถึงรู้ อีกคนรีบเอามือปิดปากเพื่อน ห้ามพูด เดี๋ยวความลับแตก
“เพราะสามีฉันทำงานอยู่ที่นั่น จริงสิ ได้ยินว่าหัวหน้าใหญ่ของพวกคุณแย่มาก จริงหรือเปล่า?”
“แย่มากจริงๆ…ชอบทรมานคน…” พี่ทหารคนหนึ่งบ่นพึมพำ
“ฮ่า” หลิวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าหัวเราะ พี่สะใภ้หลอกด่าสามีตัวเอง มีที่ไหนกันถามคนอื่นว่าสามีตัวเองเป็นคนยังไง?
ทหารอีกคนกระทุ้งเพื่อนเพื่อสื่อว่าอย่าพูดมาก ทหารสองคนนี้จึงเลิกพูด พอถึงปากทางก็ลงจากรถ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือบททดสอบที่โหดยิ่งกว่า ความสบายหยุดเพียงเท่านี้ หนทางไปสู่เกียรติยศนั้นเต็มไปด้วยขวากนาม แต่ขอพักการพูดถึงไว้ก่อน
กลับมาที่บนรถ หลังจากสองคนนั้นลงไปแล้วหลิวเหมยก็ขำออกมา
“พี่สะใภ้ ถ้าพี่หลางรู้ว่าพี่พูดถึงเขาแบบนี้เขาโมโหแน่”
“เขาจะโมโหอะไร แอบดีใจด้วยซ้ำมั้ง เธอไปบอกเขาว่าพวกทหารด่าเขา เขาจะคิดว่านั่นเป็นคำชม แต่ถ้าบอกเขาว่าทหารของเขาพูดว่าเขาดูแลเป็นอย่างดี แบบนั้นสิเขาถึงจะโกรธ”
“อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่คัดเลือกทหารจะต้องลำบากกันขนาดนี้ เห็นในละครคิดว่าทำเว่อร์เกินจริงเสียอีก ไม่คิดว่าชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้ ทรมานร่างกายไม่พอ ยังทรมานจิตใจด้วย”
“คนเราทุกคนต่างเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ทหารหน่วยรบพิเศษไม่เพียงแต่จะสร้างภาพลักษณ์ความแข็งแกร่ง ยังสร้างปณิธานอันแรงกล้าด้วย ถ้าหม่าลุ่ยเข้าหน่วยรบพิเศษตั้งแต่แรก บางทีความคิดเขาอาจไม่เป็นอย่างตอนนี้”
“ดีแล้วที่ไม่…ไม่อย่างนั้นผู้หญิงดีๆแบบนี้ก็มาไม่ถึงพี่หรอก” ฟู่กุ้ยพูดพึมพำเสียงเบา หลิวเหมยรู้สึกสบายใจ
เห็นคุณค่าของปัจจุบัน พี่สะใภ้พูดถูก ทุกคนล้วนกำลังเติบโต เธอก็เหมือนกัน
เมื่อไปถึงอำเภอที่พ่อแม่ที่เลี้ยงหลิวเหมยมาอยู่ เสี่ยวเชี่ยนก็ให้ฟู่กุ้ยไปส่งเธอที่หน้าทางเข้าศูนย์บำบัดจิตใจ
“พี่สะใภ้ พี่ไปคนเดียวได้นะ?”
หลิวเหมยมองป้ายศูนย์บำบัดจิตใจผู้ป่วยโรคประสาทแล้วก็รู้สึกหวั่นใจ มองภายนอกก็เหมือนตึกทั่วไป แต่สำหรับหลายคนแล้วที่นี่เหมือนเป็นพื้นที่ลึกลับ เต็มไปด้วยจินตนาการที่หลากหลาย บางคนไม่เคยมาที่นี่เลยทั้งชีวิต แต่กลับเคยได้ยินเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้
บางครั้งจะล้อเล่นกับเพื่อนว่าบ้าเหรอ ออกมาจากโรงพยาบาลบ้าหรือไง?
เวลามีเด็กไม่นอนผู้ใหญ่ในบ้านก็มักจะขู่ว่าถ้าไม่เชื่อฟังคนบ้าที่อยู่ในโรงพยาบาลบ้าจะมาจับตัวไป
ดังนั้นหลิวเหมยจึงรู้สึกว่าที่นี่น่ากลัว ไม่รู้ว่าจะมีคนถูกจับมัดหรือมีการเฆี่ยนตีหรือเปล่า?
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับโรงพยาบาลที่เธอเคยไป มีห้องลงทะเบียนเหมือนกัน ภายในอาคารก็ไม่ต่าง คนไข้ที่อยู่ข้างในก็ไม่ได้ต้องถูกจับมัดเหมือนที่เธอคิดไปเสียหมดทุกคน กรณีแบบนั้นมีน้อยมาก ผู้ป่วยโรคประสาทเวลาอาการไม่กำเริบดูปกติมากนะ”
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มพลางอธิบาย
ฟู่กุ้ยพยักหน้า “ศูนย์บำบัดจิตใจผู้ป่วยโรคประสาทจะแยกผู้ป่วยออกเป็นหลายโซนตามอาการ แต่ละโซนจะมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิดหรอก”
“แล้วรูปที่ฉันเห็นตามเว็บบอร์ดจริงหรือเปล่าคะ?” หลิวเหมยพูดเสียงเบา “ที่ว่าข้างในมีการทรมานร่างกายด้วย…ถ้าไม่เชื่อฟังก็รักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า?”
ฟู่กุ้ยขำ “พวกสื่อน่ะชอบเล่นใหญ่ เพราะคนทั่วไปได้รับข้อมูลในด้านนี้น้อยมาก ก็เลยเข้าใจผิดได้ง่าย เว่อร์ขนาดนั้นมีที่ไหนกัน? ก็แค่ไม่มีใครได้เข้ามาที่นี่ ได้ยินแต่สิ่งที่เขาเล่าลือกันบวกกับรูปภาพที่ยิ่งช่วยให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ ไม่ปฏิเสธว่ามีแบบนั้นจริง แต่มันน้อยมาก”
“ในความเป็นจริงถ้าเธอได้คลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีอาการทางประสาทไปสักระยะ แล้วพอเธอกลับไปอยู่กับคนปกติ เธอจะรู้สึกว่าอาการบางอย่างของคนบางส่วนเข้าข่ายมีอาการทางประสาท บางครั้งผู้ป่วยโรคประสาทในโรงพยาบาลยังดูปกติกว่ามนุษย์สุดโต่งบางคนด้วยซ้ำ เพียงแค่คนพวกนั้นไม่ได้เข้ามารักษา”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็ตบบ่าหลิวเหมยแล้วเดินไป หลิวเหมยยืนมองเสี่ยวเชี่ยนเดินห่างไปจนลับตา จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความชื่นชม
“พี่สะใภ้ฉันเป็นนักปรัชญาชัดๆ คำพูดแต่ละอย่างมีหลักการเสมอ”
“ถ้าเธอสนใจครั้งหน้าพี่พาเธอไปเยี่ยมชมศูนย์บำบัดจิตใจได้นะ รอพี่ย้ายไปอยู่เมืองเดียวกับเธอ แผนกนิติจิตวิทยาของพี่ก็จะย้ายไปอยู่ที่ศูนย์บำบัดจิตใจแล้ว” ฟู่กุ้ยยอมย้ายที่ทำงานมาก็เพื่อหลิวเหมย
หลิวเหมยส่ายหน้าอย่างอายๆ “เอ่อ เรื่องนี้ช่างเถอะค่ะ…”
ความหมายของพี่ฟู่กุ้ยคือต่อไปพี่เขาจะต้องคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคประสาททุกวันเหรอ?
เธอไม่ได้จิตใจเข้มแข็งเท่าพี่สะใภ้นะ สถานที่แบบนี้อย่ามาบ่อยเลยดีกว่า ฟังที่พี่ฟู่กุ้ยเล่ายังพอทน แต่ถ้าจะให้มาเห็นกับตาไม่ดีกว่านะ
เสี่ยวเชี่ยนไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาล หลังจากที่บอกวัตถุประสงค์ในการมาแล้ว ผู้อำนวยการก็เป็นคนพาเธอไปยังแผนกด้วยตัวเอง
เสี่ยวเชี่ยนเดินตามพลางฟังผู้อำนวยการเล่าถึงสถานการณ์ที่นี่ ศูนย์บำบัดจิตใจเล็กๆแห่งนี้มีหมออยู่แค่ไม่กี่คน นี่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางระดับสองเพียงแห่งเดียวของอำเภอนี้ จะให้คุณภาพเทียบเท่ากับแผนกเฉพาะทางของโรงพยาบาลในเมืองคงสู้ไม่ได้ แต่เรื่องราคานั้นชนะขาดเพราะถูกแสนถูก
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเดินมากับผู้อำนวยการก็เห็นคนถูกจับมัดมาจากข้างนอก กำลังตะโกนเสียงดังบอกให้ปล่อยเพราะเขาไม่ได้บ้า
ผู้อำนวยการเดินไปถามหมอที่ตามเข้ามา “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”