แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 910 แบบนี้มันน่าอายมาก!
“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวผมมีสอบต้องรีบใช้ อาเลี่ยวเก่งด้านนี้ต้องช่วยชี้แนะให้ผมได้แน่ ส่วนพี่จู้จื่อ—” เสี่ยวเฉียงหันไปพูดกับจู้จื่อที่ดูกระอักกระอ่วน “พวกเขาเดี๋ยวจะต้องคุยกับเสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่เหรอครับ อาเลี่ยวอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้”
“ใช่ๆๆ นั่นแหละ ห้ามรบกวนการรักษาเด็ดขาด” อาเลี่ยวพยักหน้าติดๆกัน
คำโกหกแบบนี้ก็กุขึ้นมาหลอกเจี่ยซิ่วฟางได้ ตอนนี้อวี๋หมิงหลางเป็นถึงรักษาการแทนหัวหน้า มีสอบที่ไหนกัน
ทำไปก็เพราะไม่อยากให้จู้จื่อเซ้าซี้พ่อเลี่ยว จึงจะพาพ่อเลี่ยวออกไป
การมารักษาของจู้จื่อครั้งนี้เป็นเพียงข้ออ้าง เขาอยากเข้ามาตีสนิทพ่อเลี่ยวมาก เดิมคิดเอาไว้ว่าพอกินข้าวเสร็จจะให้ภรรยาเขาชวนเสี่ยวเชี่ยนคุย—เขาไม่ได้คิดว่านักจิตบำบัดจะเก่งมากมายพอที่จะทำให้ผู้หญิงที่ไม่อยากมีลูกเปลี่ยนความคิด เขาแค่อยากใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับพ่อเลี่ยวให้มากขึ้นเท่านั้น
ถึงเมืองที่เขาอยู่จะดี แต่ก็สู้เมืองQที่เจริญกว่าไม่ได้ งานมั่นคงในเมืองเล็กๆไม่ตอบโจทย์เขาอีกต่อไปแล้ว จึงอยากจะอาศัยพ่อเลี่ยวเป็นสะพานช่วยทำให้เขาถูกย้ายมาเมืองนี้ แบบนั้นจะวิเศษมาก
แต่เสี่ยวเฉียงกลับไม่ให้โอกาสเขา กลับตัดหน้าชิงตัวพ่อเลี่ยวไป
พอออกไปนอกบ้านเสี่ยวเฉียงก็พูดกับพ่อเลี่ยว
“อาเลี่ยวเดินหมากเป็นไหมครับ?”
“เป็นนิดหน่อย ไม่เก่งเท่าไรหรอก”
“แบบนั้นก็ดีเลย” พาไปบ้านอยู่เป็นเพื่อนพ่อจอมงี่เง่าเดีกว่า!
ช่วงนี้แม่อวี๋ไปอยู่เมืองหลิน พ่ออวี๋จึงกลายเป็นตาแก่ผู้โดดเดี่ยวไม่มีใครรัก
เดิมคิดว่าแม่อวี๋ไปอยู่ช่วยเสี่ยวเชี่ยนเสร็จแล้วก็คงกลับมา ปรากฏว่าแม่อวี๋จัดการเรื่องของครอบครัวลูกชายคนเล็กเสร็จก็ไปจัดการเรื่องครอบครัวลูกชายคนรองต่อ ได้ยินว่าจะไปค้างหลายวัน
ครั้นแล้วพ่ออวี๋จึงกลายร่างเป็นเขตระเบิด ปั้นหน้ายักษ์ทำตัวขี้หงุดหงิดอยู่ในบ้าน
เสี่ยวเฉียงพาตัวพ่อเลี่ยวออกมาก็พอดีจะได้ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ปล่อยให้สองคนนี้เดินหมากกัน ฝีมือห้ามเก่งกว่าเด็ดขาด ยิ่งไม่เก่งยิ่งช่วยลดอารมณ์หงุดหงิดของพ่อเขาได้ดี
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่กตัญญูมาก
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ดูเหมือนจู้จื่อก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังอยากตีสนิทกับเจี่ยซิ่วฟางแทน เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาจะไปคุยกับแม่จึงรีบขัดขวาง
“พี่จู้จื่อคะ การให้คำปรึกษาครั้งนี้สามีภรรยาจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันค่ะ พี่ตามฉันเข้าไปในห้องด้วยกันดีกว่าค่ะ”
“พี่เหรอ?”
“ค่ะ การรักษานี้สามีภรรยาต้องทำไปพร้อมกัน” อันนี้ไม่ได้หลอกเขา หลายคนที่มีปัญหาชีวิตคู่ เวลาเข้ารับคำปรึกษาสามีภรรยาก็ต้องฟังไปพร้อมกันอยู่แล้ว
จู้จื่อพอได้ฟังเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองมีความผิดปกติอะไร แต่เขาก็อาศัยข้ออ้างนี้เข้ามาตีสนิท ถ้าไม่เข้าไปร่วมฟังตามที่เสี่ยวเชี่ยนบอก ต่อไปก็คงมาที่นี่ยากแล้ว
จึงทำได้แค่เดินตามเสี่ยวเชี่ยนเข้าไปในห้อง ซึ่งตั้งแต่เริ่มเข้ามาในบ้านนี้ภรรยาของเขาก็เอาแต่เงียบตลอด พูดอยู่ไม่ถึงห้าประโยค คล้ายกับเป็นหุ่นกระบอกที่ไร้ความคิด สามีพูดอะไรเธอก็ได้แค่นั่งฟัง
ห้องของเสี่ยวเชี่ยนถูกเก็บกวาดจนสะอาด ถึงเธอจะกลับมาไม่บ่อย แต่ก็เหมือนกับที่แม่เคยพูดกับเธอไว้ บ้านนี้มีพื้นที่ให้เธอเสมอ
“บ้านเธอก็ใหญ่เหมือนกันนะ” จู้จื่อเห็นห้องเสี่ยวเชี่ยนแล้วจึงพูดขึ้น ห้องนี้ถูกปิดไว้ตลอด เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามา
“ตอนที่บ้านถูกเวนคืนแม่ฉันขอบ้านสามห้องนอนไป ต่อมาแต่งกับอาเลี่ยวมีสมาชิกเพิ่มขึ้น อาเลี่ยวเลยซื้อห้องข้างๆแล้วทุบรวมกัน”
เสี่ยวเชี่ยนยกโต๊ะไม้ขนาดเล็กมา จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งล้อมโต๊ะตัวนั้น
“ครอบครัวที่แต่งงานใหม่สนิทสนมกันได้ขนาดนี้นับว่าไม่ง่ายเลยนะ” จู้จื่ออยากตีสนิทเสี่ยวเชี่ยน
“ไม่มีอะไรยากค่ะ ครอบครัวเราเป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน จะว่าไงดีล่ะ ถ้าจะพูดตามตรงคนระดับอาเลี่ยวไม่ควรจะหาภรรยาอย่างแม่ฉัน สองครอบครัวต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นฉันก็คัดค้านไม่ให้แม่แต่งงานใหม่ ฉันบอกว่าบ้านเราญาติเยอะ ถ้าทุกคนมาสร้างความยุ่งยากให้อาเลี่ยวจะทำไง? อาเลี่ยวเป็นคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด ไม่เคยช่วยใครเป็นพิเศษ ถ้าต้องมาเสียเพราะแม่ฉันจะทำไง?”
เจอแบบนี้…พูดไม่ออกเลยนะ
จู้จื่อแทบยิ้มไม่ออก
ผู้หญิงคนนี้ยังเรียนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? หรือจะเรียนมากไป สมองเลยเพี้ยน?
คำพูดแบบนี้พูดออกมาได้ยังไง เขาก็ไปต่อไม่ถูกสิ!
“พี่จู้จื่อคะ พี่ไม่สงสัยเหรอว่าแม่ฉันตอบว่ายังไง?”
“อาพี่พูดว่าไง?” จู้จื่อคล้อยตามเสี่ยวเชี่ยน รู้สึกอายแต่ก็ตอบโต้ไม่ได้
กลัวที่สุดคือการที่อีกฝ่ายรู้ตัวว่าจะมาตีสนิท คำพูดของเธอทำเขาจุกจนตอบโต้ไม่ได้ นี่สรุปว่าเรียนมากจนเพี้ยนเลยไม่รู้จักเหลือทางให้คนอื่นลงเลยงั้นเหรอ?
“แม่ก็ถลึงตาใส่ เกือบตบฉันด้วย! แม่บอกว่า นังลูกคนนี้นี่พูดจาไร้สาระ! ญาติฝ่ายแม่ไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เราเลยสักคนยามที่เราลำบาก ตอนนี้เราเริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ใครมันจะกล้าหน้าด้านมาหาเรา? ฉันไม่ได้ว่าพี่นะคะ พวกพี่มาให้ฉันรักษา ไม่เหมือนกับพวกที่คิดจะมาหาผลประโยชน์ ฉันเองก็ถือเป็นหมอ หมอก็ต้องมีจิตใจเมตตา พวกพี่มาหาฉัน ฉันก็ต้องตั้งใจรักษา”
จู้จื่อรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ถ้าคำพูดนี้ออกจากปากแม่เสี่ยวเชี่ยนหรือพ่อเลี่ยว เขาก็ยังพอเข้าใจความหมาย แต่พอมันออกมาจากปากผู้หญิงที่อายุน้อยแบบนี้ เขาเลยไม่รู้ว่าจงใจพูดหรือเปล่า ทำได้แค่ยิ้มแห้งให้
“งั้นพวกเรามาเริ่มรักษากันดีกว่า ชีวิตคู่ของพวกพี่มีเรื่องอะไรที่จัดการยากไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนหลอกด่าพอแล้วจึงกลับเข้าเรื่องหลัก
เธอพูดอย่างชัดเจนแล้ว มาให้รักษาน่ะได้ แต่เรื่องเข้าหาเพื่อใช้เส้นสายน่ะอย่าหวัง
“พี่สะใภ้เธอเขาไม่อยากมีลูก ปีนี้พี่อายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ถ้ายังไม่มีลูกอีกเดี๋ยวก็จะสามสิบ สภาพแวดล้อมที่บ้านเกิดเราก็ไม่ได้ดีเท่าไร ถึงพี่จะทำงานธนาคาร แต่ธนาคารที่นั่นก็เทียบกับของเมืองQไม่ได้ สวัสดิการต่างๆทางนี้ก็ดีกว่า ถ้าพี่ได้มาทำงานที่นี่ล่ะก็—”
เสี่ยวเชี่ยนตัดบท ไม่ปล่อยให้เขาลากยาวออกนอกเรื่อง
“ดังนั้นปัญหาก็คือ พี่สะใภ้ไม่อยากมีลูกใช่ไหมคะ? พี่สะใภ้คิดยังไงกับเรื่องนี้คะ?”
“พี่…” พี่สะใภ้ที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดหันไปมองสามีตัวเอง คล้ายกับพูดลำบาก
เสี่ยวเชี่ยนให้กำลังใจ
“ไม่ต้องมองว่าฉันเป็นญาตินะคะ คิดเสียว่าฉันเป็นหมอคนนึงก็พอค่ะ พูดมาได้ตามสบายเลย”
“พี่ไม่ได้ไม่อยากมีลูก แต่พี่อยากกลับไปทำงานหลังคลอดลูกแล้ว พี่เธอไม่เห็นด้วย จะให้พี่เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านให้ได้”
บางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่นุ่มนวลของเสี่ยวเชี่ยน จึงทำให้รู้สึกไว้วางใจ หรืออาจเป็นเพราะช่วงหลายวันมานี้อัดอั้นตันใจมาก จึงอยากระบายออกมาให้ใครได้ฟัง ประโยคที่ออกมาจากปากของภรรยาทำให้จู้จื่อถึงกับสติขาดผึง
“พูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ!” จู้จื่อแค่อยากหาข้ออ้างมาตีสนิทพ่อเลี่ยว ถึงเรื่องที่ไม่อยากมีลูกจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องในครอบครัวพูดออกมา เขาคิดมาตลอดว่าเรื่องมีลูกกลับไปปิดประตูคุยกันสองคนก็พอ