แฝดชายหญิง:แด๊ดดี้ต้องชนะใจหม่ามี๊นะ - ตอนที่ 145
แฝดชายหญิง:แด๊ดดี้ต้องชนะใจหม่ามี๊นะ
บทที่ 145 หน้าตากับหุ่นของคุณตรงสเป็คฉันเลย
สวี่รั่วฉิงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเรียบร้อย เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ก็วางของที่กำลังเก็บลง “เข้ามาได้เลย”
ซูจิ่วเอ๋อร์เองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย เมื่อเธอเหลือบมองกระเป๋าเป้ของสวี่รั่วฉิงที่วางอยู่บนเตียง พร้อมกันนั้นยังมีแว่นกันแดด ไอแพดวางอยู่ด้วย จึงรู้ในทันทีว่าเพื่อนสนิทกำลังเก็บกระเป๋า
“เมื่อกี้ฉันให้คนใช้ไปเอาไวน์แดงในห้องใต้ดินมาล่ะ” ซูจิ่วเอ๋อร์โบกขวดไวน์ในมือ ถือแก้วมาวางไว้บนโต๊ะ
สวี่รั่วฉิงรับที่เปิดขวดที่ซูจิ่วเอ๋อร์ยื่นมาให้ แล้วเปิดจุกไม้ออก จากนั้นก็รินไวน์ลงในแก้วทีละแก้ว
ไวน์ที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินของตระกูลซู หมักไว้เป็นเวลาค่อนข้างนาน
สวี่รั่วฉิงก้มลงจิบคำหนึ่ง พร้อมกับยกยิ้มออกมาอย่างพอใจ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ดื่มไวน์ชั้นดีก่อนนอนหรอก
“จิ่วเอ๋อร์ แกมีอะไรอยากคุยกับฉันเหรอ?” สวี่รั่วฉิงเอ่ยพูดกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ซูจิ่วเอ๋อร์ดีดนิ้ว แล้วขยับเข้าไปใกล้สวี่รั่วฉิง พร้อมกับขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์
“แกบอกฉันมาดีๆ แกคิดยังไงกับลี่ถิงเซิ่งกันแน่? คงไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องธรรมดาใช่ไหม?” ซูจิ่วเอ๋อร์วางแก้วที่ดื่มหมดแล้วลงบนโต๊ะ จากนั้นก็นอนราบลงบนเตียง พร้อมแลมองเพื่อนสนิทตัวเอง “ถึงฉันจะไม่เคยมีความรักจริงๆจังๆ แต่ว่าฉันดูคนออกนะ ที่แม่ฉันถามแกเมื่อตอนบ่าย แกกำลังคิดถึงลี่ถิงเซิ่งอยู่ใช่ไหม?”
สวี่ร่วฉิงกุมแก้วเอาไว้ ดวงตาสีดำขลับดุจดั่งรัตติกาลจ้องมองเพดานนิ่ง
ห้องของเธอ ก็เหมือนห้องของซูจิ่วเอ๋อร์ อยู่ชั้นบนสุดของใจกลางคฤหาสน์
ช่วงฤดูร้อนเวลาอากาศดีๆ สามารถนอนดูดาวผ่านหลังคาแบบกระจกใสได้
“จิ่วเอ๋อร์ ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าคิดยังไงกับขากันแน่” สวี่รั่วฉิงเอ่ยพูดออกมาอย่างปลงตก “ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะเกลียดเขา ถ้าไม่ใช่เขา บางทีฉันอาจจะไม่โดนสวี่รั่วยีคิดแค้นก็ได้ แต่พอฉันกลับไปที่เมืองหลินชวน ตลอดเวลาที่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทของเขา……”
สวี่รั่วฉิงเม้มปาก ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ซูจิ่วเอ๋อร์ตอบอืมอย่างเข้าใจความหมาย
เธอใช้ไหล่กระทบสวี่รั่วฉิง “แปลว่าคุณหนูสวี่ของฉันกำลังหวั่นไหวสินะ?”
สวี่รั่วฉิงนิ่งไปชั่วครู่ กระตุกมุมปากยิ้มเยาะตัวเอง
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครเรียกเธอว่า”คุณหนูสวี่”
สวี่รั่วฉิงถลึงตาใส่ซูจิ่วเอ๋อร์ “จิ่วเอ๋อร์ แกก็รู้ว่าตระกูลสวี่ตัดฉันออกจากตระกูลตั้งแต่หกปีที่แล้ว”
ซูจิ่วเอ๋อร์ตอบอืมเบาๆ
เพื่อนสนิทของเธอยังไม่ยอมมูฟออนจากหกปีที่แล้วจริงๆด้วย
สวี่รั่วฉิงเอ่ยพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า “หวั่นไหวหรือเปล่าฉันไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อยฉันก็ชอบหน้าตากับหุ่นของลี่ถิงเซิ่งมาก ถ้าไม่ติดเรื่องแต่งงาน ฉันก็อยากเลี้ยงต้อยเขาอยู่เหมือนกันนะ”
ซูจิ่วเอ๋อร์ “…….”
โชคดีที่เธอวางแก้วไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องสำลักออกมาเพราะคำพูดของสวี่รั่วฉิงแน่ๆ
ซูจิ่วเอ๋อร์ “คุณหนูสวี่ ลี่ถิงเซิ่งรู้หรือเปล่าว่าแกอยากเลี้ยงต้อยเขา?”
ถ้าหากประธานลี่ซื่อกรุ๊ปรู้ว่าแม่ของลูกอยากใช้เงินฟาดหัวเขาเข้าล่ะก็ ไม่รู้จะมีท่าทียังไง
สวี่รั่วฉิงยักไหล่ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่รู้” สวี่รั่วฉิงจิบไวน์ เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเคลิ้มๆ “ความลับยิ่งทำให้ผู้หญิงดูน่าค้นหานะ”
ซูจิ่วเอ๋อร์กับสวี่รั่วฉิงดื่มไวน์แดงด้วยกันอยู่สักพัก ใบหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมึนเมา
ซูจิ่วเอ๋อร์ “เอิ่ก พรุ่งนี้ตอนเช้าเราไปดูวัตถุดิบเครื่องหอมกัน”
ซูจิ่วเอ๋อร์กลับห้องตัวเองไปอย่างเมามาย ด้านสวี่รั่วฉิงก็มึนเบลอเล็กน้อย เธอมุดเข้ามาในผ้าห่มได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เธอจึงกดรับโดยไม่คิดลังเล
เมื่อกดรับ สวี่รั่วฉิงก็สะอึกยกใหญ่
ด้านคนที่อยู่เมืองหลินชวนเพิ่งตื่นนอน นิ้วมือที่กำลังแกะกระดุมชุดนอนออกพลางหยุดชะงัก คิ้วคมขวดเล็กน้อย
“คุณดื่มมาเหรอ?”
สวี่รั่วฉิงที่ยังมึนเบลอรู้สึกแค่ว่าเสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มปลายสายรื่นหูเป็นอย่างมาก เธอเผลอตอบอืมกลับไป แต่จากนั้นก็รู้ตัวจึงปฏิเสธ “หือ? ฉันไม่ได้ดื่มมานะ…..แต่ว่าเสียงคุณคุ้นจังเลย”
สวี่รั่วฉิงนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง แนบโทรศัพท์ไว้กับหู
เสียงหัวเราะอย่างจนใจของชายหนุ่มดังชัดเจนในค่ำคืนอันเงียบสงบ
เขาหมดคำจะพูดจริงๆ ขนาดเสียงยังจำกันไม่ได้ ยังมาบอกว่าไม่เมาอีกเหรอ
ลี่ถิงเซิ่งเดินมาหยุดตรงตู้หัวเตียง วางโทรศัพท์ที่เปิดลำโพงไว้ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็แกะกระดุมชุดนอนบนตัวของเขาต่ออย่างช้าๆ
เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกัน ดังเข้ามาในหูของสวี่รั่วฉิงอย่างชัดเจน
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างซื่อบื้อ “ฉันนึกออกแล้ว คุณคือลี่ถิงเซิ่งใช่ไหม”
ลี่ถิงเซิ่งเหลือบนัยน์ตาดำขลับไปมองโทรศัพท์ เอ่ยพูดเสียงทุ้มว่า “นึกออกแล้วเหรอ?”
สวี่รั่วฉิงตอบอืมอย่างไร้เดียงสา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งคุยกับจิ่วเอ๋อร์มา หน้าตากับหุ่นของคุณตรงสเป็คฉันเลย เอิ่ก——เดี๋ยวสักวันฉันจะใช้เงินเลี้ยงต้อยคุณเอง!”
ลี่ถิงเซิ่งเดินไปถึงหน้าตู้เสื้อผ้าได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงอ้อแอ้ของหญิงสาวปลายสาย เท้าที่กำลังเดินมาอย่างมั่นคงก็พลันสะดุด
เลี้ยงต้อย?
ใครเลี้ยงต้อยใคร?
ใบหน้าหล่อขรึมของลี่ถิงเซิ่งสะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟสีนวล
มุมปากของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่านยาก “ใครเลี้ยงต้อยใครนะ? หืม?”
สวี่รั่วฉิงนิ่งอยู่ชั่ววินาที “ฉันเลี้ยงต้อยคุณไง ฉันมีเงินนะ!”
ลี่ถิงเซิ่งยิ้มเหี้ยมออกมา เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนกล้ามาพูดอะไรอย่างนี้กับเขามาก่อนเลยสักครั้ง
“ทำไมไม่พูดล่ะ?” สวี่รั่วฉิงเห็นว่าลี่ถิงเซิ่งเงียบไป ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เธอสะอึกออกมา น้ำเสียงเคลิ้มๆดูน่ารักโดยไม่รู้ตัว
เธอขมวดคิ้วพยายามขบคิด ว่าลี่ถิงเซิ่งกำลังคิดว่ารายได้ของเธอไม่พอเลี้ยงเขาหรือเปล่า
“จริงๆแล้วฉันมีสมบัติเยอะมากนะ……” น้ำเสียงของสวี่รั่วฉิงเผยแววน้อยใจ เธอกางนิ้วออกแล้วเริ่มนับจำนวนบ้าน รถ แล้วก็ของมีค่าอีกมากมาย’
ลี่ถิงเซิ่ง “………”
ความโกรธที่มีก่อนหน้านี้พลันหายไป
เหมือนลูกโป่งที่ถูกสวี่รั่วฉิงใช้เข็มเจาะจนฟีบ
“คุณจะบอกรหัสบัตรกับผมด้วยไหมล่ะ?” ลี่ถิงเซิ่งนั่งลงบนเตียงอย่างหมดปัญญา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมกับใช้นิ้วนวดหัวคิ้วอย่างง่วงซึม
พอจะรู้ว่าเธอคออ่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอเมาแล้วจะพูดทุกอย่างแบบนี้
สวี่รั่วฉิงกะพริบตา “ไม่ได้สิ ฉันบอกรหัสบัตรกับคุณไม่ได้!”
ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนยังคงถือสายอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของสวี่รั่วฉิง มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
ถึงจะเมา แต่คนขี้งกก็ยังเป็นคนขี้งก
ในเมื่อชอบเงินขนาดนั้น ยังคิดจะเลี้ยงต้อยเขาอีกเหรอ?
มุมปากของลี่ถิงเซิ่งยกยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจ เขากดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ไม่บอกก็ไม่บอก งั้นผมจะรอให้คุณมาเลี้ยงต้อยก็แล้วกัน”