แฝดชายหญิง:แด๊ดดี้ต้องชนะใจหม่ามี๊นะ - บทที่212 เป็นได้สูงที่ป้าหวังเคยเป็นนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก
- Home
- แฝดชายหญิง:แด๊ดดี้ต้องชนะใจหม่ามี๊นะ
- บทที่212 เป็นได้สูงที่ป้าหวังเคยเป็นนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก
ในห้องหนังสือนั้นเงียบไปประมาณห้านาที คนรับใช้ก็ผลักประตูเข้ามา
ในมือของเธอนั้นถือแก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับพูด “คุณชายฉิน นี่คือกาแฟโปเลียนที่คุณเพิ่งสั่งเมื่อครู่ค่ะ”
ฉินซวี่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขามองคนรับใช้แป๊บหนึ่ง แล้วพูดนิ่งๆ “วางไว้ตรงนี้แหละ”
หลังจากที่คนรับใช้ออกไป ฉินซวี่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมคุยกับเลขาต่อจากเมื่อครู่ที่ยังพูดคุยกันไม่จบ
“ถ้าไม่ใช่ลี่ถิงเซิ่งทำ งั้นก็เป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนของตระกูลซู”
เลขาถึงกับชะงัก คนของตระกูลซูเหรอ?
“คนของตระกูลซูจะมาช่วยคุณแอนได้อย่างไร?”
เลขาพูดมาได้ครึ่งหนึ่ง ในหัวนั้นก็ผุดความทรงจำที่ห่างหายไปนาน คล้ายกับว่าเมื่อสองปีก่อนที่เคยให้เขาสืบค้นเกี่ยวกับคนที่ติดต่อคบค้าสมาคมกับคุณแอน
เวลานั้นเขานั้นรีบให้คนไปสืบให้แน่ชัดเกี่ยวกับคนที่ติดต่อกับคุณแอนและคุณหนูใหญ่ตระกูลซู
เมื่อพบว่าเลขาเงียบไป ฉินซวี่ก็พอจะเดาออกว่าเลขานั้นคิดถึงเรื่องเมื่อสองปีที่ได้แล้ว
“ดูเหมือนว่านายจะรู้แล้วนะ?”
เลขาพยักหน้า “ครับ แต่ถ้าคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังคุณแอนคือคนตระกูลซู งั้นตอนที่พวกเราสืบค้นเรื่องของเธอ ก็คงจะต้องควรระมัดระวังเป็นพิเศษหน่อยใช่ไหม?”
ฉินซวี่นั้นพิงตัวบนเก้าอี้ด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน คิ้วเรียวยาวนั้นทำให้เกิดเงาดำปกคลุมดวงตาเขา
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่จำเป็นหรอก การสืบค้นแอนนาไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีอะไร คนของตระกูลซูน่าจะรู้และเข้าใจเจตนา และไม่น่าจะมีปัญหากับพวกเรา”
น้ำเสียงของฉินซวี่ดูตรงไปตรงมา เขาก้มลงจิบกาแฟ เพื่อให้ลำคอชุ่มชื่น หลังจากนั้นก็สั่งกำชับเลขา “บุญคุณความแค้นระหว่างแอนนากับตระกูลสวี่ ต้องสืบค้นให้ละเอียด คุณหนูใหญ่ตระกูลสวี่คนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ถ้าแอนนาต้องการจะสู้กับเธอจริงๆแล้วล่ะก็ ก็หาข้อได้เปรียบไม่ได้เลย”
ฉินซวี่พูดพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
ถ้าเธอนั้นเป็นลูกของเพื่อนสนิทสามีภรรยาตระกูลซูจริงๆ เหตุผลที่เธออยู่ที่ตระกูลซู อาจเป็นไปได้อย่างมากที่พ่อแม่ของเธอนั้นตายไปแล้ว
ตระกูลซูปฏิบัติต่อเธอดีมาก แต่เกรงว่าอาจจะไม่เคยสอนเธอเรื่องกฎการใช้ชีวิตในแวดวงตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพล เมื่อถึงวันที่ต้องสู้กับสวี่รั่วยี เกรงว่าจะเสียเปรียบ
ฉินซวี่ปรายตาลง น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นลงกว่าเมื่อครู่ “ถ้าคนตระกูลสวี่ต้องการทำอะไรให้แอนนาไม่ราบรื่น ให้คนที่จับตามองดูแอนนาอยู่ในเงามืดนั้นลงมือได้โดยตรงเลย ไม่ต้องรายงานฉัน”
ในห้องหนังสือนั้นเงียบอย่างน่าประหลาด ถ้ามีคนเข้ามาเวลานี้ เกรงว่าคงจะรู้สึกหายใจไม่ออก
เลขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็มีคำถามตามมา “ประธานฉิน ถ้าคุณหนูใหญ่ตระกูลสวี่คนนั้นเป็นคนลงมือด้วยตัวเองล่ะครับ?”
หลังจากสิ้นสุดคำถาม ฉินซวี่ก็แทบจะไม่หยุดคิด “เหมือนกัน ลงมือได้เลย ถ้าเธอนั้นเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา ฉันจะถามเอาความจากนาย”
น้ำเสียงเขาเยือกเย็นจนเกือบจะถึงขีดสุด เลขานั้นตกใจมาก ตระกูลซูนั้นก็ถือเป็นตระกูลใหญ่ในเหมือนหลินชวน ประธานฉินทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าตระกูลสวี่บ้างเลยเหรอ?
หรือว่าคุณแอนนั้นสำคัญกับเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ?
…
ในเวลาเดียวกันนั้น อิตาลีรีคเช่อ ในร้านกาแฟร้านหนึ่งที่ไม่ได้เป็นจุดสนใจของคนมากนัก ซูจิ่วเอ๋อร์ก็ถอดแว่นกันแดดออกวางไว้บนโต๊ะ ห่างจากเธอไม่ไกลนั้น คือเลขากับบอดี้การ์ดของเธอ พวกเขากังวลว่าคนที่ขายข่าวให้ซูจิ่วเอ๋อร์นั้นจะทำให้เธอไม่ปลอดภัย
ซูจิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแต่สั่งให้พวกเขามาที่ร้านกาแฟด้วย แต่ไม่อนุญาตให้พวกเขานั้นเข้าใกล้บริเวณที่นัดคุยกัน
ซูจิ่วเอ๋อร์ก้มหน้าดูเวลาบนโทรศัพท์มือถือ ยังเหลือเวลาอีกสิบห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัดหมาย
จะว่าไปก็แปลก ซูจิ่วเอ๋อร์ยินยอมที่จะช่วยเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างสวี่รั่วฉิงตามหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับป้าหวัง แต่จากศักยภาพของตระกูลซู นานขนาดนี้แล้วก็ยังหาเบาะแสที่อยู่ของป้าหวังไม่พบเลย
ซูจิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะสงสัย บางทีอาจจะเป็นป้าหวังเองที่หลบซ่อนตัว หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ทำให้คนอื่นหาตัวเธอไม่เจอสักที!
ซูจิ่วเอ๋อร์นั้นจัดการตีพิมพ์ข่าวสารลงบนเว็บไซต์ของซูซื่อกรุ๊ปโดยตรงอีกทางหนึ่ง เป็นข้อความเกี่ยวกับค่าตัวราคาสูงที่ต้องการใช้ซื้อตัวอดีตนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ไม่มีผลสรุปอะไรติดต่อกันหลายวันแล้ว
ซูจิ่วเอ๋อร์นั้นกำลังจะยอมแพ้ ตอนที่เธอกำลังจะเปลี่ยนวิธีเพื่อช่วยเพื่อนสนิทของเธอตามหาป้าหวัง จู่จู่ก็มีคนติดต่อเลขาของเธอเข้ามา บอกว่าเธอนั้นรู้ว่าป้าหวังนั้นเคยไปที่ไหนมาก่อน
เลขาต่อสายให้ซูจิ่วเอ๋อร์
คนคนนั้นใช้เครื่องแปลงเสียง เสียงนั้นแปลกประหลาดมาก ในใจซูจิ่วเอ๋อนั้นรู้สึกว่าคนคนนั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับป้าหวังจริงแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจะใช้เครื่องแปลงเสียงทำไม?
ตอนที่ซูจิ่วเอ๋อร์กำลังจมดิ่งกับความคิด เสียงแหบๆของผู้หญิงค่อนข้างดูสูงอายุ ก็ดังขึ้นข้างๆเธอ “ขอโทษนะ คุณใช่คุณซูจิ่วเอ๋อร์หรือเปล่า?”
ซูจิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา เห็นเป็นผู้หญิงที่ดูค่อนข้างสูงอายุคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสี่สิบปี บนใบหน้านั้นมีริ้วรอยอยู่ไม่น้อย
ซูจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เธอนั้นมองขึ้นลงพิจารณาหญิงตรงหน้าอยู่สักพัก ปากแดงนั้นก็ค่อยๆเม้ม แล้วพูด “ฉันคือซูจิ่วเอ๋อร์ คุณคือคนที่รู้เรื่องราวของนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลกใช่ไหมคะ?”
หญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบคนนี้พูดขึ้น “ฉันรู้เรื่องอดีตของเธอ ถ้าเธออยากรู้ ก็เอาเงินห้าล้านดอลลาร์มาแลก!”
ห้าล้าน!?
ซูจิ่วเอ๋อร์ประหลาดใจ ตอนที่เธอพิมพ์บอกในเว็บไซต์นั้นคือ ถ้ามีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก เธอยินดีที่จะจ่ายหนึ่งล้านดอลลาร์เพื่อแลกกับข่าวนี้
ห้าล้านสำหรับซูจิ่วเอ๋อร์นั้น เป็นเพียงเงินที่ใช้ซื้อเสื้อผ้าแค่เท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เงินที่น้อยเลย
และผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้านี้เพียงแค่เอ่ยปาก ก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องการห้าล้านดอลลาร์!
“คุณซูไม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเยอะขนาดนี้เพื่อซื้อมันเหรอ? คุณและฉันต่างก็รู้ดีว่าข่าวของเธอนั้น หาได้ยากมากขนาดไหน ใช่ไหม?”
ซูจิ่วเอ๋อร์กัดฟันแน่น หยิบเช็คออกมาจากในกระเป๋า พร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง เธอเขียนจำนวนเงินห้าล้านลงบนเช็คแล้ว ฉีกออกพร้อมกับส่งให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า
ถ้าแค่ห้าล้าน เธอช่วยสวี่รั่วฉิงจ่ายได้ ถึงอย่างไรความสามารถของสวี่รั่วฉิง ห้าล้านดอลลาร์ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถหาคืนมาได้แล้ว
หวังว่าถ้าสวี่รั่วฉิงมารู้ทีหลังคงจะไม่โทษเธอ ซูจิ่วเอ๋อร์คิดในใจเงียบๆ
หญิงวัยกลางคนรับเช็คไป หลังจากเห็นตัวเลขบนนั้นชัดๆ ก็เก็บเข้ากระเป๋าอย่างพอใจ
เธอนั่งตรงหน้าซูจิ่วเอ๋อร์ พร้อมจิบกาแฟ จากนั้นจึงพูด “ฉันเจอเขาครั้งล่าสุดก็เป็นเรื่องเมื่อหกปีที่แล้ว เธอออกจากยุโรปไปนานแล้ว ได้ยินว่าไปเมื่อทางตะวันออก ที่ชื่อว่าเมืองหลินชวน”
ซูจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นมา
เมืองหลินชวนเหรอ? เป็นอย่างที่เธอและสวี่รั่วฉิงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ป้าหวังที่เคยสอนสวี่รั่วฉิงปรุงน้ำหอม มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าแท้จริงแล้วก็คืออดีตนักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก!
นักปรุงน้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก ทำไมถึงกลายมาเป็นคนรับใช้ตระกูลสวี่?
“คุณมั่นใจไหมว่าเมืองที่เธอไปนั้นคือเมืองหลินชวน?” ซูจิ่วเอ๋อร์ถาม
บริกรนั้นยกแก้วกาแฟที่หอมนุ่มลึกวางไว้ตรงหน้าของหญิงวัยกลางคนอย่างคล่องแคล่ว
หญิงวัยกลางคนคนนั้นพยักหน้า หลังจากจิบกาแฟแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงโอเวอร์ “แน่นอนสิ! ในปีนั้นเธอไปที่เมืองหลินชวน ยิ่งกว่านั้นฉันเองที่เป็นคนช่วยเธอจองตั๋วเครื่องบิน!”