แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 626
บทที่ 626 วิธีทักทาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉัน?”
สวี่ซูหานมองหลิงม่ออย่างผิดคาดเล็กน้อย หลังลังเลครู่หนึ่ง เธอก็รีบพยักหน้าทันที
ทว่าก่อนกระโดดขึ้น เธอกลับยื่นปืนในมือมาทางนี้ “ถ้าฉันเคลื่อนไหวผิดปกติ นายก็ยิงฉันซะ”
“เอ่อ…” คำพูดนี้ทำเอาหลิงม่อกระอักกระอ่วนไปทันที ถึงแม้เขาจะยังไม่ไว้ใจพวกเธอจริงๆ แต่พอเธอพูดออกมาอย่างนี้…
โดยเฉพาะน้ำเสียงของเธอ ทำไมถึงได้ฟังดูแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ…
ไม่รอให้หลิงม่อพูดอะไรมากไปกว่านั้น สวี่ซูหานก็วิ่งออกไปเพื่อเตรียมความพร้อมสองก้าว จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง
ศักยภาพร่างกายของเธอดูอ่อนแอกว่าพวกมู่เฉินอย่างเห็นได้ชัด เธอฝืนเกาะขอบอาคารฝั่งตรงข้ามไว้ได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็เหวี่ยงตัวขึ้นข้างบน ทิ้งตัวลงบนดาดฟ้าของอาคารหลังนั้น
สวี่ซูหานยืนขึ้นอย่างมั่นคง หลิงม่อรู้สึกว่าสายตาของเธอมองมาที่ตัวเองอีกครั้ง
เหมือนเธอต้องการจะสื่อว่า ดูสิ ฉันไม่ได้หนีไปไหนใช่ไหมล่ะ…
“ตานายแล้ว” หลิงม่อเร่งมู่เฉิน
มู่เฉินมองมีดในมือตัวเองอย่างสับสัน จากนั้นก็ยื่นมีดมาให้หลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “ฉัน…โอ๊ย!”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนเตะเข้าที่ข้อพับเข้าหนึ่งที “รีบไปเซ่!”
มู่เฉินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ เขาถูกชกท้องอย่างแรงจนถึงตอนนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้น หลังกระโดดข้ามไปเขาก็คว้าขอบอาคารแล้วเหวี่ยงร่างกายท่อนล่างขึ้นไปข้างบนสองสามครั้ง แต่กลับยังไม่สามารถปีนขึ้นไปได้
สุดท้ายสวี่ซูหานก็ต้องคว้าแขนเขาไว้ แล้วช่วยลากเขาขึ้นไปข้างบน
“พี่หลิงพี่ไปก่อน พวกเราจะระวังหลังไว้ให้” ซย่าน่ายกเคียวดาบฟันเงาร่างท่วมไฟให้ร่วงลงไปข้างล่าง แล้วหาจังหวะหันกลับมาบอก
“ได้” หลิงม่อเองก็ไม่ชักช้า หลังกระชับกระเป๋าเป้บนหลัง เขาก็ยกแขนขึ้นทันที
การกระทำนี้ทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานต่างตกตะลึง คนคนนี้เขาจะไม่วิ่งก่อนกระโดดหรอ?
แต่ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา พวกเขาก็ต้องปากอ้าตาค้างมองหลิงม่อลอยตัวขึ้นจากที่เดิม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงข้างกายพวกเขาอย่างสง่างาม
“เชี่ย…” มู่เฉินหันไปมองหลิงม่ออย่างตกตะลึง จากนั้นก็อดถามไม่ได้ “วิธีนี้ของนายพาคนอื่นลอยข้ามมาด้วยไม่ได้หรอ?”
“ได้สิ…” หลิงม่อพยักหน้า
“แล้วทำไมนาย…” มู่เฉินนึกถึงสภาพของตัวเองที่เมื่อกี้พยายามเขย่งร่างกายท่อนล่างเหมือนกบ แต่คนคนนี้กลับเอาแต่เร่งเร้าอยู่ข้างล่างนั่น…
“ก็มันต้องอุ้ม” คำพูดนี้คำพูดเดียวทำให้มู่เฉินต้องเงียบปากทันที ไม่นานเขาก็ทำท่าตัวสั่น แล้วสะบัดหัวไปมา
กลับเป็นสวี่ซูหานที่พอได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็ดูเย็นชาขึ้นทันตาเห็น เธอรับปืนในมือหลิงม่อคืนมาโดยไม่พูดไม่จา
“เตรียมตัวนะ!” หลิงม่อหันกลับไปตะโกนใส่ดาดฟ้าตรงข้าม
หลี่ย่าหลินกับซย่าน่าหันหลังกลับไปก่อน สองสาวซอมบี้วิ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง ยังไม่ทันเห็นว่าพวกเธอตั้งใจกระโดดแต่อย่างใด แต่ชั่วพริบตาพวกเธอก็ทิ้งตัวลงบนพื้นข้างกายอย่างผ่อนคลาย พวกเธอเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะแค่กระโดดข้ามตึก แต่จากรายละเอียดก็เห็นถึงความแตกต่างของพลังแล้ว และมู่เฉินก็ต้องตะลึงค้างไปอีกรอบ สู้หลิงม่อไม่ได้ไม่เท่าไหร่ แต่นี่แม้แต่เด็กสาวที่อยู่กับเขามู่เฉินก็ยังสู้ไม่ได้
เขาไปได้สาวๆ พวกนี้มาจากไหนกันเนี่ย?!
ผู้หญิงที่มีพร้อมทั้งหน้าตา รูปร่าง และความสามารถอย่างนี้ อยู่ที่ไหนก็ถือว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม เกรงว่าทั่วทั้งนิพพานก็ยังคัดเลือกออกมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมหลิงม่อถึงมีอยู่ตั้งสามคนล่ะ…
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดมองสวี่ซูหานที่อยู่ข้างกายไม่ได้
พอมองตามสายตาของสวี่ซูหานไป ก็เห็นภาพที่หลิงม่อกำลังอ้าแขนรับซย่าน่าและหลี่ย่าหลินพอดี…
“ต้องอ้าแขนรับด้วยหรอ!” มู่เฉินกลอกตามองบน แล้วลอบบ่น
พอหลี่ย่าหลินและซย่าน่ากระโดดข้ามมา เย่เลี่ยนก็เดินออกมาจากประตูบานนั้นทันที
“โครม!”
ประตูเหล็กถูกกระแทกปลิวทันที ซอมบี้สิบกว่าตัววิ่งเบียดกันเข้ามาบนดาดฟ้า
ขณะเดียวกันก็ยังมีซอมบี้หลายตัวที่ไฟลุกท่วมร่างกำลังปีนป่ายขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ พวกมันคำรามและวิ่งตามเย่เลี่ยนมาติดๆ
“ฟึ่บ!”
ซอมบี้ตัวหนึ่งเพิ่งจะกระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกกระสุนยิงใส่ จนร่วงลงไปบนพื้นอย่างแรง
หลิงม่อหันไปมอง ก็เห็นสวี่ซูหานลั่นไกออกไปอย่างต่อเนื่อง
เหล่าซอมบี้ที่อยู่ค่อนข้างใกล้เย่เลี่ยนพากันทยอยล้มลงไปอย่างแปลกประหลาด และแทบทุกตัวก็มีรูกระสุนปรากฏอยู่บนศีรษะ
ทว่าสีหน้าของหลิงม่อกลับดูซีดขาวเล็กน้อย การต่อสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองเมื่อกี้ เผาผลาญพลังจิตของเขาไปมากจริงๆ
ซ้ำถูกสวี่ซูหานและมู่เฉินจ้องอยู่อย่างนี้ เขาจะดึงซอมบี้สาวมาจูบลึกซึ้งเนิ่นนานก็ไม่ได้…
“เร็วๆ!”
หลิงม่อขื่นแขนออกไป แล้วตะโกน
เย่เลี่ยนกลับวิ่งไปจนถึงขอบสุดของดาดฟ้า จากนั้นก็กระโดดลงไปข้างล่าง
“กรี๊ดด!”
สวี่ซูหานกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ทันที สู่เฉินเองก็ตกใจเช่นกัน
ถูกซอมบี้มากมายขนาดนั้นไล่ตาม ซ้ำยังมีซอมบี้ไฟท่วมร่างรวมอยู่ด้วย ผู้รอดชีวิตทั่วไปมีความเป็นไปได้มากที่จะตกใจจนกระโดดตึก
แต่เย่เลี่ยนจะเป็นอย่างนั้นหรอ…
ทว่าไม่นานพวกเขาก็พบว่า ตัวเองคิดมากไป
ซอมบี้ที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ พวกนั้นก็กระโดดตามลงไปด้วย
แต่ขณะเดียวกับที่ซอมบี้พวกนั้นร่วงดิ่งลงพื้น เย่เลี่ยนที่กำลังเกาะราวกั้นตรงขอบดาดฟ้ากลับกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง
และเพิ่งจะยืนมั่นคง เธอก็เขย่งเท้ากระโดดขึ้นกลางอากาศจากที่เดิม และมาถึงดาดฟ้าฝั่งนี้โดยไม่เปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย
“อย่ามัวแต่อึ้ง จัดการพวกมันก่อน!”
หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปจัดการซอมบี้ตัวหนึ่งที่กระโจนขึ้นกลางอากาศทันที ปากก็ตะโกนบอกเสียงดัง
พวกเขาอยู่ที่สูง แล้วยังมีระยะห่างอีกห้าเมตรเป็นตัวช่วย บวกกับหนวดสัมผัสของหลิงม่อและปืนอีกสองกระบอก ไม่นานซอมบี้สิบกว่าตัวบนดาดฟ้าตรงข้ามก็ถูกจัดการจนสิ้นซาก
ทว่าอีกไม่นานก็จะมีซอมบี้วิ่งขึ้นมามากกว่านี้ หลิงม่อมองเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่หัวลุกเป็นไฟวิ่งมาจนกถึงขอบดาดฟ้า
“วิ่งๆๆๆ!” หลิงม่อโจมตีซอมบี้ตัวนั้น จากนั้นก็พาทุกคนวิ่งไปยังอาคารอีกหลัง
โชคดีที่อาคารเหล่านี้ความสูงไม่แตกต่างกันนัก ขอเพียงไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาก็ยังคงสามารถหนีออกไปได้อย่างราบรื่น
………..
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ขณะที่ดอกไม้ไฟส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ด้านในตึกสูงใหญ่ตึกหนึ่งในเมืองตงหมิง ดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองไปยังประกายดอกไม้ไฟหลากสีสันเหล่านั้นผ่านบานกระจกหน้าต่าง
“ไม่คิดว่าเมืองตงหมิงของเรา จะยังมีคนเป็นคนอื่นอยู่ด้วย แถมวิธีการทักทายนี้ ช่างโดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ” เขาเขย่าแก้วเหล้าในมือไปมา แล้วพูดขึ้น
และบนโซฟาที่อยู่ข้างหลัง ก็มีใครอีกคนนั่งอยู่ คนคนนั้นก็กำลังจ้องออกไปด้านนอกหน้าค่าง พอประกายไฟสว่างวาบ รอบแผลเป็นบนใบหน้าของเขาก็ชัดเจนขึ้น
“หมายเลข 0 สัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ชายหน้าแผลเป็นกลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมา
“พักนี้ทำไมหมายเลข 0 ไม่ค่อยได้เรื่องเลย? อ้ายเฟิง คุณไม่ค่อยเต็มที่กับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่แห่งสาขาย่อยเลยนะ” คนคนนั้นยังคงยืนหันหลังให้อ้ายเฟิง พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาหรือดังเกินไป
สีหน้าของอ้ายเฟิงหงิกงอลงทันที “ใช่ คนที่ส่งออกไปก็หายตัวไป เรื่องที่หมายเลข 0 บาดเจ็บก็ยังจัดการไม่ได้ ตอนนี้ยังถูกคนอื่นมาหยามถึงที่อย่างนี้อีก…”
“คุณรู้ก็ดีแล้ว” คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ตอนแรกผมจะมาคุยเรื่องค่ายผสานความร่วมมือของมนุษย์กับคุณ แต่ว่าคุณจัดการปัญหาเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ใช่สิ” จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมา แล้วถามว่า “ในเมื่อหมายเลข 0 สัมผัสไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทำร้ายหมายเลข 0?”
“ก็แค่เสนอความเห็นน่ะนะ” เขาพูดไป แล้วก็ยกแก้วเหล้าชูไปทางมู่เฉิน จากนั้นก็ยกขึ้นกระดกรวดเดียวหมด “คุณควรขอพรให้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะถ้าหากเป็นคนคนเดียวกัน เรื่องนี้ก็คงจะจัดการได้ในครั้งเดียว”
แต่ขณะที่เขาวางแก้วเหล้าแล้วเดินผ่านอ้ายเฟิงไป คนคนนี้กลับชะงักฝีเท้าอีกครั้ง “ใช่สิ เผื่อเหตุฉุกเฉิน ผมเตรียมคนคนหนึ่งไว้ให้คุณ”
“นั่นมัน…” อ้ายเฟิงที่เงียบมาโดยตลอดพลันเบิกตากว้าง แล้วลุกพรวดขึ้นยืน
เขายังไม่ทันพูดอะไร คนคนนั้นก็ยื่นมือมาตบไหล่เขา “จากความหวังดี อย่าปฏิเสธกันเลย”
หลังจากที่เขาจ้องอ้ายเฟิง แล้วเห็นว่าอ้ายเฟิงไม่พูดอะไร จึงตบไหล่เขาอย่างพึงพอใจอีกครั้ง “ดีมาก”
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางประตู แล้วตะโกน “เฉินเล่อ! เข้ามา!”
แอ๊ด—
ขณะที่ยานประตูถูกเปิดออกช้าๆ อ้ายเฟิงก็หันสีหน้าที่ไม่ค่อยดีไปมอง
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว แต่ขณะที่เงาร่างของคนคนนั้นปรากฏตัวที่ประตู อ้ายเฟิงก็ยังคงรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง
ชายร่างสูงคนนั้น ที่สูงจนแทบจะเท่าขอบด้านบนของประตูอยู่กำลังยืนอยู่ในเงามืด ส่งแรงกดดันมาให้อ้ายเฟิงเงียบๆ
“พี่อ้ายเฟิงดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเจอผมทุกครั้งเลยนะ” เสียงหัวเราะคิกคักดังเข้ามาจากด้านนอก
ไม่นาน เงาร่างเล็กและเตี้ยเงาหนึ่งก็เดินออกมาจากเงาร่างสูงใหญ่นั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าอ้ายเฟิง
เขาคือเด็กหนุ่มที่ยังอายุไม่มาก ผมที่ถูกย้อมจนแดงไปทั้งหัวดูเหมือนเปลวเพลิงเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์
ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้ม สองมือสอดเข้าในกระเป๋ากางเกงวอร์ม ฟันของเขาขาวจนแทบจะสะท้อนแสงได้
“นายอีกแล้ว…” สายตาของอ้ายเฟิงกลับมองผ่านเด็กหนุ่มคนนี้ไป และยังคงจดจ้องไปยังเงาร่างที่ยืนอยู่หน้าประตู “มันต่างหาก…”
เมื่อดอกไม้ไฟอีกลูกทอแสง ท่ามกลางประกายไฟที่ไหววูบขึ้นมา อ้ายเฟิงมองเห็นดวงตาสีแดงอ่อนๆ คู่หนึ่ง…
—————————————————————————–