แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 676
บทที่ 676 ล้างสมอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งคนหนึ่งซอมบี้วิ่งไล่กันอยู่ท่ามกลางอาคารก่อสร้างอันอัด ทั้งสองวิ่งเร็วจนเกิดเสียงแหวกลมดัง “สวบ สวบ”
ระหว่างทางมีซอมบี้กระโจนออกมาไม่ขาดสาย แต่บางตัวก็จับหลิงม่อไม่อยู่ บางตัวก็ถูกซอมบี้นกที่วิ่งตามหลังมาจัดการอย่างง่ายดาย
เห็นมันโยนร่างซอมบี้เหล่านั้นออกไปอย่างง่ายดายเหมือนจับลูกไก่ทั้งที่อยู่ในระหว่างเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงอย่างนั้น หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ
“นึกว่าซอมบี้พวกนั้นจะถ่วงเวลามันได้บ้าง…”
หลิงม่อคิดอย่างผิดหวัง เขากำลังพยายามรักษาความเร็ว พร้อมกับคิดหาทางรับมือไปด้วย
“พรึ่บ!”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ข้างกายก็มีเงาสีดำโฉบเข้ามาด้วยความเร็ว หลิงม่อเหลือบมองด้วยหางตา แล้วก็ต้องตกตะลึง
เจ้าซอมบี้นกตัวนั้นตามมาทันตั้งแต่เมื่อไหร่!
ยิ่งไปกว่านั้น มันกำลังใช้มือและเท้าปีนป่ายไปตามผนังอย่างรวดเร็วราวกับตุ๊กแก
มี “ควันไอเสีย” พุ่งออกจากก้นของมัน ซึ่งนั่นคือเศษฝุ่นจากผิวผนังที่ถูกเล็บของมันขูดข่วน
เร็วจนฝุ่นตลบอบอวลไปหมด!
“เร็วกว่าวิ่งบนพื้นอีก!”
หลิงม่อใจหายวาบ เขารีบเบี่ยงตัว แล้วโหนตัวไปยังอีกฝั่งของถนนทันที
แต่ในขณะที่หลิงม่อคิดว่าจะสามารถทิ้งระยะห่างกับอีกฝ่ายได้เล็กน้อยนั้น เงาร่างของซอมบี้นกก็พลันปรากฏอยู่ในครรลองสายตา!
นี่มันอะไรกัน?!
เดี๋ยวก่อน…สายตาของหลิงม่อฉายแววตื่นตะลึง
ซอมบี้นกนั่น…เหมือนจะบินได้จริงๆ!
พอเห็นหลิงม่อโหนตัวข้ามถนน ซอมบี้นกที่กำลังปีนป่ายอยู่บนกำแพงก็กางแขนออก และพุ่งตัวลอยตามมาอย่างง่ายดาย อย่างกับติดเครื่องร่อนไว้บนตัว
ในขณะที่ใกล้จะพุ่งชนกำแพงด้านหน้า มันก็เอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วใช้มือและเท้าเกาะกำแพงไว้
ในเสี้ยววินาทีที่เกาะกำแพงได้ มันอาศัยแรงดีดพุ่งตัวไปข้างหน้า เพื่อรีบไล่ตามหลิงม่อไปติดๆ
และนั่นก็ทำให้มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าอยู่บนพื้นไม่น้อย…
“ไม่น่าล่ะ ถึงได้มีรูปร่างอย่างนั้น เพื่อที่จะบินร่อนได้อย่างนี้สินะ?”
หลังจากได้สติ หลิงม่อก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ทันที
ความจริง ในระหว่างที่กำลังถ่วงเวลานี้ หลิงม่อก็แอบสังเกตเจ้าซอมบี้นกดูอย่างละเอียดไปด้วย
มันเป็นซอมบี้ระดับสูงกว่าซอมบี้เจ้าเมืองตัวแรกที่หลิงม่อเคยเจอ และหลังจากที่ได้รู้จักกับมัน เขาก็ตัดสินใจว่าจะตั้งชื่อซอมบี้ระดับนี้ว่า : ซอมบี้ราชา
ถึงจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการตั้งชื่อ แต่ครั้งนี้หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองตั้งชื่อได้เหมาะสมมาก
ถึงแม้จะไม่ได้มีสติปัญญาที่โดดเด่น แต่ด้านพละกำลัง เจ้าซอมบี้นกถือว่าแกร่งมาก
ดูจากที่มันกลายร่างไปจนมีเยื่อบางใต้แขนนั่นแล้ว เห็นชัดว่ามันกำลังเข้าสู่ช่วงวัยเจริญเติบโตเต็มที่
หลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมัน ล้วนสามารถให้ข้อมูลอันล้ำค่ากับหลิงม่อไม่น้อย
ซักวัน พวกเย่เลี่ยนก็ต้องวิวัฒนาการมาจนถึงระดับนี้…
มีประสบการณ์ล่วงหน้า ก็ย่อมดีกว่าไปคลำทางเอามั่วๆ เมื่อถึงเวลา
ในความเป็นจริง หลิงม่อยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับซอมบี้ราชาอยู่อีกมากมาย…
ซอมบี้นกแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ได้แกร่งไปทุกด้าน
“…หรือที่กองทัพอากาศจัดเมืองชุ่ยเหอเป็นพื้นที่อันตราย เป็นเพราะที่นี่มีซอมบี้บินได้อยู่อย่างนั้นหรอ?”
หลิงม่อแอบนึกสงสัยอยู่ในใจ
“ฟิ้ว!”
เงาสีดำกลมๆ เงาหนึ่งพุ่งเข้ามา หลิงม่อเอียงคอหลบอย่างว่องไว และรับรู้ได้ถึงสายลมแรงที่พุ่งเฉียดลำคอไปทันที
“บึ้ม!”
วัตถุสีดำก้อนนั้นกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ปูนซีเมนต์และแผ่นกระเบื้องแตกกระจายไปทั่ว
“ถึงขั้นรู้จักใช้สิ่งของขว้างปาคนแล้ว…”
หลิงม่อเสียวสันหลังวาบ ในเวลาสิบนาทีนี้ เขาจะต้องคิดหาทางออกให้ได้…
………..
บนถนนสายหลัก เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ตรงกลางถนน
ซอมบี้ข้างทางกระโจนเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง
ซอมบี้บางตัววิ่งเข้ามาปะทะซึ่งหน้า แต่เงาร่างสีขาวนั้นกลับไม่หยุดชะงัก กระทั่งวิ่งเข้ามาจนเหลือระยะห่างจากอีกฝ่ายไม่ถึง 10 เมตร จึงค่อยดีดตัวขึ้นสูง แล้วกระโดดข้ามไปโดยใช้มือตบร่างซอมบี้เต็มแรง
“ฉึก!”
ท่ามกลางหยาดเลือดกระเซ็นมากมาย เงาร่างขาวทิ้งตัวลงพื้นอย่างงดงาม และออกวิ่งต่อทันทีที่เท้าแตะพื้น
และระหว่างที่มันกระโดดโลดโผน ก็เผยให้เห็นเงาร่างใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังของมัน ซึ่งดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
เย่เลี่ยนจัดทรงผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงให้เข้าที่ สายตาเหม่อลอยเล็กน้อยของเธอจ้องไปยังถนนด้านหน้า
เธอกระชับปืนเทพเจ้าสายฟ้าในมือแน่น แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นตบเสี่ยวป๋ายหนึ่งที “เสี่ยวป๋าย…หยุด”
แม้เสียงพูดของเย่เลี่ยนจะเบา และช้ามาก แต่กลับชัดเจนทุกถ้อยคำ
เสี่ยวป๋ายที่กำลังวิ่งแหวกลมชะงักเท้าทันที มันเปล่งเสียงคล้ายต้องการถามว่าเกิดอะไรขึ้น “แบ๊?”
เย่เลี่ยนกระโดดลงมายืนบนพื้น ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่เสี่ยวป๋าย “พาพวกเธอ…หนีไปก่อน”
พูดไป เธอก็ยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวป๋ายเบาๆ
เสี่ยวป๋ายที่ตอนแรกยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรพลันสะดุ้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาช้าๆ
“ไปซะ” เย่เลี่ยนตบหลังเสี่ยวป๋ายหนึ่งที
หมีแพนด้ากลายพันธุ์ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็หายลับไปท่ามกลางซากรถยนต์มากมายที่จอดทิ้งไว้บนถนน
เย่เลี่ยนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังถือปืนแน่น เธอหันหลังไปมองเส้นทางที่เพิ่งวิ่งมาโดยลำพัง
สายตาของเธอฉายแววขัดแย้งเล็กน้อย แต่ไม่นานเธอก็ส่ายหน้าเบาๆ
“อา…ใช่แล้ว” เย่เลี่ยนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “บอกว่าให้เรารีบไป…ตะ…แต่ว่าไม่ได้บอกว่าจะให้เรา…ไปทางไหนนี่”
หลังจากหาช่องโหว่จากคำสั่งทางกระแสจิตได้แล้ว เย่เลี่ยนก็กระดกยิ้มมุมปากเบาๆ
แต่เพิ่งจะยกยิ้มมุมปากได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็ต้องรีบยกมือตะครุบปากตัวเองทันที
“ทำ…แบบนี้ไม่ได้”
เธอส่ายหน้าไปมา แต่ไม่นานก็ย่นจมูกเบาๆ อีก “แต่ว่า…”
เวลานี้ ซากศพที่หลงเหลือจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และซากรถยนต์กองพะเนินนั่น รวมถึงถนนที่เต็มไปด้วยซอมบี้มากมาย กำลังอยู่ตรงหน้าเธอ
และในจุดที่เธอมองไม่เห็น เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งนั่น
เย่เลี่ยนสูดจมูกอีกครั้ง เธอนึกถึงกลิ่นเลือดสดๆ นั่น
สำหรับซอมบี้ ระดับความบริสุทธิ์ของเชื้อไวรัสที่ผสมอยู่ในนั้น ถือเป็นเหยื่อล่ออันเย้ายวนที่อันตรายถึงชีวิต
แต่สิ่งที่เย่เลี่ยนสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ สิ่งที่เธอสัมผัสได้ในตอนนี้ คือกลิ่นอายของมนุษย์ผู้นั้นต่างหาก
“กลิ่นเหมือน…เหมือนอาหารมากจริงๆ…”
เย่เลี่ยนสูดหายใจลึกอีกครั้ง กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นอายมนุษย์ที่เย้ายวนใจที่สุดสำหรับเธอ
น่าเสียดายที่ เธอกินไม่ได้…
“จะปล่อย…ให้ถูกกินไม่ได้ด้วย”
ทันใดนั้น สายตาของเย่เลี่ยนก็ฉายแววมุ่งมั่น เธอกระโดดขึ้นสูง ทิ้งตัวลงบนหลังคารถเบนซ์คันหนึ่งอย่างเบาเท้า
ปลายเท้าเพิ่งจะสัมผัสถูกหลังคารถ ร่างกายของเย่เลี่ยนก็ดีดขึ้นสูงอีกครั้ง และทิ้งตัวลงบนหลังคารถยนต์คันถัดไป
ในเวลาสั้นๆ เพียง 1-2 วินาที เย่เลี่ยนได้กระโดดข้ามหลังคารถไปมากกว่าหลายสิบคันแล้ว เธอกระโดดผาดโผนมุ่งหน้ากลับไปยังทางเดิมอย่างคล่องแคล่วว่องไว
……….
“ฉันจะตายอยู่แล้ว”
ในโรงแรม มู่เฉินยกขวดน้ำขึ้นกระดกอึกใหญ่ แล้วพูดขึ้น
“ฉันเริ่มจะเกลียดการพูดคุยแล้วสิ รู้สึกเหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันยังพูดไม่มากเท่าวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดเรื่องของผู้ชายอีกคนอย่างนี้ ทำร้ายศักดิ์ศรีกันเกินไปแล้ว!”
มู่เฉินบ่นกระปอดกระแปดอย่างอ่อนแรง พลางกรอกน้ำใส่ปากไปด้วย
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ด้านหน้าเขา สวี่ซูหานที่ดวงตาแดงก่ำกำลังหอยหายใจหนักหน่วง นิ้วมือของเธอจิกข่วนอยู่บนกำแพง และทิ้งร่องรอยมากมายไว้บนนั้น
ร่องรอยเหล่านั้นก่อให้เกิดฝุ่นคลุ้งอย่างต่อเนื่อง ทำเอามู่เฉินที่เห็นหนังศีรษะตึงชา
เหมือนเขาจะมองเห็นจุดจบของตัวเองอยู่รำไร…
“เดี๋ยวๆๆๆ! อย่างเพิ่งใจร้อน…ให้ฉันพักดื่มน้ำก่อน”
มู่เฉินหดตัวถอยหลังพร้อมทำหน้าเหมือนจะร่ำไห้ แล้วเขาก็พบว่าตัวเองถูกบีบให้จนมุมอีกครั้ง
“ได้ๆ ฉันจะพูด! จะพูดแล้ว!”
หลายชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เขาได้เล่าทุกสิ่งที่ตัวเองสามารถเล่าได้ไปรอบหนึ่งแล้ว
แต่เรื่องที่ทำให้สวี่ซูหานสงบลงมาได้จริงๆ กลับมีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับหลิงม่อเท่านั้น
มู่เฉินนึกฉุนเฉียวในใจ เขาเคยใส่ใจเรื่องของหลิงม่อเสียที่ไหน?!
แต่ในโรงแรมแห่งนี้มีเพียงเขาและสวี่ซูหานอยู่แค่สองคนเท่านั้น และท่าทีของสวี่ซูหานก็บ่งบอกอย่างชัดเจน
เลือกเอาถ้าไม่เล่า ก็ต้องตาย…
ชัดเจน มู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่น…
“จะว่าไปแล้ว ทำไมถึงได้เหลือทางเลือกแค่สองทางเท่านั้นล่ะ!”
มู่เฉินคลั่ง
พอเล่าต่อเนื่องมาหลายชั่วโมง เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะถูกคำว่า “หลิงม่อ” ล้างสมองเต็มทีแล้ว
และในความเป็นจริง เขาก็ได้ตีไข่ใส่สีลงในเรื่องเล่าพวกนี้ไม่น้อย
“ถึงยังไงสมองของเธอก็กำลังติดเชื้ออยู่ น่าจะฟังไม่ออกหรอกมั้ง?” มู่เฉินคิดในใจ
ผลปรากฏว่า เหมือนสวี่ซูหานจะไม่รู้จริงๆ ว่าเขาตีไข่ใส่สีลงในเรื่องเล่าเหล่านั้น
ขอแค่พูดเรื่องหลิงม่อ เธอก็จะนั่งพิงผนังเงียบๆ เหมือนกำลังตั้งใจฟังอย่างละเอียด
“ดูท่า เธอน่าจะติด “เชื้อไวรัสหลิงม่อ” มากกว่ามั้ง! ใช่ไหมล่ะ!” มู่เฉินอดกลั้นมาหลายครั้ง ในที่สุดก็โพล่งคำนี้ออกมา
ทว่าความจริง สมองของสวี่ซูหาน กลับกำลังคิดอีกอย่างซึ่งต่างจากที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง…
เธอกำลังคิดว่า คนที่จะสามารถทำให้ซอมบี้กลายเป็นเหมือนพวกเย่เลี่ยนได้ ตอนนี้ก็มีเพียงหลิงม่อคนเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าหากเธอรู้จักหลิงม่อดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าเธออาจสามารถลงมือทำเองได้!
“เล่า…ต่อไป” สวี่ซูหานเร่งด้วยเสียงพูดติดๆ ขัดๆ
มู่เฉินกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน “หลิงม่อ แกอยู่ไหนวะ!”
—————————————————————————–