แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 694
บทที่ 694 สมาชิกทีมที่หายไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่หลิง พี่ดูนี่”
หลายนาทีต่อมา พวกเย่เลี่ยนก็เดินมาหา เทียบกับสวี่ซูหานที่ไม่กล้าไปไหนตัวคนเดียว สามสาวซอมบี้แทบไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ดูจากที่พวกเธอเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าใหม่ทั้งตัว เดาว่าคงจะควานหากันทั่วทั้งชั้นมาแล้ว
หลิงม่อมองแวบแรกก็อึ้งไปเลย จากการแต่งตัวของพวกเธอ ดูไม่ออกเลยซักนิดว่าพวกเธอเป็นซอมบี้
มุมมองด้านความงามของซอมบี้ใกล้เคียงกับมนุษย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ทว่าพอเห็นซย่าน่ายืนปิดปากยิ้มอย่างได้ใจอยู่ข้างๆ หลิงม่อก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็ฝีมือยัยเด็กคนนี้เอง…
ในมือเธอถือเสื้อผ้าไว้อีกหนึ่งกระเป๋า หลิงม่อเหลือบมองผ่านๆ เดาว่าน่าจะเก็บไว้ให้อวี๋ซือหราน
ตอนนี้อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายกำลังพักผ่อนอยู่ไกลๆ พวกเธอซ่อนตัวได้ดีมาก จึงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ในเวลาอย่างนี้สาวๆ ซอมบี้ยังนึกถึงเธอได้ ทำให้หลิงม่ออดนึกไปไม่ได้ว่าพวกเธอฟื้นฟูสัญชาตญาณความเป็นคนกลับมาได้แล้ว
“ชุดนี้ใส่แล้วเหมือนสวมบทบาทเป็นตัวละครเลยล่ะ มีปีกสีใสสองข้าง แล้วก็ไม้กายสิทธิ์อีกหนึ่งด้าม…” ซย่าน่ากระซิบเบาๆ ข้างหูหลิงม่อ
หลิงม่อจินตนาการตามที่เธอบรรยายให้ฟัง แล้วถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นึกแล้วเชียวว่าที่เธอนึกถึงอวี๋ซือหรานขึ้นมาได้ เป็นเพราะอยากแกล้งแน่ๆ…
“พวกเธอแต่งตัวสวยกันขนาดนี้ โชคดีนะที่ระหว่างทางมีแต่ซอมบี้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะถูกรุมจ้องแน่ๆ” หลิงม่อพูดพร้อมหัวเราะ
ตัวซย่าน่านั้นยังคงใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนเหมือนเดิม เธอดูสดใสร่าเริงและเยาว์วัย ผมยาวสยายอยู่ด้านหลัง หากกอดหนังสือไว้เล่มหนึ่งก็กลายเป็นนางฟ้าประจำโรงเรียนได้เลย
ทว่าความเจ้าเล่ห์ในแววตาเธอ กลับทำให้บุคลิกและรูปลักษณ์ของเธอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เพราะอย่างนี้ ไม่เพียงไม่ได้ทำให้ดูขัดแย้ง แต่กลับยิ่งดึงดูดสายตามากกว่าเดิม
เย่เลี่ยนหน้าตาสระสวย บุคลิกของเธอคือความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในความบริสุทธิ์ บวกกับหุ่นที่ดีมากของเธอ ไม่ว่าใส่อะไรก็ดูดีมากทั้งนั้น คราวนี้ซย่าน่าเลือกเสื้อผ้าสีชมพูอ่อนให้เธอ ขับให้เธอดูเป็นสาวหวานขึ้นมาก ทำเอาหลิงม่อแทบจะละสายตาออกไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
เทียบกันแล้ว ในบรรดาสามคนนี้ คนที่แต่งตัวร้อนแรงที่สุดก็คือหลี่ย่าหลิน
เธอมีหุ่นนางแบบหน้าสวยขายาวอยู่แล้ว ไม่คิดว่าครั้งนี้เธอจะใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น
ด้านบนสวมเสื้อยืดสีดำดูเรียบง่ายตัวหนึ่ง แต่เมื่อเสื้อยืดธรรมดาอยู่บนตัวเธอ มันกลับสามารถขับทรวดทรงองค์เอวอันร้อนแรงของเธอให้โดดเด่นขึ้น
บวกกับเอวพลิ้วๆ และท่าเดินมีเสน่ห์ของเธอ ทั้งที่เป็นแค่เสื้อผ้าลำลองธรรมดาชุดหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่บนตัวเธอกลับสามารถทำให้คนจ้องจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้าได้
หลิงม่อไม่ได้พูดโอเวอร์จนเกินจริง หากย้อนไปสมัยก่อนเกิดภัยพิบัติ สาวงามสามคนที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันไปเดินอยู่ด้วยกันอย่างนี้ จะต้องเป็นที่สนใจอย่างล้นหลามแน่นอน
ส่วนหลิงม่อที่เดินอยู่ข้างๆ ก็คงไม่รู้จะต้องรับมือกับสายตาร้อนผ่าวที่รุมทึ้งเข้ามาอย่างไรดี
สวี่ซูหานยืนอยู่ข้างๆ ดูเธอสลดใจอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อก่อนเธอเองก็มั่นใจในรูปร่างและหน้าตาตัวเองไม่น้อย หลังเกิดภัยพิบัติก็มีความสามารถพิเศษถูกปลุกตื่นอีก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในกลุ่มนิพพานก็ถือเป็นสาวในฝันของผู้รอดชีวิตหลายคนเช่นกัน
เพราะมีความสามารถ และระดับสมาชิกก็สูง ดังนั้นถึงแม้จะมีคนฝันไกลเกินเอื้อมอยู่ไม่น้อย แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเข้ามาพูดคุยกับเธอ
ท่าทีของสวี่ซูหานเองก็ดูทะนงตัว เพราะถึงอย่างไรในยุคสมัยนี้ ความสามารถถือเป็นสิทธิ์ขาดในทุกสิ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่ายกว่าก่อนเกิดภัยพิบัติมาก
ผู้รอดชีวิตส่วนมากเองก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือมีชีวิตรอด ความเพ้อฝันเหล่านั้นละทิ้งได้ก็ละทิ้งเสีย
โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่ในสาขาย่อยเมืองตงหมิงซึ่งแทบไม่ต่างจากการโดนเนรเทศเลย ยิ่งต้องเพ้อฝันให้น้อยลง…
แต่ช่วงนี้ที่ได้อยู่กับพวกเย่เลี่ยน เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็ไม่เท่าไหร่
โดยเฉพาะความรู้สึกของหลิงม่อตอนที่มองพวกเธอ เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเวลาที่เขามองเธอ…
สวี่ซูหานรีบดึงสติกลับมา เธอพบว่าแก้มของตัวเองกำลังร้อนผ่าว
ทำไมต้องสนใจด้วยว่าหลิงม่อจะมองยังไง เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซักหน่อย…
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีซอมบี้สาวอยู่ข้างกายตั้ง 3 ตัว…ซักวันเขาต้องเหนื่อยตายแน่นอน!
สวี่ซูหานสะบัดเสียงร้อง “ชิ” เบาๆ แล้วกระแอมเรียกสติหลิงม่อให้ตื่นจากภวังค์สวนดอกไม้ “ไปได้แล้วมั้ง? ที่นี่มีแต่ร้านเสื้อผ้า ถ้าเป็นพวกร้านข้าวของเครื่องใช้ น่าจะต้องไปโซน B”
“อืม” หลิงม่อกลับไม่ได้รู้สึกเคอะเขินอะไร ก็เขามองแฟนตัวเองผิดตรงไหน…
ทว่าสายตาเหยียดๆ ของสวี่ซูหาน ก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกไปบ้าง
เขาเลื่อนสายตาออกไป แล้วมองไปรอบข้างหนึ่งรอบ “ทำไมมู่เฉินยังไม่กลับมา?”
“เอ๋ จริงด้วย เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ทำไมใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้านานอย่างนี้ล่ะ?” สวี่ซูหานเองก็เหมือนจะฉุกคิดได้ด้วย
ช่วยไม่ได้ ถึงมู่เฉินจะเป็นคนพูดมาก แต่…เมื่อกี้เธอไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย…
พวกเย่เลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเธอไม่มีทางสนใจอยู่แล้ว กลับเป็นหลิงม่อเสียอีกที่ถึงแม้จะมองพวกเย่เลี่ยนจนใจลอย แต่กลับสังเกตได้ถี่ถ้วน
พอเห็นหลิงม่อมองมาทางตัวเอง ซย่าน่าก็ส่ายหัวบอกว่า “พวกเราไม่เจอเขาเลยนะ เสื้อผ้าผู้ชายกับผู้หญิงไม่ได้อยู่โซนเดียวกันซักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไปตามหาเขา”
“พวกเราไปด้วยกันไหม?” สวี่ซูหานโพล่งถาม
หลิงม่อโบกมือไปมา “ช่างเถอะ มันมืด เธอเดินช้าเกินไป อีกอย่างคนเยอะเสียงดัง”
เขาลองนึกย้อนดูว่ามู่เฉินเดินออกไปทางไหน จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางนั้น
สวี่ซูหานใบหน้าร้อนฉ่า กลัวความมืดคือจุดอ่อนที่แย่ที่สุดของเธอ ถึงแม้จะสามารถข่มใจไม่ให้ร้องออกมาได้ แต่อาการกลัวจนไม่กล้าก้าวเท้านั้นเลี่ยงยาก จะให้เธอเอาชนะในเวลาสั้นๆ ก็ทำไม่ได้
พวกเย่เลี่ยนเป็นคนที่สามารถช่วยหลิงม่อได้ดีที่สุด แต่สวี่ซูหานรู้ดีว่าเป็นเพราะอาการของตัวเองยังไม่มั่นคง เขาจึงให้พวกเธออยู่เฝ้าตัวเอง
ถึงแม้การเป็นตัวภาระจะทำให้สวี่ซูหานรู้สึกละอายใจ แต่สิ่งที่เธอกังวลมากกว่ากลับเป็นการปล่อยให้หลิงม่อออกไปตามหาคนเดียว…
“ถ้าไง…ให้เย่เลี่ยนอยู่กับฉันคนเดียวก็พอ…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นหลิงม่อยกมือโบกไปมาโดยไม่หันมามอง จากนั้นก็หายลับเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องเป็นห่วง พี่หลิงคิดว่าพวกเราอยู่ด้วยกันจะปลอดภัยกว่า หากแยกย้ายกันหมดจะไม่ดี เขาไปคนเดียวหากมีเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็สามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยทันที” ซย่าน่าเดินไปหาสวี่ซูหาน แล้วบอกเสียงเบา
“อย่างนี้เองหรอ…” สวี่ซูหานใบหน้าร้อนฉ่าอีกครั้ง ที่แท้เป็นตัวเธอเองที่คิดไม่รอบคอบ
สวี่ซูหานหันไปมอง “รุ่นพี่ซอมบี้” สามตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก ทันใดนั้นเชื้อไวรัสในเลือดของเธอก็แสดงฤทธิ์เดชขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ทำให้สวี่ซูหานรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเธอสามคน
“ใช่แล้ว เธอขี้ขลาดไม่ใช่หรอ? มา ฉันจะสอนอะไรเธออย่างหนึ่ง รับรองแก้ไขข้อเสียนี้ได้อย่างสมบูรณ์เลยล่ะ” หลังยืนเงียบกันไปหลายวินาที จู่ๆ ซย่าน่าก็พูดขึ้นมาอย่างมีลับลมคมใน
“วิธีอะไร?” สวี่ซูหานสงสัย
“หลังจากที่เธอกลายร่างสมบูรณ์แบบแล้ว ให้เธอไปที่ไหนก็ได้ที่หนึ่ง จัดการเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่นั้นให้สิ้นซาก ด้วยมือเปล่านะ จากนั้นเธอก็จะเริ่มมีนิสัยเคยชิน…มันจะดิ้นได้หรือไม่ก็ช่างมัน ฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนี่?” ซย่าน่าขยิบตาให้เธอ
สวี่ซูหานหน้าซีดเผือดทันที วิธีอะไรช่างโหดร้ายอย่างนี้…
“พอถึงตอนนั้นไม่ว่าอะไรที่เล็ดลอดเข้ามาในสายตาเธอ ล้วนกลายเป็นเหยื่อ เธอเคยรู้สึกกลัวไก่งวงที่ถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะไหมล่ะ? มีแต่จะน้ำลายไหลมากกว่าล่ะสิ…” พูดถึงตรงนี้ ซย่าน่ายังแลบลิ้นออกมา แล้วเลียริมฝีปากเบาๆ เสริมด้วย
สวี่ซูหานได้ยินแล้วขนลุกขนพอง ตอนนี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอไม่ใช่ไก่งวง แต่เป็นภาพเหตุการณ์นองเลือดน่าสยดสยองต่างหาก…
“อุบ…” สวี่ซูหานยกมือปิดปาก ทำท่าจะอาเจียนออกมา
“ตกใจซะแล้ว…” หลี่ย่าหลินหัวเราะเบาๆ
สีหน้าของซย่าน่าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เธอขยับเข้าไปพูดเบาๆ ข้างหูสวี่ซูหาน “ถ้าเธออยากรักษาความคิดในตอนนี้ไว้ ก็ต้องอดทนแบกรับไว้อย่างนี้ แน่นอนว่ายังไม่อาจรับประกันได้ว่าพอถึงตอนนั้นเธอจะรักษาสัญชาตญาณความเป็นคนไว้ได้ไหม…ความเป็นไปได้น่าจะต่ำมาก”
สวี่ซูหานเงยหน้าซีดๆ ของตัวเองมองซย่าน่า แล้วหันไปมองหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนที่สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยน
จู่ๆ เธอก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมซอมบี้ถึงได้สูญเสียความเป็นคนไปจนหมด…
ระหว่างสัญชาตญาณของมนุษย์และซอมบี้ มีความขัดแย้งที่แตกต่างกันเกินไป…
ในระยะแรกที่ซอมบี้ติดเชื้อ เป็นเพราะความขัดแย้งที่รุนแรง และความคิดที่สับสนวุ่นวายนี้หรือเปล่า ที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการไตร่ตรองไปอย่างนั้น?
เมื่อเริ่มวิวัฒนาการ ผลกระทบจากสัญชาตญาณเริ่มมีผลกับซอมบี้มากขึ้น ความเป็นมนุษย์ถูกกดข่มลงไปทีละนิดๆ แต่ในขณะเดียวกัน ซอมบี้ก็เริ่มฟื้นฟูสติรู้คิดกลับมาอย่างช้าๆ ด้วยเช่นกัน…
ทว่าหากเป็นอย่างนี้ ยิ่งวิวัฒนาการ ก็ยิ่งฟื้นความเป็นคนกลับมาได้ยากไม่ใช่หรือ?
แต่ในตอนที่เป็นซอมบี้ระดับต่ำ แม้แต่สติรู้คิดยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสัญชาตญาณมนุษย์เลย…
สวี่ซูหานคิดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าหากเธอรู้ว่าเป้าหมายของหลิงม่อคือทำให้พวกเย่เลี่ยนมีสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ คงจะต้องรู้สึกว่ามันยากมากอย่างแน่นอน
เป้าหมายที่ยากเย็นอย่างนี้ ยากเกินไปที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงได้…
แน่นอนว่าหลิงม่อไม่มีทางออกตามหาตัวคนเดียวในห้างฯ ที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ในเมื่อซอมบี้ตัวเล็กหาอะไรไม่เจอเลย เขาจึงสั่งให้มันขึ้นมา แล้วเริ่มตามหาจากอีกฝั่งของร้านเสื้อผ้าผู้ชาย
ประสาทรับกลิ่นของซอมบี้ตัวเล็ก บวกกับพลังจิตสำรวจของหลิงม่อ เมื่อรวมพลังกันตามหาจึงเร็วขึ้นมาก
ทว่าหลิงม่อยังนึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ถึงแม้ในหลายๆ เรื่องมู่เฉินจะไม่ใช่คนที่พึ่งพาได้นัก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมามาก ทำอะไรก็ระมัดระวังอยู่เสมอ
ซอมบี้ในชั้นนี้ถูกกำจัดหมดแล้ว เขาถึงได้ปล่อยใจกล้าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ทำไมถึงได้หายไปนานขนาดนี้ล่ะ?
ตามการคาดเดาของหลิงม่อตอนแรก มู่เฉินน่าจะเป็นคนแรกที่กลับมารวมตัวกับเขา…
เจ้าหมอนี่ปากว่างไม่ได้ เขาจะเดินเตร็ดเตร่คนเดียวได้นานแค่ไหนกันเชียว?
“น่าแปลก…”
หลิงม่อเดินหารอบๆ ช็อปเสื้อผ้าเหล่านั้นหนึ่งรอบแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของมู่เฉิน
ซอมบี้ตัวเล็กเพิ่งจะขึ้นมาถึง ซึ่งหมายความว่ามู่เฉินไม่ได้ลงไปข้างล่างแน่นอน
ซอมบี้ตัวเล็กเดินไปด้วยสูดดมกลิ่นไปด้วย แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอายของคนเลย กลิ่นคาวเลือดนั้นก็มีอยู่ แต่ดมดูแล้วก็ไม่ใช่กลิ่นเลือดสดใหม่
“ตะโกนเรียกก็ไม่ได้อีก…”
หลิงม่อรู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย
หากผู้มีความสามารถพิเศษจงใจซ่อนตัว พลังสำรวจทางจิตอาจพลาดได้ ทว่าด้วยระดับความแกร่งของพลังจิตของหลิงม่อ ความเป็นไปได้ที่จะซ่อนตัวสำเร็จน่าจะไม่สูงมาก
อีกอย่าง เขาจะซ่อนตัวไปทำไม?
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่น่าเป็นไปได้นี่…”
หลิงม่อยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง สมาธิของเขาเริ่มแตกซ่าน
ไม่อยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าไปจากที่นี่แล้ว?
ที่นี่มีประตูหลัก แต่อยู่ในสภาพกึ่งปิด อาจเป็นประตูที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ซอมบี้ตามเข้ามาในตอนที่ภัยพิบัติเพิ่งเกิด
แต่พอเห็นรอยเลือดจำนวนมากตอนที่เดินผ่านเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าทำไม่สำเร็จแน่ๆ
ข้างนอกนั่นมีแต่ซอมบี้ มู่เฉินไม่น่าจะวิ่งออกไปรนหาที่ตาย
ที่เหลือ ก็มีแค่ทางเดินซึ่งทอดลงด้านล่าง และทางเดินไปยังโซน B
หรือไม่ก็ ทางเดินที่พวกเขาใช้ตอนที่เพิ่งเข้ามาตอนแรก…
—————————————————————————–