แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 702
บทที่ 702 เครื่องซุ่มสังหารในห้องน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลึกลับจริงๆ นี่ถ้าเราไม่มีหุ่นซอมบี้ ก็คงจะไม่รู้เหมือนกัน…แต่มีเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก…”
หลิงม่อจ้องศพอย่างสงสัย “ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นใครก็ตาม…แต่การเผาศพทำลายหลักฐานก็เป็นความรู้พื้นฐานไม่ใช่หรอ!”
ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดที่แนบเนียนแค่ไหนแต่ก็มีโอกาสผิดพลาดได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นการจัดการ “ระเบิด” ลูกนี้ไปพร้อมกันเลย เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็น่าจะคิดได้นี่นา!
แต่ว่า…เหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่า “ฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”…
เพราะถ้าหากหวังจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าพวกเขา ตอนนี้คงจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอจังหวะแล้ว
ถึงแม้การลงมามีส่วนร่วมด้วยตัวเองจะอันตรายมาก เพราะแม้แต่มู่เฉินก็ยังระมัดระวังตัวมาก…
…แต่ถ้าไม่เสี่ยงเข้าร่วมด้วยแล้วจะทำสำเร็จได้อย่าไร? ถึงแม้ผู้รอดชีวิตทุกคนต่างรักตัวกลัวตาย แต่ถ้าหากฮึดสู้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็กล้าได้กล้าเสียเหมือนกัน
แค่พายแห้งหนึ่งห่อยังสู้ตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ที่มากกว่าเลย…
“หรือจะเป็น…การทดสอบ?” หลิงม่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทันที
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้…คนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้น สามารถซ่อนตัวสังเกตการพวกเขาจากที่ปลอดภัยได้…
โชคดีที่หลิงม่อเป็นผู้มีพลังจิต ดังนั้นถึงแม้จะลอบสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกก็ไม่เห็นเงาหลิงม่ออยู่ดี
ถึงจะเป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน ก็ไม่แน่ว่าจะรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการต่อสู้แบบไหน
นอกจากนี้ ตั้งแต่ที่เจอศพซอมบี้ตัวนี้ หลิงม่อก็ไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือของผู้มีความสามารถพิเศษอีกแล้ว…
เพราะทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังจิตเลย!
ในทางกลับกันเขาสามารถมั่นใจได้ว่า อีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการตรวจสอบลักษณะคลื่นของพลังงานทางจิตแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นคงสังเกตเห็นไปนานแล้วว่าหุ่นซอมบี้ไม่ปกติ…
อีกฝ่ายกำลังทดสอบหลิงม่อ แต่หลิงม่อกลับได้รู้อะไรไม่น้อยเหมือนกัน
“แม้แต่เบาะแสที่สำคัญที่สุดก็ไม่ทำลายทิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามั่นใจในตัวเองเกินไป ก็เป็นเพราะคิดว่าถึงแม้คนอื่นจะเจอ ก็ไม่มีทางรู้ว่ามันคืออะไร ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลยแบบนี้…ก็จริง มีความสามารถที่แปลกประหลาดอย่างนี้ ก็ไม่แปลกที่จะหลงตัวเองจนหูตามืดบอด”
หลิงม่อมองเศษผ้าในมือหุ่นซอมบี้ แล้วยิ้มเย็นชา
เขาใช้ประโยชน์จากการที่หุ่นซอมบี้ไม่ได้รับผลกระทบ ควบคุมให้มันดมกลิ่นที่ติดมากับเศษผ้าอย่างละเอียด
ในของเหลวนี้มีเลือดของซอมบี้ปนอยู่แน่นอน แต่ไม่รู้เพราะอะไร กลิ่นของเชื้อไวรัสกลับไม่ค่อยเข้มข้นนัก
“ไม่…ไม่ใช่ไม่เข้มข้น แต่เป็นเพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้มีกลิ่นที่แตกต่างจากซอมบี้ตัวอื่น” หลิงม่อขมวดคิ้ว กลิ่นของส่วนผสมอื่นในของเหลวนี้ไม่เหมือนกลิ่นของยา กลับกัน มันเหมือนกลิ่นของสิ่งที่ถูกขับออกมาจากร่างกายซอมบี้มากกว่า
ซอมบี้จมูกไว หากมีองค์ประกอบทางเคมี พวกมันจะแยกแยะออกได้อย่างรวดเร็ว
“แต่ซอมบี้อะไรกันที่สร้างของเหลวอย่างนี้ขึ้นมาได้? อีกอย่างถ้ามีซอมบี้อย่างนี้อยู่จริงๆ การจะดูดของเหลวจากตัวมันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเปล่า…”
หลิงม่อหันไปมองศพซอมบี้อีกครั้ง ศพที่เห็นตรงหน้านี้เป็นเพียงภาชนะ แต่บนร่างกายของมันกลับไร้ซึ่งกลิ่นอายมนุษย์คนอื่น
ใครพามันเข้ามาในนี้กันแน่…
บนพื้นมีฝุ่นเคลือบไว้หนึ่งชั้น ทว่านอกจากรอยเท้าของหุ่นซอมบี้แล้ว ที่เหลือก็เป็นรอยเท้าขนาดเดียวกันหมด
และเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ก็พบว่าขนาดเท่ากับเท้าของศพซอมบี้ตัวนี้พอดี
“มันเดินเข้ามาเอง?” ถึงแม้ผลสรุปนี้จะน่าตกใจ แต่หลิงม่อกลับอึ้งไปเพียงชั่วขณะ และดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
ก็เหมือนกับเวลาที่คนอื่นไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขามีสายสัมพันธ์กับซอมบี้ ทุกการคาเดาที่ฟังดูไร้สาระและบ้าบอ สุดท้ายแล้วอาจเป็นคำตอบที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้
ทุกสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ บางทีอาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้…
ทว่าแค่การคาดเดายังไม่อาจถือว่าเป็นผลสรุปได้ หลิงม่อจดจำรายละเอียดเหล่านี้ไว้เงียบๆ จากนั้นก็ควบคุมใหุ่นซอมบี้ให้ยัดเศษผ้าใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมา
พอได้ยินเสียงเฮยซือยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่กับกำแพง และเดินคลำหาทางออกวนไปวนมาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างจริงจัง หลิงม่อก็นึกขำขึ้นมา
นี่ไม่ใช่สติปัญญาที่สัตว์กลายพันธุ์ควรจะมีอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนี้จะละทิ้งการวิวัฒนาการด้านร่างกาย แล้วหันมาเอาดีด้านพัฒนาสมองแทนแล้วสินะ
อัพเกรดคราวนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนที่วิวัฒนาการมากที่สุดคือดวงจิต
หากใช้เวลาอีกหน่อย เฮยซืออาจกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ ก็ได้
นี่ยังเป็นเพียงการประมาณการที่ต่ำที่สุดของหลิงม่อ…
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งที่เป็นร่างของอวี๋ซือหรานยืนอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ แต่ด้านในกลับเป็นอีกหนึ่งดวงจิตหนึ่ง อย่างไรเขาก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี…
หลิงม่อกระทั่งอดคิดไม่ได้ วิวัฒนาการของซอมบี้ไม่เท่าไหร่ แต่ทิศทางในการวิวัฒนาการประหลาดๆ ของสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้น่ะสิ ไม่รู้อีกหน่อยจะมีตัวน่ากลัวอะไรเกิดขึ้นบ้าง…
หลังจากที่หุ่นซอมบี้เดินออกมา มันปิดประตูห้องน้ำดัง “ปัง” ทันที
ทันทีที่กลิ่นถูกปิดกั้น เฮยซือร้อง “เอ๋” แล้วกวาดมองรอบกายอย่างงุนงง
เดาว่าภาพลวงตาที่เธอเห็น คงกำลังค่อยๆ เลือนหายไป…
“เสียเวลาอยู่ตั้งหลายนาที ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ต้องทำก็มีแค่ต้องปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น…ไม่น่าล่ะเขาถึงได้บอกว่าให้ปิดประตูทุกครั้งที่เข้าออก เพราะห้องน้ำตอนนี้มัน “เหม็น” มากจริงๆ…”
นี่แหละที่เขาเรียกว่าอันตรายรอบทิศ!
ก่อนหน้านี้หลิงม่อคิดว่าในห้องน้ำแค่มีซอมบี้ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดภาพหลอนได้ด้วย…
แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นภาพลวงตา สู้บอกว่าพวกเขาสูดกลิ่นเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไป จึงทำให้ได้รับผลกระทบจะเหมาะสมกว่า
หลักการของมันคล้ายกับสิ่งเสพติด แต่มันส่งผลร้ายแรงกว่าสิ่งเสพติดมาก
หลิงม่อรอไม่ถึง 1 นาที ไม่นานเฮยซือก็มองเห็นทุกสิ่งชัดเจน
ร่างกายเธอกระตุกสั่น จากนั้นสายตาก็เริ่มจับจุดโฟกัสช้าๆ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อคาดไม่ถึงคือ ทันทีที่เธอได้สติ คลื่นดวงจิตของเธอกลับรุนแรงขึ้นในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันดวงตาก็ฉายแววคลุ้มคลั่งเหมือนกับที่หุ่นซอมบี้เป็น
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสูง ดังนั้นเพียงชั่วครู่เธอก็สงบลง แล้วมองมาทางหุ่นซอมบี้อย่างสงสัย
อวี๋ซือหรานนั้นไม่มีความรู้สึกที่คุ้นเคยกับหุ่นซอมบี้ แต่เฮยซือต่างออกไป
เธอไม่รู้หรอกว่าหุ่นซอมบี้ตัวนี้ถูกหลิงม่อควบคุมไว้ แต่รู้ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลิงม่อแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงต้องระงับความคิดที่อยากจะจัดการหุ่นซอมบี้ทิ้งอย่างเงียบๆ แล้วหันมาพิจารณามันอย่างสงสัยแทน…
ขณะเดียวกันหลิงม่อเกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าสาเหตุที่หุ่นซอมบี้ได้รับผลข้างเคียงจะไม่ได้เกิดจากการที่ถูกตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิต แต่เกิดจากที่มันได้หลุดพ้นจากโลกแห่งภาพลวงตา…
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกไม่สบายใจนั้นได้เพิ่มขึ้น พร้อมกับที่เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ดังมาจากข้างหลังหลิงม่อ
ถึงจะได้ยินไม่ชัด แต่หลิงม่อก็ยังหันกลับไปมองประตูห้องบันไดอย่างระแวดระวังทันที
มีเสียงเกิดขึ้นจริงๆ…
หรือว่าในห้างฯ จะเกิดเรื่องแล้ว!
“ตื่นๆ!”
หลิงม่อกระชากมู่เฉินขึ้นมา แล้วเขย่าตัวเขาแรงๆ
หลิงม่อควบคุมแรงในการเหวี่ยงมีดพกได้พอดี เมื่อกี้เขาเพียงทำให้มู่เฉินสลบไปเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็เขาถูกกระแทกอย่างแรง ดังนั้นในเวลาสั้นๆ คงจะหลีกเลี่ยงอาการหน้ามืดตาลายได้ยาก…
มู่เฉินถูกเขย่าแรงๆ 2 – 3 ครั้ง จนในที่สุดก็ลืมตาช้าอย่างมึนงง แต่ทันทีที่อ้าปากเขาก็ร้อง “หัวฉัน…”
“ใครสนหัวของนายกันเล่า!”
พอหลิงม่อเห็นเขาฟื้น ก็ปล่อยมือออกจากตัวเขา พร้อมรีบถ่ายทอดคำสั่งผ่านทางกระแสจิตทันที
ส่วนตัวเขานั้นรีบวิ่งด้วยความเร็วพุ่งไปทางประตู ระหว่างนั้นเขาได้สับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปยังเย่เลี่ยน
ทันทีที่สื่อสารกับพวกเย่เลี่ยน การเผาผลาญพลังจิตของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว…
เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าตอนนี้ในตัวห้างฯ ที่อยู่ด้านหลังประตู มีดวงแสงแห่งจิตอยู่มากมาย และดวงแสงแห่งจิตเหล่านั้นก็กำลังอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง…
เมื่อกี้ตอนที่มองเห็นภาพลวงตา การรับรู้ทั้งหมดของเขาได้ถูกปิดกั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
และตอนนี้พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเหล่านี้ เขาจึงเพิ่งตระหนักขึ้นได้
เป้าหมายของอีกฝ่าย คือทดสอบ…และถ่วงเวลา!
ไม่คิดเลยว่าในไม่กี่นาทีที่ผ่านไปนี้ สถานการณ์ในห้างกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง
คลื่นดวงจิตที่รุนแรงจำนวนมากขนาดนี้ บ่งบอกถึงเรื่องจริงที่น่าสะพรึงกลัว
เหล่าซอมบี้…กำลังคลั่ง!
หลิงม่อไม่ได้วู่วามกระโขนเข้าไปในตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนต่างก็เป็นซอมบี้ระดับสูง สวี่ซูหานเองก็ถือว่าเป็นไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่หลิงม่อนั้นต่างกัน ดูจากแรงดึงดูดที่ตัวเขามีต่อซอมบี้ หากตอนนี้เขาเดินเข้าไป ก็ไม่ต่างจากการบีบแตรเพื่อประกาศว่า “มนุษย์อยู่ตรงนี้ ใครอยากกินเชิญเข้ามา” เลยแม้แต่น้อย
เสียงวุ่นวายดังแว่วมาจากในตัวห้างฯ อย่างต่อเนื่อง พอแง้มประตูออก กลิ่นคาวเลือดก็ลอยโชยเข้ามาทันที
เสี้ยววินาทีที่สับเปลี่ยนมุมมองสายตา ภาพแรกที่หลิงม่อมองเห็นคือซอมบี้ตัวหนึ่งถูกฟันหัวขาด หัวของมันกระเด็นออกไปท่ามกลางเลือดที่กระฉูดกลางอากาศ แต่มือของซอมบี้ตัวนั้นกลับยังคงไล่ตะปบอย่างบ้าคลั่ง
แต่เย่เลี่ยนหลบเลี่ยงได้ทัน พร้อมยกเท้าถีบซอมบี้อีกตัวที่พุ่งเข้ามาอย่างว่องไว
ภาพที่เห็น เต็มไปด้วยเลือด!
—————————————————————————–