แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 767
บทที่ 767 จับ “จิ้งจอกตาขาว” มาได้ตัวหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงปืน “ตึงๆๆๆ” ยังคงดังรัวอยู่ในโซนพื้นที่นี้ แต่เมื่อออกจากลานกว้างที่อยู่ด้านหน้านิพพานสำนักงานใหญ่ไป รอบข้างกลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
ต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังพัดไหวไปตามสายลม ถนนหนทางที่วังเวงไร้ซึ่งคนเดิน…พื้นที่ด้านอกและในตาข่ายรั้วเหล็ก ราวกับเป็นโลกคนละใบ
หากยืนฟังเสียงกระสุนจากด้านนอก อาจรู้สึกเหมือนเสียงปืนไม่สมจริงด้วยซ้ำ
“อา…”
ชายแว่นดำครวญครางเจ็บปวด พลางเดินไปตามแรงลากของหลิงม่ออย่างทุลักทุเล
ลูกเตะของหลิงม่อทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปแทบจะทั้งหมด และทำให้สีหน้าที่เขามีต่อหลิงม่อเจ็บแค้นยิ่งกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้เขายังทำท่าราวกับกำชัยชนะไว้ในมือ วินาทีถัดมาเขากลับกลายเป็นนักโทษเชลยของหลิงม่อ…
แถมท่าทีที่คนคนนี้ปฏิบัติกับเชลย ก็ไม่ได้ดีเลยแม้แต่น้อย!
ถึงแม้จะมีเลนส์แว่นสีดำกั้นขวางอยู่ แต่หลิงม่อผู้ซึ่งมีพลังจิตแก่กล้า กลับสัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตัวเองอยู่
“ดูเหมือนแกจะโกรธมากเลยสินะ” น้ำเสียงของหลิงม่อแฝงไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “วางใจเถอะ ไตไม่พังง่ายๆ หรอก”
“…”
ระหว่างที่มองดูชายถือท่อนเหล็กเดินเข้ามาติดกับดักต่อหน้าต่อตา ชายแว่นดำก็เริ่มจะเข้าใจสไตล์การพูดของหลิงม่อขึ้นมาบ้างแล้ว
“เขากำลังจงใจยั่วโมโหฉัน ทำให้ฉันสูญเสียสติสัมปชัญญะ จากนั้นก็ขุดหลุมวางกับดักให้ฉันกระโดดเข้าไปอีกครั้ง…” ชายแว่นดำเตือนสติตัวเอง
พอเห็นชายแว่นดำไม่พูดจา หลิงม่อก็ยกมือขึ้นลูบจมูก แล้วทันใดนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้น “แต่ฉันมีวิธีทำให้แกตับพังนะ หรือกระทั่ง…ทำให้หอคอยบาบิโลนล่มสลายก็ไม่ใช่เรื่องยาก…”
“หมายความ…ว่าไง?” ชายแว่นดำกัดฟันถาม
สายตาหลิงม่อเหลือบมองต่ำ จากนั้นก็ยิ้มชั่วร้าย “แกจะเข้าใจว่ามันเป็นการระเบิดแบบแหลกละเอียดของอวัยวะบางส่วนก็ได้นะ”
ชายแว่นดำชะงัก จากนั้นก็ด่าอย่างโกรธแค้น “แก…แกอย่าหลงคิดว่า…แค่นี้ถือว่าชนะแล้ว…”
“เอ๋? ไม่กลัวหรอ? ไม่น่าเป็นไปได้นี่นา…”
หลิงม่อชะงัก แล้วหันไปมองหน้าชายแว่นดำ
ชายแว่นดำยังคงด่ากราดอย่างเหิมเกริม “ถึงแกจะหนีออกมาได้สำเร็จ แต่จะหนีไปได้อีกนานแค่ไหนเชียว? นิพพานมีผู้มีความสามารถพิเศษตั้งมากมาย แกน่าจะรู้ดีนี่…”
เขาคาดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะพยักหน้าตอบจริงๆ แล้วยังยกมือขึ้นตบกระเป๋าเป้ตัวเองเบาๆ “ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พอดียังไม่ได้อ่านแบบฟอร์มพวกนั้นน่ะ”
“แบบฟอร์มอะไร…”
“แบบฟอร์มลงทะเบียนไง”
สีหน้าของชายแว่นดำถอดสีครั้งใหญ่ เจ้าหมอนี้แม้แต่แบบฟอร์มลงทะเบียนของพวกเขาก็ยังขโมยมาด้วย!
แถมเขายังทำหน้าตาเหมือนของมันแน่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองมาด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนโง่อีกต่างหาก!
“สันดานโจร…” ชายแว่นดำด่าทอ
“เอาน่า ฉันก็แค่ทำไปเพื่อจะได้รู้เขารู้เราไง มันเป็นกลยุทธ์น่ะ เข้าใจไหม?” หลิงม่อพูด แล้วจู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นมาและโบกมือกลางอากาศ
ชายแว่นดำรู้สึกมึนเบลอไปชั่วขณะ วินาทีถัดมาแว่นดำของเขาก็หล่นลงไปอยู่บนพื้น
เขาจ้องหลิงม่ออย่างตกตะลึง แล้วก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองถูก “จับ” ในตอนนั้น
“ควบคุมสิ่งของ? ไม่สิ…ถึงแม้จะสามารถควบคุมสิ่งของกายภาพได้ แต่จะควบคุมคนเป็นๆ ทั้งคนได้อย่างไรกัน?” ชายแว่นดำครุ่นคิดในใจ
พลังจิตควบคุม ความจริงแล้วมันเป็นการใช้พลังจิตกับสิ่งของ โดยการส่งผลกระทบต่อวิถีเคลื่อนไหวของมัน หรือกระทั่งทำให้มันเคลื่อนไหวได้โดยใช้พลังงานกลุ่มนี้
แต่สิ่งของทางกายภาพที่สามารถควบคุมโดยทั่วไป ก็มีเพียงมีดเล็กๆ กุญแจ หรือของประเภทที่ขนาดไม่ใหญ่ และน้ำหนักเบามาก
แต่ชายวัยผู้ใหญ่อย่างชายแว่นดำ แค่น้ำหนักก็ปาไป 60 – 70 กิโลกรัมแล้ว ต้องมีพลังจิตที่แกร่งขนาดไหนถึงจะสามารถบังคับควบคุมเขาได้?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสิ่งที่เขารู้สึกได้ คือมีเชือกเส้นหนึ่ง…
“เป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นพิเศษหรือเปล่านะ?” ชายแว่นดำคาดเดาในใจ
น่าเสียดายที่จากมุมมองของเขา ไม่สามารถมองเห็นด้านตรงของหลิงม่อได้ครบ จึงยิ่งไม่ต้องพูดว่าเขาจะสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวหลิงม่อ
ขณะที่เขากำลังจับจ้องหลิงม่อ หลิงม่อก็กำลังจับจ้องเขาอยู่เหมือนกัน
แต่สีหน้าของหลิงม่อนั้นสงบนิ่งกว่ามาก เพียงแต่พอจ้องอยู่ไม่นานจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ต้อกระจกตาของแกผ่านการกลายพันธุ์มาหรอ? หรือว่าแกไม่อยากมองหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างฉัน ถึงได้จงใจเหลือกตาขาวอย่างนี้? แต่มันก็จริงนะ เพราะมีสารรูปอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าล่ะถึงต้องใส่แว่นดำน่ะ ฉันก็นึกว่าแกแค่ทำเป็นเข้มซะอีก”
ความคิดของชายแว่นดำถูกกระชากกลับมาทันที เพราะตอนนี้เขาโกรธจนควันลอยกรุ่นรอบตัวแล้ว
ต้อกระจกตากลายพันธุ์…จงใจเหลือกตาขาว…สารรูปแบบนี้…โดยเฉพาะคำที่บอกว่า “คนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างฉัน” ยิ่งทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของชายแว่นดำไฟลุกท่วมทันที
ชายถือท่อนเหล็กพูดถูก หมอนี่รนหาที่ตายเกินไปแล้ว!
“นี่เป็นแผนร้าย…ฉันต้องอดทน…” ชายแว่นดำสะกดกลั้นอารมณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ข่มกลั้นความโกรธไว้ได้ชั่วคราว
หลิงม่อกระดกคิ้วขึ้น แล้วพูดขึ้นอย่างหวังดี “โกรธมากสุขภาพเสียนะ…”
“ชิบ!” ชายแว่นดำเพิ่งจะฝืนกลืนความโกรธลงไป แต่วินาทีถัดมาเขาก็ต้องระเบิดขึ้นมาทันที “แกต้องไม่ตายดีแน่! ไม่ว่าจะเป็นแก หรือกองกำลังที่หนุนหลังแกอยู่ก็ตาม ฉันจะต้องทำให้พวกแกชดใช้อย่างสาสม! คิดจะล่มนิพพาน? ฝันไปซะเถอะ พวกแกไม่คู่ควร!”
“ใครคิดจะล่มกัน?” หลิงม่อกลับทำทีเป็นถามกลับอย่างไร้เดียงสา “อีกอย่าง กองกำลังที่หนุนหลังฉันอยู่นั่นมันหมายความว่าอะไรอีกล่ะ?”
ชายแว่นดำกลับยิ่งเดือดดาลหนักกว่าเดิม “เสแสร้ง เชิญเสแสร้งต่อไปได้เลย แต่แกคิดว่ามันจะมีประโยชน์งั้นหรอ?”
“เรื่องนี้น่ะ ไม่เกี่ยวกับคู่ควรหรือไม่คู่ควรหรอกนะ” หลิงม่อหันไปมองลานกว้างทางนั้น แล้วบอกว่า “แกคิดว่าปืนกลมากมายขนาดนั้นกำลังลั่นไกพร้อมกัน คืนนี้จะมีคนรอดไปได้ซักกี่คนกัน?”
ชายแว่นดำกลับหัวเราะเยือกเย็นแล้วพูดว่า “หึหึหึ ผู้มีความสามารถพิเศษมากมายขนาดนั้น ถือเป็นสมบัติล้ำค่ากองโต พวกแกไม่มีทางฆ่าพวกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่นิพพานมีอะไรกันแน่ ทำไมพวกแกถึงได้ทุ่มทุนสร้างขนาดนี้? ตัวทดลอง? ทรัพยากร? คน? ความทะเยอทะยานของพวกแกช่างสูงนัก…”
“จะว่าทุ่มทุนสร้างก็คงไม่ถึงขนาดนั้น…” หลิงม่อพูดถ่อมตัว “ก็แค่ลงทุนลงแรงไปไม่กี่ชั่วโมงเอง…”
“ไม่กี่ชั่วโมง? คิดว่าฉันโง่หรอ?” น้ำเสียงของชายแว่นดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิงม่อลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางคิดในใจว่าเขาเดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ชายแว่นดำตะโกนเสียงดัง เพราะเขาต้องการเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเอง
และเพื่อความปลอดภัย เขายังยืมปากคนของตัวเอง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนอื่นด้วย
เขาเป็นคนระวังรอบคอบขนาดนั้น แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาล่ะ…
ไม่ได้หมายถึงเสียง แต่หมายถึงสิ่งที่เขาพูด
คนเจ้าแผนการอย่างเขา ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดอะไรที่ฟังดูเหมือนเด็กอมมือกำลังจงใจหาเรื่องล่ะ?
พอโยงไปถึงความรู้สึกคุ้นเคยที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ หลิงม่อก็หรี่ตาเล็กลงทันที
พอถูกหลิงม่อจ้องหน้าอย่างนี้ ชายแว่นดำที่กำลังทำหน้าขึ้งเคียดพลันกลอกตาไปมาทันที…
ถึงแม้ดวงตาคู่นั้นจะเหลือกจนขาวสนิท แต่หลิงม่อก็ยังรู้สึกได้ว่า ตอนนี้ชายแว่นดำกำลังเลิ่กลัก…
“แกคิดจะหลอกถามฉันล่ะสิ? คงอยากจะรู้ว่ามีใครคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังฉันไหม และยังมีพรรคพวกแฝงตัวอยู่ในนิพพานหรือไม่สินะ?” หลิงม่อพูดโพล่งขึ้น
ชายแว่นดำสีหน้าชะงัก จากนั้นก็ทำเป็นยิ้มเย็น “เหอะเหอะ ฉันถูกแกจับตัวไว้แล้ว หลอกถามไปแล้วจะได้อะไร?”
แต่ในใจเขากลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง “เชี่ย ถามได้แทงใจดำมาก! ไม่รู้จักหว่านล้อมซะบ้างเลย!”
“ความจริงก็ไม่เป็นไรนะ เพราะฉันก็กำลังหลอกถามแกอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้ว ว่าพวกแกมองเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ยังไง…” หลิงม่อกลับพยักหน้าหงึกหงัก
“…” ชายแว่นดำไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรต่อดี เพราะนี่มันต่างจากการสนทนาที่เขาจินตนาการไว้มาก!
“อีกอย่างจากที่ได้ฟังแกพูดมามากขนาดนี้ ฉันก็พอเข้าใจแล้ว…”
หลิงม่อจ้องหน้าชายแว่นดำ แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“แก…แกยิ้มอะไร…” ชายแว่นดำรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตามสัญชาตญาณทันที
ในตอนนั้นเอง เขาเพียงเหลือบเห็นประกายสีแดงสายหนึ่งถูกขว้างขึ้นมาที่ศีรษะของตัวเอง
ประกายแสงสีแดงนี้เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าชายแว่นดำจะตั้งตัวได้ ก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งอยู่บนศีรษะตัวเอง
ชายแว่นดำสะดุ้งตกใจ พลันรีบยกมือขึ้นลูบดู แต่ทันใดนั้นร่างกายกลับสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“แก…แกทำอะไรฉัน…” ปากของชายแว่นดำกระตุกสั่น ทำให้เสียงพูดติดขัดไปด้วย
หลิงม่อยิ้มบางและเงยหน้ามองเจ้ามาสเตอร์บอลที่อยู่บนหัวชายแว่นดำ จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “นี่อาจเป็นสิ่งที่แกทอดทิ้งไปแล้ว แต่มันกลับมีประโยชน์มากสำหรับฉัน ฉันขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจเลยแล้วกัน นอกจากนี้ ที่แกคิดจะใช้มันมาสืบแผนของฉัน ก็คงต้องคว้าน้ำเหลวแล้วล่ะ คิดหาทางอื่นแล้วกันนะ”
“แก…”
ร่างกายของชายแว่นดำกระตุกสั่นรุนแรงกว่าเดิม โทนเสียงเขาไม่เปลี่ยน แต่น้ำเสียงของเขากลับเยือกเย็นขึ้น
ดวงตาที่กำลังเหลือกขาวของเขา กลับทำหน้าเคร่งเครียด ดูแล้วน่าประหลาด
“เด็กน้อย อย่ารุนแรงให้มันมากนัก” ชายแว่นดำพูดเสียงเข้ม
“เช่นกันๆ” หลิงม่อตอบยิ้มๆ
“แกทิ้งคนไว้ที่นั่นกี่คน?” จู่ๆ ชายแว่นดำก็ถามขึ้น
“เหอะเหอะ” หลิงม่อหัวเราะแต่ไม่ตอบอะไร
หลายวินาทีผ่านไป สีหน้าของชายแว่นดำแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวดุร้าย
“ไปกันเถอะ” หลิงม่อกลับพูดขึ้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
บนทางเดินรถอีกเส้นหนึ่ง เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
“พวกเธอมาที่นี่ได้ไง?” มู่เฉินวิ่งอยู่ข้างกายเด็กสาวร่างกายสูงโปร่งหนึ่งในกลุ่ม พลางถามขึ้น
หลันหลันที่วิ่งตามหลังอยู่ได้แต่ส่ายหน้า “หมอนั่นช่างมีความพยายามเป็นเลิศ…” เธอครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หันมามองเด็กสาวผมยาวข้างกาย พลางถามอย่างสงสัย “น่าน่า ทำไมเขาไม่ถามเธอล่ะ?”
“เธอก็ให้เขายืมความกล้าของเธอสิ” ซย่าน่าขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์
หลันหลันยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า แต่หนังศีรษะกลับชาไปหมดแล้ว
คำพูดนี้…เหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่นะ…
“น่าน่า…”
“หื้ม?” รอยยิ้มของซย่าน่าดูนุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม
แต่หลันหลันกลับรู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว เธอยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก จู่ๆ ก็มีเสียงดังแทรกมาจากข้างหลัง
“จะให้ดีเรียกเธอว่าซย่าน่าดีกว่านะ”
“กรี๊ด!” หลันหลันสะดุ้ง พลันร้องเสียงหลงตามสัญชาตญาณ
แต่ซย่าน่าที่อยู่ข้างๆ กับเด็กสาวร่างสูงโปร่งที่อยู่ด้านหน้ากลับเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะพวกเธอดูไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย
เด็กสาวร่างสูงโปร่งหันกลับมา เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้างามละเอียด
ส่วนซย่าน่าเพียงยกมือขึ้นทักทาย “ฮาย พวกเสี่ยวป๋ายคุ้มกันหลังอยู่นะ”
“แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงอีกล่ะ?” มู่เฉินถามขึ้นโดยอัตโนมัติ
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจเขา แม้แต่หลันหลันก็ยังมัวแต่หันไปสนใจผู้มา
เขามองหลิงม่ออย่างตกตะลึง แล้วหันไปมองผู้ชายที่เขาลากตัวมาด้วย…
“นี่คือจิ้งจอกตาขาวที่นายจับมาได้หรอ!” (จิ้งจอกตาขาว แปลว่าเนรคุณได้ด้วย)
ชายแว่นดำโกรธจนแทบกระอักเลือดขึ้นมาอีกครั้ง เรียกใครว่าจิ้งจอกตาขาวกัน!
—————————————————————————–