แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 768
บทที่ 768 นี่เป็นผลข้างเคียงหรือ?
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปสามนาทีเต็มๆ ในที่สุดเสียงปืนก็เงียบลง
ลานกว้างทั้งลานพลันเงียบสงัด คนหลายสิบคนนอนหมอบอยู่กับพื้น บรรยากาศรอบตัวพลันดูประหลาดขึ้นมาทันที
กลับเป็นตัวทดลองพวกนั้นที่นอนจมกองเลือดกันระเนระนาด บางตัวยังคงกระตุกสั่นเบาๆ แต่ก็อยู่ห่างความตายไม่มากแล้ว
ผ่านไปอีกหลายวินาที เหล่าสมาชิกนิพพานที่กำลังก้มหน้าหมอบกับพื้นถึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“ไม่ยิงแล้ว?”
“เหมือนจะหยุดยิงแล้วจริงๆ…”
“เมื่อกี้เหมือนจะเปลี่ยนปืนด้วยใช่ไหม?”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า พวกเขายิงจนกระสุนหมดแล้วงั้นหรอ?”
เหล่าสมาชิกต่างพากันกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ พวกเขาจึงได้เผยรอยยิ้มราวกับเพิ่งรอดตายมาได้หมาดๆ
เมื่อกี้อันตรายมากจริงๆ…
ถูกสกัดกั้นไว้ตรงนี้ แถมรอบข้างก็ไม่มีกำบังอะไรเลย แล้วลูกกระสุนพวกนั้นก็อย่างกับมีตา…
ถ้าหากไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะฆ่าคนจริงๆ ป่านนี้พวกเขาคงเหลือไม่กี่คนที่สามารถลุกขึ้นยืนได้
จะว่าไปแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่าทำตามคำสั่งของเบื้องบน พวกเขาก็คงไม่มารวมตัวกัน แล้วพากันเดินเข้ามาอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนอย่างนี้
สีหน้าของบางคนพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที พลางพูดเสียงเบาอยู่ในกลุ่มคน “ใครรู้บ้างว่าตกลงคืนนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ฉันเห็นรองหัวหน้าทีมของทีมวิจัย คงไม่ใช่ว่าเขาหักหลังเราหรอกนะ?” มีคนพูดต่อ
“หักหลัง? เป็นไปได้ เรื่องนี้ต้องมีคนในคอยให้ความร่วมมือแน่ๆ เมื่อกี้ก็กำลังไล่จับไส้ศึกอยู่ไม่ใช่หรือไง? น่าเสียดายจริงๆ ที่จับไม่ได้ แถมยังถูกจับตัวประกันไปได้ซะด้วย” น้ำเสียงแสดงออกถึงความเสียดสีอย่างชัดเจนของเขา ทำให้ผู้คนต่างพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“คนคนนั้นร้ายกาจมาก!”
“ใช่แล้ว!แต่เขาเป็นผู้มีพลังจิตจริงๆ น่ะหรอ?”
พอพูดถึงหลิงม่อ เหล่าสมาชิกก็พากันสนอกสนใจขึ้นมาทันที
ถึงแม้จะมีจุดยืนที่ต่างกัน แต่การกระทำอุกอาจของหลิงม่อกลับกลายเป็นประเด็นร้อนให้คนพวกนี้ได้พูดคุยถกเถียงกัน
บางคนก็พูดขึ้นอย่างอิจฉาว่า “ถ้ามีคนร่วมมือกับฉัน ฉันก็ทำได้เหมือนกันแหละ”
“แก? ช่างเถอะน่า! แกมีความกล้านั้นด้วยหรอ?” คนข้างๆ กลับพากันหัวเราะร่วน
ชายคนนั้นเงียบไปทันที ถ้าหากเปรียบความสามารถพิเศษเป็นซอฟแวร์ ถ้าอย่างนั้นความกล้าก็เป็นฮาร์ดแวร์
มีผู้มีความสามารถพิเศษหลายคนอยู่ใต้เท้า แต่กลับสามารถชิงตัวคนไปโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีเลยแม้แต่น้อย แค่ความกล้าตรงนี้ ก็ทำให้หลายๆ คนยอมรับได้แล้ว
“คนสิ้นคิดไม่รักชีวิต” บางคนสรุปอย่างนี้
“เหลวไหล ฉันเห็นเขาออกจะหวงชีวิตออกปานนั้น” เสียงคัดค้านดังแทรกขึ้นมาทันที
ชายคนที่ถามขึ้นเป็นคนแรกกลับหัวเราะเย็นชา แล้วบอกว่า “ถูกคนคนเดียวเล่นงานจนมีสภาพอย่างนี้…” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองไปทางรถบัสโรงเรียน “ช่างรับมือได้ห่วยจริงๆ”
“จริง…”
“ถูกศัตรูจูงจมูกอยู่ฝ่ายเดียวเลย”
“ก็ใช่น่ะสิ”
นอกกลุ่มคน ชายแซ่หลีพยายามลุกขึ้นยืนทั้งที่ขาทั้งสองข้างยังคงสั่นพั่บๆ อยู่ ไขมันส่วนเกินบนใบหน้ายังคงกระตุกยิกๆ อย่งต่อเนื่อง
ได้ยินเสียงถกเถียงพวกนี้แล้ว สีหน้าของชายแซ่หลีก็ดูประหลาดไป
เขารู้ดีแก่ใจ เรื่องนี้ไม่ธรรมดา จำนวนคนของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แถมยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังอยู่อีกมากมาย
“หลิงเกอ” ที่เผยตัวออกมาเพียงคนเดียว ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าทึ่ง
นิพพานถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็ถูกอีกฝ่ายใช้ประโยชน์เพื่อขุดหลุมสร้างกับดักไว้ล่วงหน้า
นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดเรื่องการรับมือ แต่เป็นการตัดสินแพ้ชนะในการเดิมพัน
แต่บรรดาสมาชิกธรรมดาไม่มีทางคิดไกลขนาดนั้น สำหรับพวกเขา การที่นิพพานพ่ายแพ้ ก็เป็นเพราะความผิดพลาดในการตัดสินใจของเบื้องบน
ขณะที่สายตาของชายแซ่หลีกวาดมองไปยังตาข่ายเหล็ก สายตาของเขาแสดงออกถึงความแค้นอย่างปิดไม่มิด
ชายถือท่อนเหล็กที่เกาะอยู่ตรงนั้นเมื่อกี้ ตอนนี้หายตัวไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ เหล่าคนที่ลงมาจากรถพร้อมกับชายแว่นดำ ล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ถุย!” ชายแซ่หลีถ่มน้ำลายทิ้ง พลางด่าเสียงเบา “ถูกจับได้ก็สมควรแล้ว!”
เขาจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่เสียงปืนดัง เจ้าแว่นดำนั่นกลับเข้ามาหลบข้างหลังเขา…
ทว่าไม่ว่าใครต่างก็หวงแหนชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น ยิ่งในยุคสมัยที่โลกเป็นอย่างนี้ด้วยแล้ว
แค่จะเอาตัวรอดก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว ใครจะยังมีเวลาไปสนใจคนอื่นกัน?
เหมือนบรรดาสมาชิกระดับธรรมดาพวกนั้น ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยถกเถียงกันเรื่องหลิงม่อ กลับไม่มีใครสนใจชายแว่นดำคนนั้นเลย
มีบางคนถามแทรกขึ้นมาสองสามครั้ง แต่ไม่นานก็ถูกเสียงอื่นกลบจนมิดไปอย่างรวดเร็ว
ชายแซ่หลีสบถด่าเสร็จ สีหน้าก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ แล้วเขาก็ค่อยๆ ลากขาทั้งสองข้างเดินไปทางรถบัสโรงเรียน
ซากแผงลอยเละเทะเหล่านี้ กำลังรอให้คนลุกขึ้นมาเก็บกวาดอยู่…
“ฮั่ก…”
ในรถบัสโรงเรียน ท่ามกลางสายตาของบรรดาสมาชิกระดับสูง ในที่สุดบอสใหญ่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว
เขาเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมาจากปาก ร่างกายท่อนบนพลันกระเด้งพรวดขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงเหมือนจะอาเจียน
ระหว่างนั้น แขนขาทั้งสี่ข้างของเขาก็กระตุกสั่นขึ้นมาราวถูกไฟช็อต
ขณะเดียวกันศีรษะของเขาก็สะบัดไปมาไม่หยุด พร้อมกับเปล่งเสียงที่ฟังดูเหมือนทรมานเกินทนออกมาเป็นพักๆ
“ขยับแล้ว!” สมาชิกระดับสูงคนหนึ่งตะโกน
ทว่าสีหน้าของสมาชิกระดับสูงคนนี้ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะขยับน่ะขยับแล้ว แต่ทำไมอาการถึงดูไม่ค่อยดีล่ะ?
หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมว่า…อาการอย่างนี้ของบอสใหญ่…เหมือนถูกผีเข้าเลย?”
พอเขาพูดอย่างนี้ ทุกคนต่างพากันหวาดหวั่น
ผีเข้าน่ะไม่ใช่แน่นอน แต่อาการของเขามันดูน่ากลัวมากจริงๆ…
“เหมือนจริง…” ชายอีกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เหมือนบ้าอะไรล่ะ! ไหนล่ะคนที่ฉันสั่งให้พวกนายไปตามหา!” หัวหน้าทีมวิจัยตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
พอเห็นไม่มีใครพูดอะไร เขาก็ตะโกนอย่างเดือดดาลต่อ “ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าให้ไปตามหาคนมาดูหน่อย! แล้วยังมีทีมไล่ล่าอีก ได้ข่าวอะไรกลับมาบ้างหรือยัง! ส่งคนไปเพิ่มอีก!”
พูดถึงตรงนี้ ปากของเขาก็กระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขาก็ตวาดต่ออย่างบ้าคลั่ง “ห้ามปล่อยให้พวกมันออกไปจากมหาลัยแพทย์เด็ดขาด! ปล่อยออกไปไม่ได้เด็ดขาด!”
บางคนก็อยากจะเตือนสติหัวหน้าทีมคนนี้อย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เป็นตอนกลางคืน แถมทีมลาดตระเวนก็ดูเหมือนจะจบเห่กันไปหมดแล้ว ถึงส่งคนไปเพิ่มก็ไม่แน่ว่าจะหยุดพวกนั้นไว้ได้…
แต่พอเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา ทุกคนต่างพากันเงียบต่อไปอย่างไม่ได้นัดหมาย
มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งที่ชะโงกหน้าเข้ามาจากข้างนอก แล้วฝืนบอกว่า “ไปตามหาสมาชิกที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตมาแล้วครับ…”
แต่ในตอนนั้นเอง บอสใหญ่ร่างกายกระตุกสั่นสองครั้ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างยากลำบากว่า “ไม่ต้องแล้ว…”
“หื้ม?”
สมาชิกระดับสูงคนหนึ่งชะงักไป แล้วเขาก็หันไปโบกมือไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นทันที
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นมองไม่เห็นว่าบอสใหญ่นั่งอยู่ตรงไหน ดังนั้นหลังจากมองดูอย่างสงสัยอยู่ไม่นาน เขาก็ยื่นมือมาปิดประตูรถ
สมาชิกระดับสูงอีกคนรีบยื่นแก้วน้ำให้บอสใหญ่ แล้วถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “บอสใหญ่ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม? เมื่อกี้คุณ?”
“เมื่อกี้วุ่นวายเกินไป จะหาใครมาซักคนก็ทำไม่ได้” หัวหน้าทีมวิจัยมุมปากกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบา
บอสใหญ่กลับเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาพูด เขานิ่งไปสิบกว่าวินาที แล้วจึงค่อยพูดออกมาทีละคำ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฉันแล้ว พูดถึงเรื่องข้างนอกนั่น…สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีใครบาดเจ็บหรือล้มตาย มีคนถูกจับไปหนึ่งคน แล้วก็…” ผู้ตอบหันมามองหัวหน้าทีมวิจัยแวบหนึ่ง ผู้ถูกมองถึงกับหน้าถอดสีไปทันที
ชายคนนี้ลังเลไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็พูดต่อว่า “ดูเหมือนรองหัวหน้าทีมวิจัยกับลูกสาวของเขา…จะหนีไปแล้ว”
“แกร่ก!”
แก้วพลาสติกในมือของบอสใหญ่แตกละเอียดทันที น้ำแร่ใสสะอาดไหลลอดนิ้วมือเขาลงสู่พื้น
ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวเบาๆ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นเพราะความโกรธอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเราเดาว่า…มีคนแฝงตัวอยู่ในสำนักงานใหญ่ และสร้างสัมพันธ์กับรองหัวหน้าทีมวิจัย อย่างนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่าทำไมซอมบี้ของทีมวิจัยถึงได้หนีออกมากันทันหันอย่างนั้น ไม่แน่ว่าตัวทดลองที่อยู่ในอาคารหมายเลข 3 ก็อาจถูกเขาทำอะไรก่อนแล้วก็ได้…” หัวหน้าทีมวิจัยพูดละล่ำละลัก
“เดา?” บอสใหญ่ยังคงก้มหน้าเหมือนเดิม เขาทวนซ้ำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ครับ… แต่นี่ก็เป็นเพียงสมมติฐานที่เป็นไปได้ที่สุด…” หัวหน้าทีมวิจัยพูด พลางหันไปมองหน้าสมาชิกระดับสูงคนอื่นๆ
คนพวกนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดปากพูด “จะว่าไปก็ใช่นะ…”
“ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ก็แปลกเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้ว…”
“หุบปากให้หมด!” ทันใดนั้น บอสใหญ่ก็คำรามเสียงต่ำขึ้นมา
พอเขาตะคอก บรรยากาศในตัวรถก็เงียบกริบจนหาที่เปรียบไม่ได้
เหล่าสมาชิกระดับสูงต่างพากันมองบอสใหญ่อย่างหวาดกลัวและไม่กล้าพูดอะไร แต่หัวหน้าทีมวิจัยนั้นกลับหน้าซีดเผือดไปทั้งดวงแล้ว
“ใช่แล้ว นี่แหละบอสใหญ่ในอดีต…”
วิธีการพูดที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต น้ำเสียงดุดัน นี่คือภาพลักษณ์ของบอสใหญ่ที่หัวหน้าทีมวิจัยจำได้ในตอนที่เจอกันเป็นครั้งแรก!
เขาในตอนนั้นทั้งโหดเหี้ยม! ทั้งชั่วร้าย!
แต่เมื่อนิพพานเติบโตขึ้น จู่ๆ สไตล์การทำงานของบอสใหญ่ท่านนี้ก็ได้เปลี่ยนไป
จู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนลึกลับซับซ้อน และไม่แสดงอารมณ์ใดๆ…
แต่สำหรับหัวหน้าทีมวิจัย เขากลับไม่เคยลืมธาตุแท้ของบอสใหญ่ท่านนี้เลยซักครั้ง
เพราะเหตุนี้เขาถึงได้หวาดกลัวเป็นพิเศษ! ไม่ใช่แค่เพราะตำแหน่งของเขา แต่เพราะชีวิตน้อยๆ ของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย!
คืนนี้ ไฟได้ลุกลามมาจากตึกทดลองของเขา หากจะบอกว่าเขาไม่ต้องรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
แต่เขาต้องแบกรับความผิดมากน้อยแค่ไหน และต้องชดใช้ในราคาเท่าไหร่ กลับต้องให้บอสใหญ่เป็นคนตัดสินใจ
พอคิดได้ว่าความเป็นความตายของตัวเองอยู่ในกำมือของคนคนนี้ แล้วคนคนนี้ก็ดันเป็นคนโหดเหี้ยมที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ แต่หัวหน้าทีมวิจัยก็ยังไม่สติหลุดไปทันที เท่านี้ก็ถือว่าเขาจิตแข็งมากแล้ว!
สติหลุดแล้วได้อะไร เขาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแทน!
โดยเฉพาะตอนนี้พอเห็นบอสใหญ่เดือดดาล หัวหน้าทีมวิจัยก็รู้สึกขาอ่อนไปทันที
คนอื่นๆ ไม่ได้หวาดกลัวเท่าเขา สิ่งที่อยู่ในใจคนพวกนี้กลับเป็นเรื่องอื่นแทน
เสียงของบอสใหญ่ ทำไมถึงฟังดูแปลกไป…
จู่ๆ เขาก็ตัวแข็งไป พอมาตอนนี้ก็หายดีแล้ว แต่เขาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูด แถมเวลาพูดก็เหมือนลิ้นไม่ค่อยฟังคำสั่งการของเจ้าตัวนัก
หรือว่า…เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากอาการเมื่อกี้?
“ฉันไม่อยากฟังการคาดเดาอะไรทั้งสิ้น…สิ่งที่ฉันต้องการคือผลงาน!”
บอสใหญ่บีบเศษแก้วในมือดัง “กร๊อบแกร๊บๆ” พลางบอกว่า “ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ต้องพาคนของเขากลับมาให้ได้ ไม่ใช่แค่รองหัวหน้าทีมวิจัย แต่ยังหมายรวมถึงเจ้าคนที่สวมแว่นดำนั่นด้วย…”
พูดเสร็จ เขาก็ค่อยๆ คลายมือออกเบาๆ
แก้วพลาสติกที่ถูกบีบจนเปลี่ยนรูปร่วงหล่นลงมาจากนิ้วมือเขากระทบพื้นดัง “ปั๊ก”
และในตอนนั้นเอง หัวหน้าทีมวิจัยกลับเหลือบเห็นสายตาของบอสใหญ่
ทว่าเขาเพิ่งจะมองเห็นแวบเดียว บอสใหญ่ก็หลับตาและทิ้งตัวพิงโซฟาไปแล้ว
“น่าจะ…มองผิดไปเองมั้ง?” หัวหน้าทีมวิจัยคิดในใจ
—————————————————————————–