แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 803
บทที่ 803 ยังจำคำว่า “เอ้อร์” นั้นได้ไหม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เทียบกับเหล่าเจิ้ง ความคิดของชายหนุ่มนั้นตื้นเขินกว่ามาก เพียงแต่พวกเขาสองคนต่างก็ไร้อารมณ์ขันเหมือนกัน…
“นายว่ามาเถอะ ฉันคิดดีแล้วเหมือนกัน ถ้าเรื่องนี้เป็นอันตรายกับฉัน แล้วนายจะมั่นใจได้ไงว่าฉันจะช่วยนาย? ดังนั้นฉันคงกลัวมากไปเอง…” ชายหนุ่มพูดอย่างตรงไปตรงมา
เขาพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ หลิงม่อหัวเราะอย่างไม่ปฏิเสธหรือยอมรับ แต่กลับเดินนำไปยังปากบันได พลางส่งซิกให้เขาเดินตามไป
พอเห็นทั้งสองเดินออกไป เหล่าเจิ้งก็เผยสีหน้าสงสัยออกมาทันที แต่เขากลับยังทำเป็นยืนเฉยอยู่ที่เดิม ปรากฏว่าสุดท้ายเขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย แถมยังถูกสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มทำให้อยู่สุขอีกต่างหาก
“โธ่เอ๊ย…หลิงม่อบอกอะไรกับเขากันแน่!…”
กว่าพวกหลิงม่อจะกลับไปถึงโรงแรม เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ท้องฟ้าได้มืดลงสนิท เหล่าซอมบี้ต่างพากันเข้าสู่โหมดกระตือรือร้น
ทว่ามีแผนที่ภาพสะท้อนจินตนาการของเฮยซือคอยช่วย พวกหลิงม่อจึงเดินเลี่ยงไปได้อย่างปลอดภัยหายห่วง
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเจิ้งตะลึงอีกครั้ง เขาเอาแต่ถามโน่นถามนี่กับหลิงม่อตลอดทาง ส่วนหลิงม่อเองก็ไม่ปล่อยให้ผู้มีความสามารถพิเศษที่ถนัดด้านภาพลวงตาให้เสียเปล่า เขาถามคำถามเหล่าเจิ้งเกี่ยวกับโลกมายาไปไม่น้อยทีเดียว
เหล่าเจิ้งคิดว่าหลิงม่อแค่อยากรู้ แต่กลับไม่รู้ว่าในสมองของหลิงม่อยังมี “หู” อีกคู่หนึ่งซ่อนอยู่ เขาจึงถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับตัวหนึ่งขโมยวิชาไปอย่างไม่รู้ตัวเลย…
ซย่าน่ายืนเฝ้าอยู่นอกประตูห้องตลอด พอได้ยินเสียงเดินขึ้นบันได เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที พวกเขาหายตัวไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอรู้แค่ว่าก่อนที่หลิงม่อจะกลับมา เขาได้แอบส่งซิกเซอร์ไพรส์อะไรบางอย่างให้เธอด้วย
เซอร์ไพรส์อะไรกันนะ? ของกินหรือเปล่า?
ทว่าในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปหา จู่ๆ ก็ต้องขมวดคิ้ว พลางคิดอย่างสงสัยในใจว่า “ทำไมถึงมีสี่คนล่ะ?”
เกือบหนึ่งชั่วโมงก่อน หลิงม่อวิ่งตามสวี่ซูหานออกไป พวกเขาหายตัวกันไปแค่สองคน ส่วนอวี๋ซือหรานกับเสี่ยวป๋ายก็ไม่น่าจะถูกพากลับมาด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เสียงฝีเท้าที่เพิ่มมาอีกสองคู่เป็นของใครกัน?
เธอยังไม่ทันได้คิดมากไปกว่านั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาจากบันได ซย่าน่ามองคนคนนั้นที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวา พร้อมกับหัวใจของเธอที่เต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ
ไม่นาน เสียงของหลิงม่อก็ดังลอดมาจากบันได “เธอมองหาอะไรนักหนา อยู่ตรงนั้นไง”
“ฉันไม่เห็นเลย…” หวังหลิ่งเพิ่งจะตอบกลับยังไม่ทันจบประโยค เธอก็เหลือบเห็นซย่าน่าที่เดินออกมาบนทางเดินพอดี ทั้งสองสบตากัน และชะงักฝีเท้าลง
ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ผมของซย่าน่าดูยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างเธอไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่เทียบกับซย่าน่าที่เธอเคยเห็นเมื่อก่อน ซย่าน่าในตอนนี้กลับดูเปลี่ยนไปมาก
ซย่าน่าในตอนนั้นมีดวงตาที่เหม่อลอย แววตาที่มองมามักให้ความรู้สึกที่ห่างเหินเสมอ แต่พอถูกซย่าน่าในตอนนี้จ้องอีกครั้ง หวังหลิ่งกลับรู้สึกต่างออกไป
ใช่แล้ว…แววตาของความเป็นมนุษย์…
ในสายตาที่ซย่าน่ามองเธอ เหมือนจะมีความเป็นมนุษย์แฝงอยู่ด้วย!
หวังหลิ่งนิ่งค้างไป
เธอรู้เรื่องของซย่าน่าดี ดังนั้นเมื่อพูดถึงซย่าน่าทีไร สีหน้าของเธอจึงมักดูผิดปกติ
ตอนที่หลิงม่อไม่ยอมเล่าเรื่องซย่าน่าให้ฟังอย่างละเอียด ถึงเธอจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ความจริงก็ดีใจไม่น้อย เพราะในใจลึกๆ เธอกลัวว่าสุดท้ายมันจะเป็นอย่างที่เคยกังวลมาตลอด…แม้แต่จนถึงตอนที่เธอเดินขึ้นมาเมื่อกี้ ในใจเธอก็ยังกังวลอยู่…บางที ซย่าน่าอาจจะยังมองเธอเหมือนคนแปลกหน้าอยู่ก็ได้
แต่เมื่อเธอสบตากับซย่าน่าที่ยืนอยู่ไกลๆ เธอกลับพบว่าตัวเองเดาผิดทั้งหมด
ซย่าน่าในตอนนี้ ไม่เหมือนที่เธอคิดไว้เลยซักนิด!
ไอ้พี่เขยบ้า! คำแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของหวังหลิ่งกลับเป็นคำนี้ ถ้าหากหลิงม่อบอกเธอก่อน เธอคงไม่ต้องเป็นเหมือนตอนนี้ที่ทำตัวไม่ถูก!
แต่ถึงอย่างนั้น หวังหลิ่งก็ยังเลือกที่จะฝืนฉีกยิ้มออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วเรียกชื่อเธอ “ซย่าน่า?”
พอสองคนนี้หลุดออกจากปาก ขนาดตัวหวังหลิ่งเองยังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวบนใบหน้าของตัวเอง
เสียงของเธอ…ฟังดูหลงๆ เพราะความตื่นเต้น…
ส่วนฝั่งซย่าน่านั้นเธอเหมือนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่นานก็เดินเข้ามาหาเธอ
หวังหลิ่งประหม่า เธอยืนงงอยู่ที่เดิม เบิกตากว้างจ้องซย่าน่าที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เธอพยายามอ่านสีหน้าของซย่าน่า แต่แสงสว่างก็มีน้อยเกินไป…
ถึงเธอจะพยายามแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอเห็น ก็มีแค่ผิวเงาๆ และเค้าโครงใบหน้ารางๆ ของเธอเท่านั้น…
ใกล้เข้ามาแล้ว…ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว…
เมื่อทั้งสองยืนห่างกันไม่ถึง 5 เซนติเมตร หวังหลิ่งก็คล้ายตาลายขึ้นมา จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของซย่าน่าดังข้างหู
“หลินหลิ่น…”
เสียงเรียกสั้นๆ แฝงไปด้วยความสนิทสนม และความยินดี
ร่างกายของหวังหลิ่นแข็งทื่อทันที!
นี่เธอไม่ได้เหมือนมนุษย์มากขึ้น แต่กลับไปเป็นมนุษย์เลยต่างหากล่ะ!
หวังหลิ่นรู้สึกได้ถึงร่างกายเย็นๆ ที่กำลังโอบกอดตัวเอง และเส้นผมนุ่มๆ ก็กำลังคลอเคลียอยู่ที่แก้มและลำคอ เธอกระทั่งสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของซย่าน่าที่วางบนอยู่แผ่นหลัง และตอนนี้มือนุ่มๆ ข้างนั้นกำลังค่อยๆ ลูบขึ้นมาบนต้นคอ และกำเส้นผมของเธอไว้เบาๆ
ทว่าทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้เลยกับเสียงเรียกของซย่าน่า หวังหลิ่นรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที เธอค่อยๆ ยกแขนสั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นกอดตอบซย่าน่า
เธอต่อสู้กับอาการแสบจมูกของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “พี่…”
ท่ามกลางวันสิ้นโลก พี่สาวและน้องสาวได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง…
ไม่ใช่แค่เท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังหลิ่นตื้นตันที่สุด ก็คือการที่ซย่าน่า “หายดี” แล้ว
กระแสความอบอุ่นโอบกอดรอบตัวหวังหลิ่น ผ่านไปสองนาทีเต็มๆ กว่าเธอจะยอมปล่อยอีกฝ่ายออกช้าๆ
ทั้งสองมองตากัน หวังหลิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจกำลังคิดหาเรื่องชวนคุย แต่สุดท้ายสิ่งที่เธอพูดคือ “พี่เกือบได้เป็นแม่หม้ายแล้ว…โอ๊ย!”
จู่ๆ เธอก็โดดตีที่หัวหนึ่งที พอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นหลิงม่อ
ตอนนี้พี่เขยของเธอกำลังจ้องเธอด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจ แล้วบอกว่า “ระวังหน่อยคำพูดหน่อยสิ”
เพราะเขาบอกอย่างนี้ เธอถึงเพิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงรอบข้าง ทางเดินที่เดิมไม่มีใครอยู่ ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มขึ้นมาหลายคนแล้ว
เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินยืนอยู่ด้วยกัน พวกเธอสองคนต่างกำลังจ้องเธอด้วยสายตางุนงง จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่อ ส่วนเด็กสาวอีกคนที่น่าจะอายุไล่เลี่ยกับเธอกำลังทำหน้าสงสัย เหมือนกำลังเดาว่าเธอเป็นใคร และกำลังครุ่นคิดถึงความหมายในสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้…
เหล่าเจิ้งนั้นกำลังยื่นบุหรี่ให้ชายวัยสามสิบกว่า แต่อีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยสายตาพิจารณา ปากก็ถามไม่หยุดว่า “คนของค่ายกลาง? ค่ายกลางคือที่ไหน? ทำไมมาอยู่ในถิ่นของนิพพาน? แล้วมาเจอกับหลิงม่อได้ยังไง? แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นมันยังไง…”
สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดก็คือ ในทีมของหลิงม่อมีชายสูงอายุอยู่ด้วยคนหนึ่ง…
ชายสูงอายุคนนั้นสวมผ้ากันเปื้อน และถุงมือยางสีดำ และกำลังยืนถือมีดเปื้อนเลือดอยู่ตรงนั้น…
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังพูดเสียงโหวกเหวกว่า “ใคร! ใครจะเป็นแม่หม้าย!”
หวังหลิ่นสะดุ้ง เธอกวาดตามองรอบทิศ แล้วถามเสียงเบา “ทำไมพี่มีพวกเยอะขนาดนี้?”
“เรื่องมันยาว…” หลิงม่อบอก
“ถ้าอย่างนั้นซย่าน่า…” หวังหลิ่นถามอีกครั้ง
หลิงม่อกลับยิ้มให้เธอบางๆ แต่ไม่มีท่าทีว่าจะอธิบายอะไรให้เธอฟัง
กลับเป็นซย่าน่าที่ยื่นมือมาลูบหัวเธออีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ตราประทับหายไปแล้วนี่นา…”
พอเธอพูดอย่างนี้ หลิงม่อก็รู้สึกเหงื่อท่วมตัวทันที
ตอนนั้นที่แยกจากกัน หลิงม่อยังจำอักษรคำว่า “二” (อ่านว่า เอ้อร์ แปลว่าสอง หมายถึง โง่) ที่อยู่บนหัวของหวังหลิ่นได้ไม่เคยลืม…
เห็นชัดว่าหวังหลิ่นเองก็ไม่เคยลืมเรื่องนี้เหมือนกัน เธอนิ่งค้างไปเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไป “นั่นเขาเรียกว่าตราประทับซะที่ไหนล่ะ! พี่ทำมันไว้บนหัวฉัน มันก็ต้องหายไปแล้วสิ! เมื่อกี้เกือบถูกพี่หลอกซะแล้วสิ จะบอกให้นะ ที่ฉันมาหาพี่ก็เพื่อจะแก้แค้นพี่นั่นแหละ!”
น่าเสียดาย เธอเร็วสู้ซย่าน่าไม่ได้ ซอมบี้สาวตัวนั้นหัวเราะคิกคัก แล้ววิ่งหลบหวังหลิ่นไปอย่างง่ายดาย…
“จิ๊ ฉันว่าแล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้” หลิงม่อบ่น จากนั้นก็หันไปตะโกนห้ามมู่เฉินไม่ให้ถามต่ออีก “นายหยุดถามมากได้แล้ว…”
มู่เฉินจำต้องหุบปากทั้งที่ยังอยากถามต่อ แต่เหล่าเจิ้งกลับยกมือลอบปาดเหงื่อเงียบๆ แล้วบอกเขาว่า “บางเรื่องฉันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน…”
“นายแค่รู้เอาไว้ว่าพวกเขาก็เป็นศัตรูของนิพพานก็พอแล้ว” หลิงม่อพูดเสริม
เหล่าเจิ้งน้ำตาไหลอาบแก้มทันที นายคิดว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะใครกันล่ะ…
“พวกเราต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งสองคนไปหาห้องพักผ่อนก่อนเถอะ” หลิงม่อบอก
เห็นเหล่าเจิ้งทำหน้าลังเล หลิงม่อจึงบอกว่า “มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันระหว่างทางเถอะ”
—————————————————————————–