แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 892
ความเร็วในการโจมตีของซอมบี้ฮวาฮวาค่อนข้างน่ากลัว ถ้าหากไม่ใช่ว่าเห็นก่อนแล้วว่าขาข้างนั้นของเธอเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยสะดวกนัก หลิงม่อคงจะคิดว่าซอมบี้สาวมีสปริงติดเท้าอยู่แน่ๆ
และเมื่อเทียบกับพี่ฮวาฮวาแล้ว พลังของหุ่นซอมบี้ตัวนี้ของเขาถือว่าแค่พอไปวัดไปวาได้บ้างเท่านั้น หุ่นซอมบี้ตัวนี้ไม่เหมือนหัวหน้าทีมย่อยที่เขาเคยใช้งานในฐานทัพที่ 2 เพราะ “ระบบเลือด” และศักยภาพแฝงของมันธรรมดามาก ถึงแม้จะฝืนกระตุ้นออกมา มันก็ยังไม่แกร่งพอที่จะปะทะกับพี่ฮวาฮวาได้
ในเสี้ยววินาทีที่กรรไกรตัดฉับลงมาที่หัวของมัน หลิงม่อก็ได้ข้อสรุปดังกล่าว และเขาก็ทำการตอบสนองกลับไปในแทบจะทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…ไอ้กากเอ๊ย!แกรอถูกตัดเป็นสองท่อนได้เลย! กล้าทำเรื่องอย่างนั้นกับฉัน รอให้แกตายก่อนเถอะ ฉันจะกลืนสมองของนายด้วยปากของฉันเองเลย!เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน! นี่แกจะทำอะไรน่ะ…”
ปากของเสี่ยวเยว่เอ๋อเพิ่งจะเป็นอิสระ ในขณะที่เธอกำลังหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง อยู่ๆ กลับร้องขึ้นมาอย่างตกตะลึง
อาศัยความเร็วของหุ่นซอมบี้ เดิมทีเขาไม่มีทางหลบการโจมตีนี้พ้นแน่นอน…แต่เขากลับทำอะไรบางอย่างที่ได้ผลยิ่งกว่าการหลบหลีก นั่นก็คือยกตัวเสี่ยวเยว่เอ๋อขึ้น และเหวี่ยงไปทางกรรไกรด้ามนั้นเหมือนเป็นกำบัง
“กรี๊ดดดด!พี่ฮวาฮวา! นี่ฉันเอง! ฉันเองง!” น้ำเสียงของเสี่ยวเยว่เอ๋อไม่ได้ฟังดูหวาดกลัวนัก แต่เธอก็ยังคงร้องสุดเสียง เธออยากจะดิ้นขัดขืน แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกหลิงม่อรัดขาไว้ทั้งสองข้าง แล้วร่างกายท่อนบนยังถูกดึงไปข้างหลัง แขนที่เธอเหวี่ยงไปเหวี่ยงมายังแตะไม่โดนแม้แต่ปลายเส้นผมของเขาด้วยซ้ำ ถึงแม้จะมีพลังของซอมบี้วิวัฒนาการอยู่ แต่ถ้าหากไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้ มันก็ไม่มีความหมาย …
“กริ๊ก!”
คมกรรไกรตวัดหลบออกไปด้านข้าง เฉียดผ่านผมสั้นๆ ของเสี่ยวเยว่เอ๋อแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เงาร่างชองซอมบี้ฮวาฮวาปรากฏอยู่ในจุดที่ห่างออกไปสองเมตรทันใด เธอก้มหน้าช้อนตามองหลิงม่ออย่างเย็นชา “นายสมควรตาย! นายสมควรตาย! เรื่องที่นายทำ…เหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด! ฉันเกลียดมนุษย์ที่สุด ฉันเกลียดที่สุด.” ตอนแรกเสียงพูดของเธอยังเบาเหมือนพูดพึมพำกับตัวเอง แต่พอพูดมาถึงประโยคสุดท้าย อยู่ๆ โทนเสียงก็สูงปรี๊ดขึ้นมาทันที “ฉันเกลียดมนุษย์ที่สุด! กรี๊ดดด!”
ซอมบี้ฮวาฮวาหายตัวไปอีกครั้ง แต่หลิงม่อกลับถอยหลังชนกำแพงอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็โอบรัดขาทั้งสองข้างของเสี่ยวเยว่เอ๋อไว้แน่น และเหวี่ยงเธอไว้ข้างหน้าตัวเอง เขาเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ และเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล ยิ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย…
เนื่องจากอยู่ในท่าแหงนหน้าไปข้างหลัง ดังนั้นทุกๆ วินาที เสี่ยวเยว่เอ๋อจะมองเห็นใบหน้าแข็งกระด้างของหลิงม่อ…
“กรี๊ด! ไอ้เลว…ไอ้กาก…ฉันจะต้อง…พี่สาวฉัน…กรี๊ดด!แกหยุด…เดี๋ยวนี้นะ!”
สายตาของหลิงม่อจับประกายอาวุธมีคมที่โฉบไปโฉบมารอบกายได้อย่างแม่นยำ เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ เธอบอกให้เขาหยุดก่อน”
“ตะ…แต่ว่าเธอ…โกรธแล้ว…” เสี่ยวเยว่เอ๋อพูดเสียงติดๆ ขัดๆ “เธอไม่…ฟังฉันแล้ว…”
“แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำร้ายเธอ ใช่ไหมล่ะ?” หลิงม่อบอก
“ใช่แล้ว…เฮ้ย! แกคิดจะทำอะไรอีกแล้ว!” เสี่ยวเยว่เอ๋อเบิกตากว้างแล้วร้องลั่น
“ก็เห็นๆ กันอยู่” หลิงม่อเหวี่ยงตัวเสี่ยวเยว่เอ๋อไปมา พลางขยับตัวไปตามแนวผนังอย่างรวดเร็ว “หาทางเอาชีวิตรอดไง”
ขยับตัวไปได้ไม่ไกล หลิงม่อก็เหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่ง เขารีบเร่งความเร็วขยับตัวไปทางนั้น และในเสี้ยววินาทีที่ใช้ร่างกายกระแทกประตูเข้าไปในห้อง เขาก็ยกเท้าถีบประตูให้ปิดทันที
“เยว่เยว่ของเธออยู่ข้างหลังประตูนะ!” เขาตะโกนออกมาเสียงดัง
เสี่ยวเยว่เอ๋อที่ถูกจับกลับมาหนีบไว้ใต้วงแขนอีกครั้งมองเขาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็พูดติดอ่าง “กะ…แกโกหก?”
“ก็ใช่น่ะสิ” หลิงม่อพยักหน้ายอมรับอย่างไม่สนใจ “แต่เขาไม่รู้นี่ ดังนั้น วิธีนี้น่าจะถ่วงเวลาไปได้ซักหลายสิบวินาทีจนถึงหนึ่งนาทีได้ล่ะมั้ง…”
“แก แก แก…”
หลิงม่อรีบกวาดตามองรอบตัวทันที จากนั้นก็รีบวิ่งไปทางประตูอีกบานทันที
“ทางเดิน?”
หลังจากผลักประตูออก ก็พบว่าข้างหลังมีทางเดินอันมืดมิดและเย็นเฉียบอยู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเมื่อกี้คือ ทางเดินเส้นนี้ดูสะอาดกว่ามาก สองข้างทางไม่มีประตูห้อง มีเพียงลิฟท์ที่อยู่ข้างประตูเพียงตัวเดียว ประตูลิฟท์ตัวนี้ดูไม่ค่อยเหมือนกับลิฟท์ทั่วนัก บนประตูยังมีแผ่นป้ายกระดำกระด่างติดไว้ด้วย ซึ่งพอจะแกะอ่านออกมาได้เป็นบางคำ “ขน…สินค้า…ไม่สามารถ…โดยสารคน…”
“นี่มันลิฟท์ขนส่งของนี่!” หลิงม่อรีบหันไปมองสุดทางเดินอีกฝั่ง “ทางนั้นเป็นโกดังเก็บของ
“ไปทางนั้นไม่ได้!” อยู่ๆ เสี่ยวเยว่เอ๋อก็ร้องขึ้น
หลิงม่อก้มหน้ามองเธอแวบหนึ่ง แต่กลับพบว่าซอมบี้ตัวน้อยรีบหลบสายตาเขาทันที ในขณะที่ดวงตายังคงเบิกกว้าง
“อย่าทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากได้ไหม? อีกอย่าง ทำไมไปไม่ได้?” หลิงม่อถาม
“เอาเป็นว่าไปไม่ได้” เสี่ยวเยว่เอ๋อก้มหน้าพูด
“ไม่มีเหตุผล? ถ้างั้นฉันก็ฟังเธอไม่ได้น่ะสิ” หลิงม่อรีบก้าวเท้าเดินไป
“อ๊ากกก! ไปไม่ได้!” เสี่ยวเยว่เอ๋อสะบัดหัวไปมา พลางดิ้นพล่านพร้อมบอกว่า “ทหารจะออกมาก่อนกำหนดก็ได้ แต่มันจะออกมาก่อนไม่ได้…”
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” หลิงม่อพยักหน้า แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน
ประตูบานนั้นไม่มีทางสกัดกั้นซอมบี้ฮวาฮวาได้ และการเข้ามาในนี้ ก็เป็นการสร้างความเสียหายให้สถานเพาะเลี้ยงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนยกมือ แล้วเขาจะพลาดมันไปได้ยังไง?
น่าเสียดายที่เสี่ยวเยว่เอ๋อไม่เข้าใจเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเธอจะวิวัฒนาการไม่น้อยแล้ว แต่อย่างไรเธอก็ไม่น่าจะมีความคิดความอ่านเหมือนผู้ใหญ่ทั้งที่ยังอายุหกเจ็ดขวบได้แน่นอน
“พี่ฮวาฮวาเป็นอะไรไป? ทำไมเขาถึงได้เกลียดมนุษย์มากขนาดนั้น?” หลิงม่อจึงถาม
เสี่ยวเยว่เอ๋อมองดูหลิงม่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ อย่างลนลาน พอได้ยินก็ตอบโดยอัตโนมัติ “เธอเคยถูกจับ…”
“อะไรนะ?”
หลิงม่ออึ้ง เขานิ่งไปสองวินาที จากนั้นก็ถามต่อทันที “ถูกจับ? หมายความว่ายังไง?”
“ก็เคยถูกมนุษย์จับไง!” เสี่ยวเยว่เอ๋อบิดตัวไปมา แล้วตะโกนอย่างหงุดหงิด “ขาของพี่เขาถูกพวกมนุษย์ทำร้าย! มนุษย์พวกนั้นชอบลักแอบเข้ามาอยู่เรื่อย แต่หลังจากมีบุชเชอร์พวกมนุษย์ก็แอบเข้ามาไม่ค่อยสำเร็จแล้ว…”
“ข้อมูลเยอะเกินไปแล้ว…บุชเชอร์คือใครอีกล่ะ? จอมแล่เนื้อตัวนั้นหรอ?” ภายนอกหลิงม่อดูใจเย็น แต่ในสมองกลับรีบติดต่อเฮยซืออย่างรีบร้อน
“ยัยแม่หมา เธอคิดว่าไง?” หลิงม่อถาม ขณะเดียวกันก็ทวนคำพูดของเสี่ยวเยว่เอ๋อให้เธอฟังหนึ่งรอบ
“ถ้านายไม่เรียกฉันว่าแม่หมาล่ะก็…”
“ซือซือ?”
“…อย่าคิดว่าฉันวิวัฒนาการมาเป็นแบบนี้แล้วจะอ้วกไม่เป็นนะ…เอาล่ะ ฉันเข้าใจสถานการณ์แล้ว ความจริงจากคำพูดของเสี่ยวเยว่เอ๋อ พวกเราสามารถสรุปโดยง่ายได้สี่เรื่องดังนี้…” เฮยซือพูดเหมือนกำลังอ่านรายงาน
“ตัดคำว่าโดยง่ายทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลย! ทำไมแค่แป๊บเดียวก็สรุปได้ตั้งสี่ข้อแล้วล่ะ…” หลิงม่อพูดเคืองๆ ทว่าด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์เรื่องพวกนี้แล้ว และการมอบหมายเรื่องนี้ให้เฮยซือผู้ที่ว่างจนไม่มีอะไรทำ แต่กลับมีไหวพริบดีทำนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว…
“ข้อแรก ซอมบี้ที่ชื่อฮวาฮวานี้เคยถูกมนุษย์จับมาก่อน และได้รับบาดแผลที่ไม่สามารถรักษาได้จากการถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งนั่นทำให้เธอเกิดบาดแผลทางใจอย่างหนัก คิดว่าเจ้านายก็น่าจะรู้ดี แค่การทำให้เสียขาไปข้างเดียว ไม่มีทางทำให้ฮวาฮวาเกลียดชังเคียดแค้นมนุษย์ได้ขนาดนี้ เพราะถึงยังไงไม่ว่าจะสำหรับซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์ หรือว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก็ตาม มนุษย์ก็เป็นเพียงเหยื่อเท่านั้น”…
“ไม่ต้องวาดรูปก็ได้นะ…แล้วทำไมภาพวาดแบบง่ายที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ถึงได้เหมือนฉันนักล่ะ! ทำไมถึงได้มีแต่ท่อนล่างที่เปื้อนเลือดล่ะ! นี่มันฉันชัดๆ เลยนี่? ฉันใช่ไหม นี่!”
“ดังนั้นถึงแม้ว่ามนุษย์จะต่อต้านรุนแรงอีกซักแค่ไหน สำหรับพวกเราก็เป็นเพียงเหยื่อที่น่ารำคาญนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าหากไม่ใช่ความทรงจำที่เลวร้ายเกินธรรมดา ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเหยื่อแน่นอน พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อก่อนเธอมองว่ามนุษย์เป็นเหยื่ออันโอชะและต่ำต้อย แต่ตอนนี้กลับมีความเคียดแค้นเพิ่มขึ้นมาด้วย” เฮยซือพูดสรุป
“……”
“ดูเหมือนว่านายจะไม่ค่อยพอใจกับข้อนี้? ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดรวบรัดเลยแล้วกัน ข้อสอง มนุษย์ที่เคยจับตัวฮวาฮวายังเคยเข้ามาใกล้ที่นี่หลายครั้ง เพื่อพยายามบรรลุเป้าหมายที่คล้ายกันหรือเป้าหมายอื่นอีก และเป็นไปได้มากว่าพวกเขาเคยทำสำเร็จบ้างแล้ว ข้อสาม หลังจากที่บุชเชอร์ปรากฏตัวหรือถือกำเนิดขึ้น มนุษย์พวกนั้นก็เริ่มล้มเหลวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้อสี่ มีเพียงบุชเชอร์ตัวเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่ขัดขวางมนุษย์พวกนี้ และก่อนหน้านั้น เจ้านายของที่นี่ก็ไม่เคยลงมือด้วยตัวเองเลยซักครั้ง…บางทีอาจคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะลงมือ หรือบางทีอาจไม่สามารถลงมือก็เป็นได้ สรุปว่านี่เป็นข่าวดี ไม่แน่ว่าพวกเราอาจสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้…เอ๋? เจ้านาย นายกำลังทำอะไรน่ะ? หูยย ทำไมต้องตัดสายกันเร็วขนาดนี้ด้วยนะ…”
หลังจากที่เสียงของเฮยซือค่อยๆ เลือนหายไป หลิงม่อก็ถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้น กระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนที่เป็นมนุษย์สองคนที่ฉันเห็นในห้องทารก ก็คือสมาชิกทีมที่พวกนั้นสูญเสียล่าสุดสินะ? แต่นี่มันเพราะอะไรล่ะ? ผู้รอดชีวิตทั่วไปควรจะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับซอมบี้ที่อันตรายอย่างนี้ไม่ใช่หรอ? ไม่สิ จะคิดอย่างนี้ก็ไม่ได้…ก็เหมือนกับพฤติกรรมของพวกเรา ถ้าเป็นผู้รอดชีวิตทั่วไปก็คงไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่พวกเรามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้นี่นา…”
เดี๋ยวนะ! สำเร็จน้อยมาก…ก็แสดงว่าพวกเขายังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง บางทีวันนี้…
“มนุษย์พวกนั้น มักจะมาเมื่อไหร่?” หลิงม่อถาม
เสี่ยวเยว่ตอบโดยไม่คิด “ไม่รู้ ถ้าพวกมันไม่เข้ามา พวกฉันก็ไม่รู้หรอก…”
“ถ้าอย่างนั้นขอเพียงมีผู้บุกรุกเข้ามา ซอมบี้ข้างในนี้ก็จะรู้หมดทุกตัวงั้นหรอ?” หลิงม่อจี้ถามอย่างไม่ลดละ เขาพอจับทางได้แล้ว ว่าถ้าหากตัวเองไม่ถามคำถามที่ค่อยข้างสำคัญ ซอมบี้ตัวน้อยก็ไม่ปฏิเสธที่จะตอบ ไม่แน่ว่าเธออาจกำลังคิดจะถ่วงเวลาหลิงม่อไม่ให้เข้าไปในโกดังเก็บของด้วยวิธีนี้ก็ได้
แน่นอน ว่าอาจเป็นเพราะเธอโง่จริงๆ ด้วยก็ได้…
“ก็ใช่น่ะสิ…” เสี่ยวเยว่เอ๋อเพิ่งจะตอบเสร็จ ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว
แต่หลิงม่อกลับลอบหัวเราะในใจ ขณะเดียวกันก็หันไปมองประตูเหล็กบานหนึ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า…
—————————————————————————–