แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 905
การดึงผ้าม่านออกก็ถือเป็นหนึ่งในทักษะการเอาตัวรอดเหมือนกัน…ดึงเร็ว ก็จะมีเสียง ด้วยระดับวิวัฒนาการของฟางอิ๋ง แม้แต่เสียงที่เบาที่สุด เธอก็คงได้ยิน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าต้องดึงเท่าไหร่ และดึงจากมุมไหน ทันทีที่มีแสงส่องเข้ามามากเกินไป ทั้งหมดที่ทำมาก็จะสูญเปล่าในพริบตา…
“ที่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้น ความจริงเป็นเพราะหวาดวิตกมากต่างหากล่ะ!”
หลิงม่อเกร็งไปทั้งร่าง เขาจ้องฟางอิ๋งอย่างไม่ละสายตา และก้าวถอยไปอีกครั้ง ปากก็พูดขึ้นว่า “รู้ไหมว่าอะไร?”
การใช้วิธีการถ่วงเวลาที่ประเจิดประเจ้อในเวลาอย่างนี้เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ แต่สำหรับฟางอิ๋งในตอนนี้ มันกลับใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก…เธอมองข้ามพฤติกรรมของหลิงม่อที่เอาแต่ก้าวถอย แล้วรีบถามย่างรีบร้อน “แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่อยากเดาดูหน่อยหรอ?” หลิงม่อก้าวถอยไปอีกหนึ่งก้าวเล็กๆ
คราวนี้ฟางอิ๋งเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิด อยู่ๆ เธอก็ตะโกนเสียงดัง “หยุดอยู่ตรงนั้น” แล้วไม่นาน เธอก็มองหลิงม่ออย่างสงสัย “แกกำลังทำอะไร?” ไม่รอให้หลิงม่อตอบ เธอก็โบกมือไปมา “รีบบอกมาเถอะ ไม่ว่าแกคิดจะทำอะไรอีก แต่ถ้าแกยังอยู่ในบริษัทแห่งนี้ แกก็ไม่มีทางทำสำเร็จ ที่นี่เป็นกรงขังจริงๆ และไม่ใช่แค่สำหรับฉันคนเดียว แต่สำหรับพวกแกผู้ที่มาจากภายนอกด้วย”
หลังจากที่ฟางอิ๋งพูดจาข่มขู่สองสามคำ เธอก็ชำเลืองมองหลิงม่อด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย เธอปกปิดได้ไม่เลว แต่ในสถานการณ์ที่กำลังถ่ายเทพลังจิตออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังการสังเกตของหลิงม่อในเวลานี้จึงยอดเยี่ยมกว่าปกติหลายเท่า…เขามองเห็นสายตานั้นของเธอทันที พลางอดลอบตะลึงในใจไม่ได้ — มีโอกาสได้เห็นความเป็นมนุษย์ และอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายผ่านสายตาของซอมบี้อย่างนี้ ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ! ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เหมือนกับซย่าน่า เพราะฟางอิ๋งเป็นซอมบี้สัตว์ป่าตัวจริงเสียงจริงเชียวนะ! วิถีการวิวัฒนาการของเธอเป็นไปตามเส้นทางของซอมบี้กลุ่มใหญ่ และเพราะเหตุนี้เธอจึงมีประโยชน์ในด้านเป็นตัวอย่างอ้างอิง…
จุดพลิกผัน! เธอต้องมีจุดพลิกผันซ่อนอยู่แน่ๆ!
“หึหึ ในเมื่อเธออยากรู้ขนาดนี้ล่ะก็…ความจริงคำตอบง่ายมาก เสี้ยววินาทีที่มนุษย์กลายพันธุ์อย่างสมบูรณ์ หรือก็คือช่วงเวลาที่ร่างกายทุกส่วนถูกเชื้อไวรัสกัดกร่อนจนหมดนั่นเอง ร่างกายที่ว่านี้ ก็หมายถึงสมองคนด้วย…นอกจากใช้วิธีที่ค่อนข้างพิเศษก่อนล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นขั้นตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ดูจากการเล่าเรื่องของเธอ ‘พี่สาว’คนนั้นไม่น่าจะมีเงื่อนไขที่จะหลีกเลี่ยงขั้นตอนนั้นได้ ดังนั้น เธอไม่มีทางรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรในขณะที่กำลังกลายพันธุ์…” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ
“แก…” ฟางอิ๋งอึ้งค้าง หนึ่งเพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง สองเพราะไม่คิดว่าคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องแต่ดูเหมือนร้ายกาจจะออกมาจากปากของซอมบี้ระดับต่ำที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง…ถึงแม้ว่าร่างจริงของเขาก็อาจเป็นซอมบี้ร่างแม่เหมือนกัน แต่เขาจะมีสติปัญญาถึงขั้นได้ได้ยังไง!
อย่างนี้เธอก็ถูกข่มมิดเลยน่ะสิ!
“อาศัยแค่จุดนี้…” ฟางอิ๋งพยายามปฏิเสธ
แต่หลิงม่อกลับเปิดปากพูดขัดเธอ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด และแข็งกระด้างไร้อารมณ์ของเขา ตอนนี้กลับเริ่มฉายแววความมั่นใจเต็มเปี่ยมขึ้นมา แม้แต่การกระทำที่พูดไปด้วยและเดินไปด้านข้างด้วย เขาก็ยังทำอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น…แต่ถ้าหากฟางอิ๋งใจเย็นลง เธอก็จะตระหนักได้ถึงพิรุธของหลิงม่อทันที
เสียงหัวใจเต้นที่ผิดปกติ บ่งบอกว่าเขากำลังทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายอยู่…
“ใช่แล้ว แค่จุดนี้ ฉันก็มั่นใจแล้วว่าเธอไม่ใช่ ‘พี่สาว’ แน่นอน! ทำไมเธอไม่พูดต่อจากเมื่อกี้ให้จบล่ะ? เพราะว่าเธอไม่สามารถโกหกได้ไงล่ะ! ก็เหมือนกับการที่เธอเอาตัวเองเข้าไปแทนที่ ‘พี่สาว’แต่ในจิตใต้สำนึกกลับยังจำได้ว่านี่เป็นเรื่องของคนอื่น แต่เพราะนอกจากตัวตนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำของเธอล้วนมีอยู่จริง ดังนั้นเธอจึงสามารถสะกดจิตตัวเองได้สำเร็จ แต่พอพูดถึงเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอก็จะไม่สามารถปั้นเรื่องต่อ”
หลิงม่อพูด พลางจ้องมองตู้ที่เขาเริ่มเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ อย่างหวาดวิตก
ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว…
“ดังนั้นเธอจึงจงใจข้ามเรื่องจริงในช่วงนั้นไป แต่ฉันสามารถคืนความจำให้เธอได้นะ”
ฟางอิ๋งนิ่งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องเสียงแหลม “ฉันไม่อยากฟัง!”
หลิงม่อฉวยโอกาสเร่งฝีเท้า และพูดเสียงดัง “สิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด แต่กลับมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ถูกเธอเล่าข้ามไป หรือพูดอีกอย่างก็คือเลือกที่จะลืมมันไปใช่ไหมล่ะ? ตอนที่หนีออกจากโกดัง พี่สาวได้รับบาดเจ็บหนักมากแล้ว เธอไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้บาดแผลและความเคียดแค้นจะกระตุ้นให้เธอวิวัฒนาการ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการเร่งให้เธอตายเร็วขึ้นเหมือนกัน แน่นอน เรื่องนี้พวกเธอไม่รู้ แต่นั่นกลับไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแผนการของพวกเธอ — พวกเธอยังคงใช้ประโยชน์จากเธอจนถึงวินาทีสุดท้าย”
“ดังนั้นเมื่อพี่สาวเผชิญหน้ากับพวกเธอ เธอได้อยู่ในสภาพร่อแร่แล้ว…เนื่องจากควาทรงจำช่วงนี้สร้างความรู้สึกผิดให้เธอ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอเดาอย่างกล้าหาญเลยแล้วกัน ในเมื่อเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เขาโจมตีพวกเธอ จนถึงตอนสุดท้ายที่เขาจับเธอไว้เป็นความจริงทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เกิดต่อจากนั้น เกรงว่าคงจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง อย่างเช่น…เขาได้สติกลับมาชั่วขณะ”
“กรี๊ด! ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากฟัง!” ฟางอิ๋งยกมือปิดหูตัวเอง แต่เธอกลับยังคงเงยหน้าจ้องหลิงม่อเขม็ง
ทว่าหลิงม่อกลับยังคงพูดต่อไป “และเขา ก็ลังเล…ถึงแม้เขาเคยทำเรื่องที่น่ากลัว แต่ยังไงเขาก็ยังไม่เคยฆ่าคนกับมือ และยิ่งไม่เคยฆ่าคนสนิท ซึ่งกำลังร้องขอชีวิตจากเขา แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ เสียงที่เรียกสติความเป็นมนุษย์ของเขากลับมา กลับนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิต…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว…”
“จู่ๆ เด็กสาวที่ร่ำไห้และเรียกเธอว่าพี่สาว กลับทำร้ายเธอ” หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น
“กรี๊ดด!!!!”
ฟางอิ๋งกรีดร้องเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหู มือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นปิดหูพลันข่วนลงไปตามผิวหนัง “ฉันไม่ผิด! ฉันก็แค่อยากมีชีวิตรอด! ว่ากันตามจริง พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันเท่านั้น…ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด…”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าหากแค่ลงมือฆ่าคน เธอยังสามารถหาเหตุผลได้อีกร้อยแปด คงไม่กลายเป็นอย่างตอนนี้ ดังนั้น เธอต้องทำอย่างอื่นด้วยแน่นอน…ลองจินตนาการเหตุการณ์ในตอนนี้ขึ้นมา พวกเธอหนีตามเขาออกมา แต่กลับยังไม่ออกจากพื้นที่บริษัท ดังนั้นเมื่อพี่สาวรู้ความจริงเข้าและเริ่มลงมือจัดการพวกเธอ รอบข้างยังมีซอมบี้อยู่มากมาย…จุดที่เขาลงมือต้องเป็นที่ซ่อนตัวของพวกเธอในตอนนั้นแน่ๆ แต่สถานที่แบบนั้นไม่มีทางรอดพ้นจากสายตาซอมบี้ไปได้นานนัก ด้านหนึ่งเป็นเพราะกลิ่นคาวเลือดที่ดึงดูดพวกมันเข้ามา ในอีกด้านเพื่อนพ้องที่ถูกเธอฆ่าตาย…”
หลิงม่อสรุปเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็เหมือนกับที่เธอบอก เรื่องบางอย่างพอมีครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองก็จะง่ายขึ้นเยอะ…แต่ว่า ฉันคิดว่าตอนนี้เธอคงเข้าใจแล้ว ว่าประโยคนี้ถูกแค่ครึ่งเดียว เรื่องบางเรื่องแม้ว่าตอนทำจะง่ายดายอีกซักแค่ไหน ภาระที่ต้องแบกรับในภายหลังก็ยังคงหนักหน่วงเหมือนเดิม”
ระหว่างที่หลิงม่อกำลังพูด เสียงกรีดร้องของฟางอิ๋งก็เริ่มอ่อนลง
เล็บของเธอสร้างรอยขีดข่วนสีขาวทิ้งไว้บนกระดองแข็งๆ ของเธอ ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องมองหลิงม่ออย่างไม่กระพริบ
ทันใดนั้น สายตาของเธอพลันเย็นชาขึ้นมา ใบหน้าครึ่งซีกนั้นเผยรอยยิ้มเย็นชา สีหน้าท่าทางอย่างนั้นทำให้เธอดูประหลาดขึ้นมาก มากจนทำให้รู้สึกขนลุกเลยทีเดียว…วินาทีนี้ ใบหน้าของเธอราวกับปรากฏเงาของคนสองคน คนหนึ่งแบกรับความรู้สึกหนักอึ้งไว้ เหมือนฟางอิ๋งที่กำลังร้องไห้ ส่วนอีกคน กลับเป็น ‘พี่สาว’ ที่เธอสร้างขึ้นมาเอง
ใบหน้าสองซีกนี้ ซีกหนึ่งร้องไห้ ซีกหนึ่งแสยะยิ้ม ซีกหนึ่งอัปลักษณ์ ซีกหนึ่งงดงาม เมื่อมาอยู่รวมกัน จึงได้กลายเป็นฟางอิ๋งในตอนนี้…
“หึหึหึ…” ฟางอิ๋งอ้าปากหัวเราะ วินาทีที่เธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมา หลิงม่อก็เข้าใจสาเหตุที่เธอสร้างร่างปรสิตอย่างนั้นขึ้นมา…เธอเห็น ‘พี่สาว’ เป็นเหมือนร่างที่สิงอยู่ในตัวเธอ ‘ความทรงจำของคนอื่น’ ถูกหยั่งรากไว้ในสมองของเธอ มันใช้ความหวาดกลัว ความกดดัน ควบคุมเธอไว้…
เสียงหัวเราะที่ออกมาจากปากของฟางอิ๋งในตอนนี้ เหมือนเสียงหัวเราะของ ‘เสี่ยวเยว่เอ๋อ’ ที่ถูกควบคุมไม่มีผิด…
“เรื่องมันก็…ประมาณนั้นแหละ…ถึงแม้แกจะไม่รู้รายละเอียด แต่แกกลับพูดจี้จุดสำคัญถูกหมด กระตุ้นความทรงจำของฉัน จากนั้นก็บังคับให้ฉันจำตัวเองให้ได้…” เสียงหัวเราะของฟางอิ๋งคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันร่างกายของเธอก็เริ่มบิดเบี้ยวแปลกๆ “ความรู้สึกอย่างนี้…ความรู้สึกอย่างนี้ ทำให้ฉันอยากกินแกซะเดี๋ยวนี้เลย!”
—————————————————————————–