แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 389
“เมล็ดพันธุ์นี้คืออะไรกันแน่ รู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์นี้มีพลังมากที่สุด อีกทั้งเป็นพลังที่ไร้เทียมทานเสียด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนตกใจ แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนี้กลับสัมผัสพลังของเมล็ดพันธุ์ที่แผ่กระจายออกมาได้อย่างชัดเจน พลังที่รุนแรงพอจะทำลายเขาได้ เขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร
“น่าจะเป็นแหล่งกำเนิดพลังของเรากระมัง เช่นท่านพี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเหมันต์ เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะปล่อยพลังธาตุเหมันต์บริสุทธิ์ออกมา ข้ามั่นใจว่า หากเมล็ดพันธุ์นี้ถูกทำลาย แต่จะบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็จะหยุดอยู่ได้แค่นั้น เขากับตำแหน่งเทพที่แท้จริงก็จะไร้วาสนาต่อกัน” หลิวหลีวิเคราะห์ โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์สีรุ้งของนาง คาดว่าหากถูกทำลาย คงต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแน่
“ดูแล้วก็น่าจะใช่ เมล็ดพันธุ์นี้มักจะคายพลังเหมันต์บริสุทธิ์ให้กับข้า” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“ท่านพี่ ถึงแม้ข้าจะถูกเล่นงานไปครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายผลที่ได้ก็น่าพึงพอใจไม่น้อย พวกเราเข้าบรรลุขอบเขตประมุขเทพด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า จักรพรรดิเทพก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไร ประลองกับพวกเขาได้ ประตูวังเทพอัคคีที่อยู่บนยอดภูเขาเทพข้าก็สามารถเปิดได้ แต่เหมือนจะยังขาดอะไรไปบางอย่าง ข้ายังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจกับวังที่อยู่ด้านในสุด” หลิวหลีเล่าความคิดของตัวเอง
“น้องพี่ ข้ารู้สึกว่าข้ากระหายจะครอบครองวังเหมันต์มากขึ้น มีความคิดที่อยากจะเปิดมัน แต่ข้าสงสัย เมื่อข้าเข้าบรรลุตำแหน่งประมุขเทพ ยังรู้สึกต้องการวังเทพมากขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นมีใครไปลองตรวจสอบคุณสมบัติเทพที่แท้จริงกันเลย” หนานกงเวิ่นเทียนงุนงง เพราะไม่เคยบรรลุจนถึงตำแหน่งนี้มาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขารู้สึกกระหายหาอย่างชัดเจน ทำไมถึงไม่ไปลองกัน
“อาจจะล้มเหลวกระมัง ปกติแล้วถ้าครั้งแรกล้มเหลว กำแพงก็จะหนามากขึ้น หลังจากนั้นก็จะยิ่งทำสำเร็จได้ยากขึ้น ล้มเหลวครั้งหนึ่ง กำแพงก็จะหนาขึ้นชั้นหนึ่ง ยิ่งลองมาก กำแพงก็จะยิ่งหนาขึ้น อาจจะถึงขั้นไร้วาสนากับตำแหน่งเทพที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลองกันง่ายๆ พวกเขาน่าจะเคยล้มเหลวกันมาก่อน” หลิวหลีวิเคราะห์ โอกาสไม่ได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ว่าความยุติธรรมก็ยังคงมีเสมอ สามารถลองได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพียงแต่เงื่อนไขก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าพวกวีรบุรุษเทพกับจักรพรรดิเทพต่างก็เคยลองกันมาหมดแล้วหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนสรุป
“บางคนน่าจะยังไม่เคยลอง เพราะบนตัวของอวิ๋นชิงยังไม่มีปราการนั้น ข้าคิดว่าท่านพ่อของเขาน่าจะบอกเขา” เพราะว่าบิดาของเขาเป็นจักรพรรดิเทพยังพลาด แล้วนับประสาอะไรกับเขาที่เป็นเพียงประมุขเทพ
“อวิ๋นชิงเป็นคนโชคดี มีพ่อคอยให้คำแนะนำ แล้วก็ได้มาเจอเจ้า” ถึงหนานกงเวิ่นเทียนจะหึง แต่ก็เข้าใจ การที่หลิวหลีชอบแกล้งฝ่ายตรงข้าม เป็นแค่วิธีการคบค้าสมาคมกันเท่านั้น
“เขาจะมาแข่งวาสนากับท่านพี่ได้อย่างไร” หลิวหลีเริ่มโมโห
“ไม่มีใครมีวาสนาเท่าข้า” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วย ความโชคดีที่สุดของเขาก็คือการได้มาเจอกับหลงหลิวหลีที่รักเขาและปกป้องเขา ผู้หญิงที่ยินดีจะเติบโตไปพร้อมเขา อีกอย่างเขาคิดว่า ถึงแม้ในความสัมพันธ์ของพวกเขา เขามักจะเป็นฝ่ายรับ แต่หญิงสาวตรงหน้ามีเสน่ห์ที่ทำให้คนยินยอมพร้อมใจ เขายินยอมที่จะเป็นเช่นนี้ แถมยังดื่มด่ำกับมันอีกด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพี่ ข้ารู้สึกเหมือนจะยังไม่หายดี ท่านช่วยข้าถอนพิษหน่อยได้หรือไม่” หลิวหลีเริ่มทำตัวเหลวไหล
ดังนั้น ฮูหยินของเขาทำให้เขาซาบซึ้งใจได้ไม่เกิน 3 วินาทีจริงๆ สั้นยิ่งกว่าความจำของปลาเสียอีก ทั้งสองคนไม่รู้ว่าใช้เวลาร่วมกันไปนานเท่าไหร่ ถึงได้เริ่มจัดการตัวเอง เพื่อประคองให้พลังคงที่อยู่ในขอบเขตวีรบุรุษเทพ
หนานกงเวิ่นเทียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ที่นังหนูทำตัวไม่ปกติก็เป็นเพราะเขา กลัวว่าพลังบำเพ็ญเพียรของเขาจะตามหลัง จึงได้ช่วยเพิ่มพลังให้เขาผ่านการบำเพ็ญคู่ เขารู้มาโดยตลอด ทุกครั้งที่อยากต่อต้าน ก็จะถูกนางปัดตกตลอด เขาสับสน ไม่เช่นนั้นถ้าแค่พลังบำเพ็ญเพียรของเขาคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะบรรลุตำแหน่งประมุขเทพได้
หลิวหลีไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นางแค่อยากจะจับมือหนานกงเวิ่นเทียนก้าวไปด้วยกันต่อไป การมีพลังบำเพ็ญเพียรเท่ากันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อีกทั้งนางยังพบว่า ไม่ใช่ว่านางไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยเมล็ดพันธุ์สีรุ้งของนางก็ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น อย่างนี้ยังจะสามารถเรียกว่าเมล็ดพันธุ์ได้อยู่หรือไม่ มันพองจนเหมือนจะระเบิดอยู่รอมร่อ แต่ก่อนก็เคยบำเพ็ญคู่มาก่อน เมล็ดพันธุ์สีรุ้งภายในร่างกายของนางก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นขนาดนี้ นางมองลูกกลมลูกนี้อย่างจนปัญญา พลังแข็งแกร่งขึ้น แต่ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ทั้งๆที่เมล็ดพันธุ์ของสามีของนางยังเหมือนเดิม แค่สว่างขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
หลิวหลีลองใช้ปราณสีน้ำนมแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ ทุกอย่างยังคงปกติเหมือนเดิม มีแค่รูปลักษณ์ที่แปลกไปเท่านั้น
ถึงแม้จะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นางก็รู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์ของตัวเองที่ต่างไปจากคนอื่นถือเป็นภัย แต่คงจะไม่ได้ระเบิดหรอกใช่ไหม ดังนั้นเมล็ดพันธุ์นี้ก็จำเป็นจะต้องบรรลุขอบเขตพลังด้วยหรือ? แล้วเมล็ดพันธ์เหมือนกำลังตอบนาง มันขยับตัวไปมา จริงๆด้วย แต่การจะบรรลุยังมีอะไรที่จำเป็นต้องใช้ นางลองคิดๆดูแล้วแต่ก็คิดไม่ออก
หลิวหลีที่ไม่ยอมแพ้ ทดลองหลายวิธี สุดท้ายผลสรุปที่ได้ออกมาก็คือยังไม่ถึงเวลา เท่ากับว่านางเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ หลิวหลีกุมขมับ นี่ก็ถือว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน
วงจรหมุนเวียนของพลังในร่างกายที่สมบูรณ์ทำให้เกิดปราณสีน้ำนมจำนวนมากขึ้น อีกทั้งตอนนี้พลังเทพในร่างกายกับปราณสีน้ำนมปะปนกัน พลังการโจมตี จำเป็นต้องได้รับการทดลอง ยังดีที่มีหนูทดลองที่เหมาะสม ส่วนเรื่องเทพอัคคี หลิวหลีมองดูเพลิงเทพหลายสีในมือตัวเอง ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า นางรู้สึกว่าด้านนอกของเพลิงเทพทุกดวงเหมือนจะมีสีขาวขุ่นราวน้ำนมปะปนอยู่ ให้ความรู้สึกที่ดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ที่สำคัญเลยก็คือนางหลอมรวมเพลิงเทพหลายสีเข้าด้วยกัน กลายเป็นเพลิงเทพทสีขาวขุ่นขอบสีรุ้ง นางขมวดคิ้ว ทำไมถึงพัฒนามาเป็นเช่นนี้ แต่เอามาทดลองใช้ปรุงยาดูก่อนแล้วกัน
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่าว่าครั้งนี้สามารถใช้เพลิงเทพได้คล่องแคล่วมากกว่าเดิม นางไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทเทพมาควบคุมแล้ว แค่เสี้ยวความคิดของตัวเองก็ควบคุมเพลิงเทพได้แล้ว สะดวกสบายมากจริงๆ หนำซ้ำยังรวดเร็วขึ้น แต่กลับปรุงยาออกมาได้เพียงแค่ 1 เม็ด แต่นางกลับรู้สึกว่ามีพลังเทียบเท่ากับยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เคยปรุงแต่ก่อนถึง 10 เม็ด นางยังรู้สึกว่านางยังปรุงต่อได้อีก หลังจากปรุงยาไปได้ 6 เม็ด นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ไหวแล้ว จึงเริ่มฟื้นฟูพลัง ให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วก็กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งประมุขเทพ ไร้ซึ่งความสั่นไหวใดๆ อืม ออกไปไม่รู้ว่าใครจะรังแกใครกันแน่
เมื่อมองดูยาเทพศักดิ์สิทธิ์ 6 เม็ดตรงหน้า หลิวหลีโยน 1 เม็ดเข้าปาก ทันใดนั้นเองยาก็ละลายกลายเป็นพลังเทพทันที อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการดูดซึมที่ดีเยี่ยม
หลิวหลีย่อมไม่มีทางลืมสามีของตัวเอง หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกตกใจกับยาเทพศักดิ์สิทธิ์นี้เช่นเดียวกัน เขามองไปฮูหยินของตัวเองที่ทำหน้าเหมือนรอคอยคำชมจากเขา ทำให้เขารีบชื่นชมนางไปชุดใหญ่ จากนั้นเมื่อมอบยาเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดให้กับหนานกงเวิ่นเทียน แล้วนางก็กลับไปปรุงยาต่อ
จนหลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองมาถึงขีดสุดแล้วถึงได้รามือ
น่าจะออกฌานได้แล้ว เหมือนจะมาถึงขีดสุดแล้ว เข้าฌานต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ได้เวลาออกฌานแล้ว เวลาผ่านไปตั้งนานขนาดนี้ เพื่อนๆของนางก็น่าจะมากันแล้ว